29 ก.พ.67 ที่ บช.สอท. โดย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2 และ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ร่วมกับ ผศ.ดร.พนมพัทธ์ สมิตานนท์ รักษาการแทนอธิบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว “Cyber Hunter Operation” กรณี “ตำรวจไซเบอร์ทลาย 2 เครือข่าย ปลอมวุฒิการศึกษาส่งขายออนไลน์สถานศึกษาชื่อดังโดนกันเพียบ”
สืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์ได้รับเบาะแสว่ามีผู้เปิดรับทำวุฒิการศึกษาปลอมส่งขายออนไลน์ผ่านโซเชียล พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดเร่งสืบสวนสอบสวนกรณีดังกล่าว เพื่อเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถรวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถขออำนาจศาลออกหมายค้นเป้าหมายได้ นำมาสู่ปฏิบัติการตรวจค้นจำนวน 2 ปฏิบัติการ ได้แก่
รวบอดีตสาวประกันภัย ผันตัวทำวุฒิการศึกษาปลอมส่งขายออนไลน์ อ้างมหาวิทยาลัยดังเพียบ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ได้รับเบาะแสว่ามีผู้รับทำเอกสารทางราชการปลอมแล้วจำหน่ายทางออนไลน์ โดยทำการสืบสวนติดตามผู้ใช้งานบัญชีเฟซบุ๊ก และผู้ใช้งานบัญชี Line OA "มูลนิธิศึกษา" มีพฤติการณ์ในการรับทำวุฒิการศึกษา และ ใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน (แบบ ป.4) ปลอม จึงได้ให้สายลับทดลองสั่งทำวุฒิการศึกษาระดับชั้น มัธยมศึกษาปี 6 ปลอม ในราคา 2,500 บาท จนพิสูจน์ทราบแน่ชัดว่ามีการปลอมเอกสารราชการแล้วจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์จริง
ต่อมา พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3 และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.5 ร่วมนำหมายค้นศาลจังหวัดสงขลา ที่ ค.29/2567 เข้าทำการตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ หมู่ 5 ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา พบ น.ส.วันดี อายุ 31 ปี อาศัยอยู่ภายในบ้าน ผลการตรวจค้นพบวุฒิการศึกษาปลอม ที่มีผู้สั่งทำไว้จำนวน 29 ราย
โดยพบว่ามีเอกสารวุฒิปริญญาตรีปลอมทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนชื่อดังมากมาย เช่น หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัยศิลปากร, มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยพิษณุโลก, มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, มหาวิทยาลัยหอการค้า, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตเป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีวุฒิปลอมทั้งระดับ ปวส. และ ปวช. อาทิ วิทยาลัยพาณิชการบางนา, วิทยาลัยเทคโนโลยีทักษิณาบริหารธุรกิจ, วิทยาลัยเทคนิคน้ำพอง, วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษก, วิทยาลัยพาณิชการบางนา, วิทยาลัยเทคโนโลยีหมู่บ้านครู, วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย เป็นต้น
ในส่วนของใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน หรือ (แบบ ป.4) ปลอม พบจำนวน 4 ใบ ได้แก่ ขนาดอาวุธปืน .38 จำนวน 3 ใบ และขนาด .22 จำนวน 1 ใบ และของกลางอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งสิ้น 12 รายการ
เบื้องต้น น.ส.วันดีฯ รับว่าตนเองนั้นเป็นคนทำวุฒิการศึกษาปลอมจริง ซึ่งมีผู้สนใจติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก จากนั้น น.ส.วันดีฯ ก็จะให้ผู้ติดต่อแอดบัญชี Line OA ชื่อ "มูลนิธิศึกษา" ซึ่งตนเองนั้นเป็นแอดมิน โดยตนนั้นรับทำวุฒิการศึกษาระดับ ม.ต้น ในราคา 2,500 บาท, ม.ปลาย ในราคา 3,700 บาท, ปวช. ในราคา 4,000 บาท, ปวส. ในราคา ราคา 4,800 บาท และปริญญาตรีในราคา 9,000 บาท
