"การสร้างความเข้าใจมันอยู่ที่วิธีการทำอย่างไรให้เข้าใจสิ่งที่ผมพูด ไม่ใช่สุดโต่งขวาสุด สุดโต่งซ้ายสุด อยู่ตรงกลาง วันนี้การทำงานของเราสั่งแล้วต้องทำ พอถามบอกว่าทำระดับหนึ่ง ฉะนั้นรัฐบาลนี้ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าช่วงเวลา 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน 12 เดือน จะทำอะไร ต้องแก้ปัญหาให้ได้ มีแผนงาน นี่คือการทำงานปฏิรูป ถ้าทำแบบเดิมผมก็ไม่จำเป็นต้องมายืนตรงนี้ คนไทยโชคดีมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล ตลอด 70 ปีการครองราชย์ มีพระชนมายุ 88 พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระชนมายุ 84 พรรษาเราได้ทำอะไรถวายพระองค์ท่านครบถ้วนหรือไม่ ตัวผมก็ยังทำไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกคนมีภาระหน้าที่คนละอย่างกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเคยตรัสว่าถ้าทุกคนทำหน้าที่ตัวเองดีขึ้น ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ส่วนใหญ่มักทำหน้าที่คนอื่น หน้าที่ตัวเองไม่ค่อยทำ ตรงนี้ต้องแก้ไข สังคมต้องเปลี่ยนแปลง ไม่อย่างนั้นจะรบกับปัญหาเหล่านี้ สังคมเป็นแบบนี้มาสิบกว่าปีแล้ว สังคมที่สร้างความขัดแย้ง เพราะมีผู้นำที่ออกมาสู้กันแบบนี้ ผมไม่ต้องการให้มานำใครให้รบกับใคร ต้องเชื่อใจกัน ใครผิดต้องลงโทษ ไม่ใช่เหมาจ่ายว่านั้นเลวหรือดีไปทั้งหมด เพราะคนเป็นมนุษย์ ใครไม่ดีเอาออกไป ถ้าไม่ร้ายแรงทำให้เขาเป็นคนดี เว้นแต่เขาไม่อยากจะดีแล้ว"
"สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทำมาตลอด ท่านไม่เคยมายุ่งกับการเมือง ผมกราบเรียนท่านทุกคน ไม่มีใครมาสั่งผม ผมสั่งตัวผมเอง พูดด้วยสัตย์จริง ไม่มีใครสั่งผมได้ทั้งนั้น ใครจะมาสั่งผมได้ สั่งให้ผมยึดอำนาจ สั่งให้ผมปล่อยอำนาจ ไม่มีใครสั่งผมได้ มีแต่ประชาชนจะให้ทำหรือเปล่า ถ้าไม่อยากให้ทำจะได้เลิก แล้วกลับไปอยู่ที่เดิม ฉะนั้นทุกคนสามัคคี ดังนั้นเจตนารมณ์ของพระองค์ท่าน"
คำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ในระหว่างเป็นประธานเปิดงาน "วันสิ่งแวดล้อมโลก 2559"ที่ พารากอนฮอล์ สยามพารากอน
คำพูดประโยคนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากพิจารณาให้ดีจะพบว่าเป็นการพูดบนเวที ไม่ใช่มาจากการตั้งคำถามของผู้สื่อข่าว หรือมาจากข่าวที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ดังนั้นก็ต้องเข้าใจว่านี่คือสิ่งที่เขา "ต้องการจะพูด"ออกมา ต้องการสื่อสารให้สังคมได้รับรู้อีกครั้ง
เพราะที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปหากใครติดตามข่าวสารจะพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยยืนยันแบบนี้มาแล้วอย่างน้อย 1 หรือ 2 ครั้งมาแล้ว โดยเฉพาะการปกป้องสถาบันฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างสิ้นเชิงว่าสถาบันเบื้องสูงอยู่เบื้องหลังการก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ขณะเดียวกันหากย้อนไปดูข่าวเก่าๆจะพบว่ามีแต่ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของเขาเท่านั้นที่มีเจตนาจาบจ้วงสถาบันฯ และ ทักษิณ เคยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศมาหลายครั้งเข้าข่ายจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้สัมภาษณ์กับ เดอะไทม์ออนไลน์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552 ที่กล่าวให้ร้ายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเบื้องหลังการก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รวมไปถึงอีกหลายครั้ง จนถูกแจ้งความให้ดำเนินคดีมาอย่างต่อเนื่อง