น.ส.วันดี ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ตนเคยทำงานเป็นตัวแทนบริษัทประกันชีวิตมาก่อน แต่ด้วยเคยจบการศึกษาระดับชั้น ปวส. จากสถาบันชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.สงขลา จึงทำให้มีความเชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม Photoshop และ Microsoft Word จึงเปลี่ยนอาชีพมาเริ่มผลิตวุฒิปลอมตั้งแต่เดือน ต.ค.65 ถึงปัจจุบัน
โดยในช่วงแรกเมื่อรับออเดอร์ลูกค้าแล้ว จะส่งงานให้แก่เพจอื่นที่มีการรับทำวุฒิการศึกษาปลอม เพื่อรับส่วนต่าง ต่อมาภายหลังจึงได้เริ่มทดลองทำเองด้วยตนเอง โดยหารูปแบบของการจัดทำวุฒิการศึกษา, ตราสัญลักษณ์ของสถาบันการศึกษา และรายวิชาการศึกษา จากอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีลูกค้ากว่า 300 ราย ที่เคยซื้อวุฒิการศึกษาปลอม จาก น.ส.วันดีฯ ส่วนกรณีใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน หรือ แบบ ป.4 มีลูกค้าสั่งจริง แต่ยังไม่ได้มีการชำระเงินและจัดส่งแต่อย่างใด โดยตนสามารถทำรายได้กว่า 40,000 บาท ต่อเดือน
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา 1.ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง 2.ปลอมเอกสารราชการ และ 3.โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน พร้อมตรวจยึดของกลางทั้งหมด และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสงขลา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
และอีกปฏิบัติการ ได้แก่ ล้างบางเครือข่าย “นักศึกษา-นักล่าปริญญา” ปลอมวุฒิการศึกษาส่งขายออนไลน์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สอท.2 ได้รับเบาะแสว่ามีผู้สร้างบัญชีเฟซบุ๊กเพจ ชื่อ “นักศึกษา-นักล่าปริญญา” มีพฤติการณ์โฆษณารับทำเอกสารวุฒิการศึกษาปลอมผ่านโซเชียล โดยประกาศรับทำเอกสารวุฒิการศึกษาในระดับต่างๆ หากมีผู้สนใจก็จะให้แอดไลน์ตามไอดีที่ให้ไว้ในหน้าเพจ โดยใช้บัญชีไลน์ชื่อ “เอกสารสำหรับสมัครงาน” ในการติดต่อ มีอัตราค่าจัดทำเอกสารวุฒิการศึกษาปลอม ดังนี้ ระดับ ม.3 (กศน.) ราคา 1,200 บาท, ม.6 (กศน.) ราคา 1,800 บาท, ม.3 (สามัญ) ราคา 2,000 บาท, ม.6 (สามัญ) ราคา 2,500 บาท, ปวช. ราคา 2,500 บาท, ปวส. ราคา 3,500 บาท, ปริญญาตรี ราคา 6,000 บาท และ ปริญญาโท ราคา 7,000 บาท
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบสวนจนทราบว่า เจ้าของบัญชีเพจและไลน์ดังกล่าว คือ นายศุภณัฐ ซึ่งเป็นผู้รับออเดอร์การผลิต แล้วส่งออเดอร์ต่อให้นายณัฐชัชวิทย์ เป็นผู้ผลิตเอกสารปลอม โดยให้ลูกค้าโอนเงินผ่านบัญชีม้าจำนวน 2 บัญชี
เมื่อลูกค้าตกลงทำเอกสารปลอมแล้ว นายศุภณัฐฯ จะให้ลูกค้าแจ้งข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ พร้อมรูปถ่ายหน้าตรง เพื่อใช้ในการทำวุฒิการศึกษา จากนั้นจะส่งข้อมูลให้แก่นายณัฐชัชวิทย์ เพื่อผลิตผลงาน มักใช้เวลาในการทำเอกสารปลอมประมาณ 1 ชั่วโมง หากเสร็จแล้วจะส่งไฟล์รูปภาพตัวอย่างของเอกสารปลอมให้ลูกค้าตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นจะส่งหมายเลขบัญชีธนาคารของบัญชีม้า เพื่อให้ลูกค้าชำระค่าบริการ แล้วค่อยส่งไฟล์เอกสารวุฒิการศึกษาปลอมที่สำเร็จแล้ว ให้แก่ลูกค้าในรูปแบบไฟล์ pdf จำนวน 2 ไฟล์ (ด้านหน้าและด้านหลัง) ผ่านทางไลน์ดังกล่าว
กรณีนี้ พบว่าผู้ก่อเหตุได้ศึกษาใบวุฒิของแต่ละสถาบันไว้อย่างละเอียด หากไม่ใช่เจ้าของสถาบันหรือผู้เชี่ยวชาญจะไม่สามารถแยกความแตกต่างของวุฒิการศึกษานั้นได้ ว่าเป็นของจริงหรือปลอม ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุยังมีการคำนวณปีที่จบการศึกษากับอายุของผู้ที่ต้องการวุฒิการศึกษาปลอม เพื่อไม่ให้เกิดข้อพิรุธที่ขัดแย้งกับอายุของผู้สำเร็จการศึกษาอีกด้วย