หรือแม้กระทั่งเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2558 ศาลอาญาก็ได้รับฟ้องกรณีที่กองทัพบก ฟ้อง ทักษิณ ชินวัตรที่ ให้สัมภาษณ์ที่ประเทศเกาหลีใต้กล่าวหาในทำนองว่าการยึดอำนาจของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในทางมิชอบ อีกทั้งยังพาดพิงไปถึงองคมนตรีบางคนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 อีกด้วย
แม้ว่าคราวนี้ คำพูดล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 59 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะไม่ได้ระบุชื่อใครออกมาโดยตรง แต่เมื่อพิจารณาจากคำพูดและความเคลื่อนไหวในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันก็พอเข้าใจได้ว่าหมายถึงใคร โดยเฉพาะคำพูดที่ว่ามี "ผู้นำที่สร้างความขัดแย้งมานานกว่าสิบปีแล้ว" หรือคนที่ไม่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง ทักษิณ ชินวัตร ได้หลบหนีคดีและประกาศไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมอย่างชัดเจน อ้างว่าเป็น"กระบวนการยุติความเป็นธรรม"
เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ออกมายืนยันอีกครั้งว่า "ไม่มีสั่งให้ยึดอำนาจ"เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะนี่คือการ"ตั้งใจพูดให้รู้" เป็นการยืนยันอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็เข้าใจได้ว่า"ในทางลึก"ยังมีการเคลื่อนไหวเพื่อทำลายอย่างจริงจัง ส่วนจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยบอกว่า "รู้แล้วจะหนาว"หรือไม่นั้นมันก็น่าคิดเหมือนกัน
เพราะหากสำรวจความเคลื่อนไหวในช่วงนี้จะพบว่ามีการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองที่มีเจตนาจะสร้างความปั่นป่วนในช่วงการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทางฝ่ายรัฐบาลและคสช.กำลังควบคุมสถานการณ์อย่างเคร่งเครียด และเมื่ออ่านจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็พอเข้าใจได้ว่ามันเข้มข้นและเขม็งเกลียวขึ้นเรื่อยๆ !!
“สุเทพ”ฟุ้งบทบัญญัติลักษณะต้องห้ามใน“รธน.ใหม่”สร้าง“ส.ส.”น้ำดีเต็มสภารับใช้ประชาชนกันคนชั่ว คนประวัติไม่ดีไม่ให้ลงสมัครส.ส.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ได้แพร่ภาพสดผ่าน ‘เฟซบุ๊คไลฟ์’ บนเฟซบุ๊ค ‘Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)’ เพื่อชี้แจงถึงเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปส.ส.ว่า ถ้าเรามี ส.ส.ที่ดีมาจากทุกพรรคการเมือง ปัญหาในอดีตก็คงไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นในการปฏิรูปการเมือง เรื่องหนึ่งที่มวลมหาประชาชนอยากเห็นมากที่สุด คือ บทบัญญัติของกฎหมาย ที่ป้องกัน ไม่ให้คนเลว คนชั่ว เข้ามาเป็นนักการเมือง เป็น ส.ส. เข้ามานั่งทำงานในสภาอันทรงเกียรติ ทำหน้าที่นิติบัญญัติแทนประชาชน
นายสุเทพ กล่าวว่า วันนี้เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะไปลงประชามติ ในวันที่ 7 ส.ค. ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับส.ส.ตั้งแต่มาตรา 83 ไปจนถึงมาตรา106 ซึ่งตนอ่านแล้วชอบใจมาก เพราะคราวนี้ มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เอาไว้แข็งแรง โดยมีการห้ามบุคคลบางประเภทไม่ให้ลงเลือกตั้งโดยมาตรา 98 มีการเพิ่มบุคคลต้องห้ามจากรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา
นายสุเทพ กล่าวว่า เช่นเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตอยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราว หรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เคยได้รับโทษจาคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 10 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ เคยต้องคำพิพากษาหรือคาสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การห้ามบุคคลที่ประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด การฉ้อโกง การพนัน ฟอกเงิน เป็นต้น
ใครที่เคยทุจริตการเลือกตั้งก็ลงสมัครส.ส.ไม่ได้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นการกีดกันคนชั่ว คนประวัติไม่ดีไม่ให้ลงสมัคร ส.ส. และเมื่อเป็น ส.ส.แล้ว ก็ห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน เพื่อจะไปสร้างผลงานในพื้นที่ตัวเอง หรือ หากินกับงบประมาณและไม่ให้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือแทรกแซง ในการบรรจุ ตั้งแต่ง โยกย้ายข้าราชการหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งตนคิดว่าต่อไปไม่มีอีกแล้ว จดหมายน้อยจากส.ส.ไปฝากนายอำเภอ ไปฝากปลัด ไปฝากตำรวจ แต่จะมี ส.ส.ที่ทำงานนิติบัญญัติ รับใช้ประชาชน ใช้อำนาจอธิปไตยทางนิติบัญญัติแทนประชาชน และได้ ส.ส.ดีในสภาจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญนี้
(30 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 709 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์คดีฆ่านักธุรกิจชื่อดัง หมายเลขดำ อ.3307/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสันติภาพ หรือบอล เพ็งด้วง อายุ 25 ปี, นายสุทธิพงศ์ หรือเบิ้ม พิมพิสาร อายุ 30 ปี, นายชวลิต หรือเชาว์ วุ่นชุม อายุ 25 ปี, นายทิวากร หรือทิว เกื้อทอง อายุ 20 ปีเศษ, จ.ส.อ.อิทธิพล เพ็งด้วง อายุ 53 ปี และนางจิตอำไพ เพ็งด้วง อายุ 50 ปี บิดาและมารดานายสันติภาพ ทั้งหมดเป็นชาว จ.พัทลุง ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ฯ, ร่วมกันฆ่าผู้อื่น, รับของโจร ฯลฯ รวม 8 ข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 289, 309, 310, 340, 357 และ 371 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน พ.ศ. 2492
คดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2556 ระบุฟ้องความผิดพวกจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 6-9 มิ.ย. 2556 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-2 ได้ร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด .380 (9 มม. KURZ) ทะเบียน กท.5203330 พร้อมเครื่องกระสุน และอาวุธมีด ปล้นเอาทรัพย์สินของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร อายุ 59 ปี อดีตนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง รวม 9 รายการ มูลค่า 6.6 ล้านบาท โดยใช้อาวุธทำร้าย และหน่วงเหนี่ยวกักขังบังคับให้นายเอกยุทธออกเช็คเบิกถอนเงิน และใช้เชือกรัดคอจนนายเอกยุทธถึงแก่ความตาย ก่อนนำศพไปไว้ในรถยนต์ตู้ ทะเบียน ฮพ 9304 และนำไปฝังไว้ในไร่นาสวนผสมทิ้งร้าง อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อปกปิดความผิด โดยมีจำเลยที่ 3-4 ช่วยขุดหลุมฝังศพ ส่วนจำเลยที่ 5-6 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บเงินสดของผู้ตายจำนวน 4,242,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 นำไปฝากไว้ จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2557 เห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง จึงพิพากษาว่าให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-2 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คำเบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกตลอดชีวิต ข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์จำคุกคนละ 18 ปี แต่เมื่อรวมโทษแล้วคงให้จำคุกจำเลยที่ 1-2 ไว้ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 3 ผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน และซ่อนเร้นอำพรางศพ จำคุก 13 เดือน และให้รวมโทษที่รอการลงอาญาไว้ในคดีเดิมอีก 6 เดือน เป็นจำคุก 19 เดือน จำเลยที่ 4 ผิดฐานซ่อนเร้นอำพรางศพ จำคุก 8 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 5-6 ซึ่งเป็นบิดาและมารดาของจำเลยที่ 1 ผิดฐานรับของโจร แต่รับสารภาพและช่วยติดตามนำเงินของมาคืนจำนวน 4.2 ล้านบาท พิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน และให้จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1.9 ล้านบาท ให้แก่ทายาทของผู้ตาย