ต่อมา พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2 ได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สอท.2 รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายค้นและหมายจับผู้เกี่ยวข้อง โดยเข้าตรวจพื้นที่เป้าหมายจำนวน 2 จุด และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ยกแก๊ง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. ตรวจค้นบ้านพักนาย นายศุภณัฐ แอดมินเพจและเจ้าของบัญชีไลน์ ในพื้นที่ ซอยเดชอุดม 20/4 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ผลการตรวจค้นพบเอกสารที่เกี่ยวข้องในการใช้กระทำความผิดหลายรายการ รวมทั้งเอกสารวุฒิการศึกษาปลอมอีกกว่า 70 ฉบับ
2. ตรวจค้นบ้านพักนายณัฐชัชวิทย์ ผู้ลงมือผลิตเอกสารวุฒิการศึกษาปลอม ในพื้นที่หมู่ 2 ต.โนนห้อม อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี ผลการตรวจค้นพบเอกสารและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในการใช้กระทำความผิด จำนวน 15 รายการ
3. จับกุมนางสาวคุณารัตน์ อายุ 53 ปี เจ้าของบัญชีม้า โดยควบคุมตัวได้บริเวณหน้าบริษัทแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ต.บางปูใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ
4. จับกุมนายวัชระ อายุ 23 ปี เจ้าของบัญชีม้า โดยควบคุมตัวได้บริเวณหน้าบ้านพัก ในพื้นที่ หมู่ 2 ต.บางเมือง อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ในฐานความผิด “ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารราชการ ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา”
ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุเผยว่า การผลิตเอกสารปลอมดังกล่าว สามารถสร้างรายได้สูงถึงประมาณ 300,000 – 400,000 บาทต่อเดือน ทำให้มีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 4,000,000 บาท ต่อปี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง ส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10.00 น. ที่ สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต พญ.ธารดาว อายุ 26 ปี แพทย์เวชศาสตร์ปฏิบัติการ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ตพร้อมแฟนหนุ่มชาวต่างชาติและบิดา ตลอดจนทนายความส่วนตัวนำหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้นเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับ พ.ต.ท.อนุกูล หนูเกตุ รอง ผกก.สอบสวน สภ.ถลาง โดยมี พ.ต.อ.ภาสกร สนธิกุล รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ตกำกับดูแลการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆท่ามกลางนักข่าวเป็นจำนวนมาก
โดยก่อนที่ พญ.ธารดาว เตรียมเข้าให้ปากคำ ได้เปิดเผยว่า หมอไม่ควรที่จะมาถูกกระทำเช่นนี้ และก็ไม่ควรที่จะมีคนไทยคนใดถูกกระทำเช่นนี้หรือมาเจอเรื่องแบบหมออีก ซึ่งหมอขอยืนยันเต็มที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ส่วนกรณีกังวลหรือไม่ที่ชาวต่างชาติจะแจ้งความ พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีที่พ่อของหมอไปโพสต์ผ่านโซเชียล โดยมีชื่อของชาวต่างชาติอยู่ในใบแจ้งความนั้น ทุกอย่างมันคือความจริง ส่วนเค้าจะฟ้องก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ส่วนกรณีที่ชาวต่างชาติกล่าวอ้างว่าลื่นหรือสะดุดล้ม และมีเพื่อนเป็นพยานนั้น หมอเลยอยากถามกลับไปว่า ถ้าคุณลื่นล้ม แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อ ก็ต้องขอโทษใช่ป่ะ
"หมอเป็นคนถูกกระทำ มีความเครียด มีความกังวลระดับหนึ่ง อีกอย่างกลัวด้วย เพราะเห็นว่าเค้ามีแบ็คอัพใหญ่โต ดูว่าเป็นคนที่มีเงินเยอะ ส่วนตนเองเป็นแค่หมอตัวเล็กๆคนหนึ่ง จึงอยากให้กฎหมายและความยุติธรรมบังเกิดขึ้น เข้ามาช่วยเหลือหมอ ที่คนไทยคนหนึ่งควรจะได้"