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความถึงการกระทำผิดของพวกจำเลย แต่ก็มีพยานแวดล้อมเบิกความเป็นลำดับขั้นตอน โดยเฉพาะพี่เขยของนายสันติภาพ จำเลยที่ 1 เบิกความว่านายสันติภาพกับผู้ชายอีก 1 คน มาสอบถามหาสถานที่ฝังศพผู้ตายที่ จ.พัทลุง แม้นายสันติภาพกับนายสุทธิพงศ์ จำเลยที่ 1-2 จะให้การแตกต่างกันว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าผู้ตายก็ตาม แต่การเสียชีวิตของนายเอกยุทธก็เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ 1-2 ซึ่งร่วมกันทำร้ายและฆ่าผู้ตายขณะที่นายเอกยุทธพยายามเปิดประตูรถตู้หลบหนี
ที่ศาลล่างพิพากษาว่า จำเลยที่ 1-2 ผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษาแก้เฉพาะบทกฎหมายว่า จำเลยที่ 1-2 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ไม่ใช่การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยให้จำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 1 และ 2 พร้อมชดใช้เงินแก่ทายาทผู้ตาย จำนวน 1.9 ล้านบาท จำคุกนายชวลิต จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 13 เดือน ส่วนนายทิวากร จำเลยที่ 4 จำคุก 8 เดือน ฐานร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ
สำหรับ จ.ส.อ.อิทธิพล และ นางจิตอำไพ จำเลยที่ 5-6 บิดามารดาของจำเลยที่ 1 ซึ่งยื่นอุทธรณ์อ้างว่าเงินของกลางที่นายสันติภาพนำมาฝากไว้เป็นเงินที่ได้จากการเล่นพนันนั้นขัดต่อคำให้การในชั้นสอบสวน แม้จะมีพยานมาเบิกความสนับสนุนแต่ก็ไม่ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน เชื่อว่าเป็นการเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 5-6 ซึ่งน่าจะรู้ว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ฐานรับของโจร อุทธรณ์จำเลยที่ 5-6 ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างพิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือนนั้นชอบแล้ว
37% ของการขนส่งสินค้าทางเรือเข้าสหรัฐฯที่ท่าเรือ Los Angeles หรือ Long Beach อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ นี้ โครงการคลองปานามาขยายใหม่ มูลค่าโครงการถึง 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจส่งผลในการเปลี่ยนแปลงเส้นทางเดินเรือการค้าโลก
คลองปานามามีความยาว 50 ไมล์ เป็นเส้นทางลัดเชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติกกับแปซิฟิก ได้ถูกขยายกว้างกว่าเดิมถึง 2 เท่าและได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อที่วันที่ 26 มิ.ย. โดยมีเรือขนส่งของจีนแล่นผ่านเป็นลำแรก และจากนี้สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์สินค้ากว่า 14,000 ตู้ ซึ่งจากเดิมขนได้เพียง 5,000 ตู้ โครงการนี้จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของคลองปานามาสู้กับเส้นทางขนส่งสินค้าเส้นอื่นๆอย่างเช่นคลองสุเอซในอียิปต์ และคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับประเทศปานามาอย่างมหาศาล โครงการการขยายนี้ทำให้เรือขนาดใหญ่สามารถแล่นผ่านคลองปานามาได้ ซึ่งนักวิเคราะห์ได้คาดว่าจะมีเรือบรรทุกสินค้าไปเข้าท่าด้านฝั่ง East coast และ Gulf coasts เพิ่มขึ้นเพื่อนำสินค้าเข้าไปตั้งแต่ Chicago และฝั่ง South เรียบแม่น้ำ Mississippi River ยาวไปฝากตะวันตกถึง Dallas ซึ่งจะเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือจาก Los Angeles และ Long Beach