พญ.ธารดาว กล่าวเพิ่มเติมกรณีถูกคู่กรณีเหยียดนั้น หมอมองว่าไม่ควรมีการเหยียด ไม่ว่าคนไทยคนนั้นจะเป็นใคร อีกอย่างคุณเป็นชาวต่างชาติที่มาอยู่ในประเทศไทย มาหากินกับคนไทย เปิดธุรกิจต่างๆในผืนแผ่นดินไทย คุณควรอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
จากนั้น พ.ต.อ.ภารกร สนธิกุล รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต กล่าวว่า วันนี้เป็นการสอบสวนปากคำผู้เสียหายก่อน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆให้ชัดเจนว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ อย่างไร โดยขั้นตอนก็จะมีการออกหมายเรียกเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป ส่วนกรณีกังวลหรือไม่ในรูปคดี ซึ่งทางพนักงานสอบสวนไม่มีความกังวลใดๆ เพราะทางผู้เสียหายได้นำใบชันสูตรบาดแผลจากแพทย์ รพ.ดีบุกมาประกอบคำให้การ เพราะความหนักเบาของข้อหาอยู่ที่ลักษณะบาดแผลและจำนวนวันการรักษาที่แพทย์ลงความเห็นไว้
พ.ต.อ.ภารกร กล่าวอีกว่าทาง พล.ต.ต.สินเลิศ สุขุม ผบก.ภ.จว.ภูเก็ตและผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตต่างให้ความสนใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ ผวจ.ภูเก็ตได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือความประพฤติของชาวต่างชาติที่เข้ามาใน จ.ภูเก็ตผ่านคณะกรรมการ โดยมีด่านตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ตเป็นเลขานุการ ที่ผ่านมามีชาวต่างชาติบางคนประพฤติตนไม่เหมาะสม โดยจะนำมาเข้าคณะกรรมการชุดนี้ ซึ่งถ้าเข้าข่ายจะมีการเสนอเพิกถอนหนังสือเดินทางอย่างเด็ดขาด และในส่วนการทำงานของตำรวจนั้น อย่างให้ทุกคนเชื่อมั่นกระบวนการการสอบสวน ซึ่งให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
วันนี้ (29 ก.พ.67) MR.Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษได้ออกวิ่งจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายมาถึงอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ภายในระยะเวลา 50 วันโดยวันนี้ได้วิ่งเข้าเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลาแล้ว สำหรับการวิ่งครั้งนี้ใช้ชื่อว่า Run Thailand 2,100 KM. เพื่อหาเงินบริจาคให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดได้รับบริจาคกว่า 3,962 ปอนด์หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 140,000 บาท
นักวิ่งชาวอังกฤษผู้นี้ บอกว่า ตลอดเส้นทางที่วิ่งผ่ามามีประชาชนคอยให้กำลังใจมาตลอดทางและในแต่ละวันเมื่อถึงเวลาค่ำถึงที่ไหนก็จะพักที่นั้นเลย ล่าสุดก่อนถึงอำเภอเบตง ได้เข้าพักที่เชิงเขา รีสอร์ท อัยเยอร์เวง โดยเจ้าของรีสอร์ท ไม่คิดเงินอีกด้วยทำให้ซาบซึ้งใจในน้ำใจคนไทยจริงๆ
พร้อมยังบอกอีกว่า ตนได้เริ่มวิ่งตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.67 โดยตนเองได้บอกกับเพื่อนชาวอังกฤษว่าตนเดินทางมาวิ่งตามความยาวของประเทศไทยโดยได้เริ่มที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดของประเทศไทยซึ่งติดกับประเทศพม่าและไปสิ้นสุดที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นทางใต้สุดของประเทศไทยรวมระยะทางกว่า 2,100 กม. และมีแผนจะเสร็จสิ้นภายใน 50 วันและเมื่อถึงอำเภอเบตงแล้วจะเดินทางต่อไปยังประเทศมาเลเซียต่อเพื่อท่องเที่ยว และอาจจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ จากสนามบินในประเทศมาเลเซีย
นักวิ่งชาวอังกฤษ กล่าวทิ้งท้ายว่า Run Thailand คือการระดมทุนจากมวลชนเพื่อเป็นการระดมเงินจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ในประเทศไทย เงินที่ได้จากการระดมทุนทั้งหมดจะมอบให้กับโรงเรียนและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในประเทศไทย ซึ่งการรับบริจาคเงินเพื่อหาเงินบริจาคให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในประเทศไทยตนได้ลงในเพจตัวเองที่ชื่อว่า https://www.justgiving.com/crowdfunding/runacrossthailand โดยได้รับบริจาคจากเพื่อนๆในอังกฤษและคนไทยตามเส้นทางที่วิ่งผ่าน นอกจากได้ระดมทุนเพื่อให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ยังได้ชมวิวสวยๆข้างทางอีกด้วย
วันที่ 29 ก.พ. 67 เวลา 18.30 น. ที่บริเวณผามออีแดงอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ลงพื้นที่ติดตามสถานกาณณ์กรณีอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารประกาศปิดอุทยาน จากเหตุหมอกควันไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้าน
โดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าเขาพระวิหาร เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยจังหวัดศรีสะเกษสาขากันทรลักษ์ เจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่23 เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่22 เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอกันทรลักษ์ เร่งระดมกำลังและเครื่องมือตลอดจนรถน้ำ เพื่อเตรียมความพร้อมในพื้นที่ หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ป่าตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งลุกลามใกล้เข้ามายังแนวเขตประเทศไทย ส่งผลให้มีหมอกควัน เศษฝุ่นละออง กลิ่นไหม้กระจายไปทั่วพื้นที่เป็นจำนวนมาก มีเสียงดังจากไฟที่ลุกไหม้ต้นไม้เป็นระยะๆ โดยกระทบต่อการท่องเที่ยวรวมทั้งสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แนวชายแดน อาทิ ลิง ค้างคาว และนกสายพันธุ์ต่างๆ
ล่าสุด อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารได้สั่งปิดพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 3 วันตั้งแต่วันที่ 1 - 3 มีนาคม 2567 ซึ่งล่าสุดกระแสลมเมื่อห้วงเวลาประมาณ 18.00 น.ได้พัดจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ ซึ่งทำให้กลุ่มควันบริเวณผามออีแดงเบาบางลงเป็นห้วงๆ
นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า หลังได้รับรายงานก็ลงมาดูสถานการณ์ในพื้นที่ ก็พบกลุ่มควันจำนวนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเช้าจากรายงานก็มีเป็นจำนวนมาก โดยในพื้นที่ก็ได้มีการจัดเตรียมกำลังและอุปกรณ์ในการป้องกันจากทุกภาคส่วนในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
29 ก.พ.67 ความคืบหน้ากรณีนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เดินทางพาแม่และยาย 2 เด็กหญิงอายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.6 ไปพบกับ พ.ต.อ.พิเชษฐ์พงศ์ แจ้งค้ายคม ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อต้ดตามคดีนายชนะชัย อายุ 54 ปี เป็นเจ้าของค่ายมวยและเป็นครูฝึกมวย แห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร และเป็นอดีตตำรวจบ้าน ข่มขืนกระชำเรา 2 เด็กหญิง ซึ่งเป็นนักชกมวยรุ่นเยาว์ในค่ายหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 66 จนถึงเดือนก.พ.67 ซึ่งแม่และยาย 2 เด็กหญิงได้แจ้งความไว้แล้ว ตำรวจส่งเด็กทั้ง 2 ไปตรวจร่างกาย สอบสหวิชาชีพแล้ว ขณะนี้เจ้าของค่ายมวยหนีไป แม่และยายจึงมาร้องปวีณาฯเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและไม่ได้รับความปลอดภัย ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ.เมืองสมุทรสาครได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับนายชนะชัย อายุ 54 ปี ซึ่งเป็นชาว ต.