ขณะนี้ 37% ของการส่งสินค้าทางเรือเข้าสหรัฐฯที่ท่าเรือ Los Angeles หรือ Long Beach ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเอเชียตะวันออก ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก สินค้าจำนวนมากถูกส่งต่อเข้ากลางประเทศโดยรถไฟและรถบรรทุก การที่เรือแล่นผ่านคลองปานามาเพื่อเข้าท่าเรือฝั่ง East coast และ Gulf coasts นั้นจะทำให้ค่าขนส่งสินค้าลดลง เพราะจะย่นระยะทางการขนส่งสินค้าทางรถไฟและรถบรรทุกซึ่งมีราคาค่าขนส่งค่อนข้างสูง นักวิเคราะห์คาดว่า การขยายคลองปานามาอาจมีผลทำให้การเดินเรือระหว่างเอเชียตะวันออกและสหรัฐ ย้ายไปเข้าท่าฝั่ง East coast ถึง 10% ภายในปี 2020
แต่ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า ผลกระทบจะถูกจำกัด เพราะในขณะที่ค่าขนส่งของจากเอเชียไปยัง Midwest ผ่านคลองปานามาอาจจะถูกกว่า แต่การขนส่งสินค้าจะถึงเร็วกว่าหากผ่าน Los Angeles หรือ Long Beach สำหรับสินค้าที่ time-sensitive การประหยัดค่าขนส่งเพียงเล็กน้อยอาจจะไม่คุ้มกับประโยชน์ที่จะให้สินค้ามาถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว
ราคาน้ำมันร่วงในวันพฤหัสบดี (23มิ.ย.) จากการขายทำกำไรหลังขยับขึ้นแรงสองวันก่อนหน้านี้ ส่วนวอลล์สตรีทพุ่งทะยาน นักลงทุนคลายความกังวลว่าเบร็กซิตจะส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ ปัจจัยนี้ผลักทองคำปิดลบ เนื่องด้วยมันทำให้อุปสงค์สินทรัพย์เสี่ยงต่ำลดลง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 1.55 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.33 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 93 เซนต์ ปิดที่ 49.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ตลาดน้ำมันร่วงหนักในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วต่อเนื่องจนถึงวันจันทร์(27มิ.ย.) หลังอังกฤษลงประชามติออกจากอียู แต่มันฟื้นขึ้นแรงต่อเนื่องในวันอังคาร(28มิ.ย.) และวันพุธ(29มิ.ย.) จนเกิดแรงขายอีกครั้งในวันพฤหัสบดี(30มิ.ย.)
นอกจากปัจจัยดังกล่าวราคาน้ำมันยังถูกฉุดจากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น หลัง มาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ ส่งสัญญาณมีความเป็นไปได้ที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงฤดูร้อนนี้ สืบเนื่องจากเศรษฐกิจคงได้รับผลกระทบจากเบร็กซิต
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันพฤหัสบดี(30มิ.ย.) ปิดบวก 3 วันติดต่อกัน นักลงทุนคลายความกังวลว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะได้รับผลกระทบจากการที่อังกฤษแยกตัวจากอียู
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 235.31 จุด (1.33 เปอร์เซ็นต์) ปิด 17,929.99 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 28.09 จุด (1.36 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,098.86 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 63.43 จุด (1.33 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,842.67 จุด
นักวิเคราะห์มองว่านักลงทุนในวอลล์สตรีทรู้สึกเชื่อมั่นมากขึ้นว่าสหรัฐฯจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการที่อังกฤษแยกตัวจากอียู แม้ว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป อาจฉุดรั้งการเติบโตในอังกฤษและสหภาพยุโรปก็ตาม
การพุ่งทะยานของตลาดหุ้น หันเหนักลงทุนจากสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ ส่งผลให้ราคาทองคำในวันพฤหัสบดี(30มิ.ย.) ปิดในแดนลบ โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 6.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,320.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์