เขาทราย อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาคร ที่ จ.58/2567 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 และ หมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาคร ที่ จ.59/2567 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“ ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแลโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ” สถานที่จับกุม บริเวณหน้าห้องพักคนงาน บจก.สหะหล่มสักขนส่ง แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร
29 ก.พ.67 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมสำรวจทางวิทยาศาสตร์ของจีนวางแผนขุดเจาะครอบน้ำแข็ง (ice cap) ในทวีปแอนตาร์กติกา เพื่อการสำรวจทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งที่ฝังตัวอยู่ข้างใต้ครอบน้ำแข็ง ณ ความลึกมากกว่า 3,600 เมตร
เจียงซู นักวิจัยประจำสถาบันวิจัยขั้วโลกแห่งประเทศจีน เผยว่าทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งฉีหลิน ซึ่งตั้งชื่อนี้โดยจีนเมื่อปี 2022 ตั้งอยู่ในดินแดนเจ้าหญิงเอลิซาเบธ (Princess Elizabeth Land) บริเวณแผ่นน้ำแข็งในแผ่นดินแอนตาร์ติกาตะวันออก ห่างจากสถานีไท่ซานของจีนราว 120 กิโลเมตร
จีนได้ตระเตรียมงานขั้นต้นบางส่วนสำหรับการขุดเจาะทางวิทยาศาสตร์นี้แล้ว ทว่ายังไม่มีการเปิดเผยกรอบเวลาการขุดเจาะที่แน่นอน โดยทีมสำรวจได้เข้าสู่พื้นที่ทะเลสาบเป็นครั้งแรกและดำเนินการตรวจสอบคัดเลือกจุดขุดเจาะ ขณะปฏิบัติการเดินทางสำรวจแอนตาร์กติก ครั้งที่ 40 ของประเทศ
เจียงกล่าวว่าทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งฉีหลิน ซึ่งเป็นทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสองเท่าที่เคยค้นพบในแอนตาร์กติกา มีประวัติศาสตร์การพัฒนาตัวที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างน้อย 3 ล้านปี ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมจะสำรวจทะเลสาบและสิ่งมีชีวิตใต้ธารน้ำแข็ง
สถาบันวิจัยขั้วโลกแห่งประเทศจีนจะทำงานร่วมกับสถาบันวิจัยหลายแห่งในจีน เพื่อสร้างความคืบหน้าของเทคโนโลยีสำคัญ เช่น การขุดเจาะที่สะอาดและกู้คืนได้ การตรวจสอบในแหล่งกำเนิดและการเก็บตัวอย่างที่สะอาด การเก็บตัวอย่างทางจุลชีววิทยาในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเยือกแข็ง และการเฝ้าติดตามการปนเปื้อนทางจุลชีววิทยาในขั้นตอนขุดเจาะ
ด้านสโนว์ อีเกิล 601 (Snow Eagle 601) เครื่องบินปีกตรึงสำหรับการบินที่ขั้วโลกของจีน ได้ทำการบินสำรวจพื้นที่ดินแดนเจ้าหญิงเอลิซาเบธหลายรอบตั้งแต่ปี 2015 นำสู่การเก็บข้อมูลทางธรณีฟิสิกส์ที่ทำให้คาดว่าทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งแห่งนี้มีพื้นที่พื้นผิว 370 ตารางกิโลเมตร และความลึกถึง 200 เมตร
ทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งในแอนตาร์ติก ซึ่งถูกปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็งยาว มีสภาพความดันสูง อุณหภูมิต่ำ สารอาหารต่ำ และมืดมิด ซึ่งถือเป็นข้อมูลจำเพาะเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีววิทยา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนวิวัฒนาการของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติก
อนึ่ง การขุดเจาะทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการเดียวในการเก็บตัวอย่างทางกายภาพจากทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็ง โดยตั้งแต่ปี 2012 สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และรัสเซีย ได้ดำเนินการขุดเจาะและเก็บตัวอย่างจากทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกา จำนวน 3 แห่ง