ดีเอสไอเผย ตำรวจสหรัฐฯจับกุม 'เณรคำ' เบื้องต้นยังให้การปฏิเสธ ต้องรอศาลสหรัฐฯพิจารณาก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน เผยการควบคุมตัวครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของสำนักงานต่างประเทศ อัยการสูงสุด และดีเอสไอ
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 22 ก.ค.59 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงษ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ เปิดเผยว่า ช่วงสายวันที่ 22 ก.ค. ดีเอสไอได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริกา ว่าสามารถจับกุม ‘เณรคำ’ หรือ นายวิระพล สุขผล ผู้ต้องหา ผู้ต้องหาที่ ถูกดีเอสไอออกหมายจับ 5 ข้อหา ได้แก่ 1.พรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี 2.กระทำชำเราเด็กหญิง 3.ฉ้อโกงประชาชน 4.ความผิดฐานฟอกเงินและ 5.ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในปี 56 ขณะนี้ทราบว่าหลังถูกจับกุมนายวิระพล ได้มีการโต้แย้งข้อกล่าวหา ซึ่งต้องรอการเข้าสู้กระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ เพื่อพิจารณา ก่อนไปสู่ขั้นตอนการส่งผู้ร้านข้ามแดน นำกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย
"โดยชุดจับกุมเณรคำ นั้นเป็นตำรวจสหรัฐฯ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้น ยังไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากทางการสหรัฐฯนั้นแจ้งเบื้องต้นว่าจับกุมได้เท่านั้นเอง รายละเอียดอื่นๆ หากดีเอสไอทราบ จะชี้แจงให้ทราบต่อไป แต่การจับกุมเณรคำ เกิดจากการประสานงาน และความร่วมมือ ระหว่างสำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว รองอธิบดีดีเอสไอ ดำเนินการประสานงานกับทางการสหรัฐอเมริกามาตลอด 3 ปี ที่ผ่านมาเพื่อดำเนินการจับกุม ซึ่งปกติเณรคำ จะพักอาศัยอยู่ที่วัดสาขา หรือ ศูนย์ปฏิบัติธรรมที่ เลก เอลินอร์ รัฐออลันโด กระทั่งล่าสุดวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา เณรคำถูกตำรวจสหรัฐฯจับกุมได้ที่ ย่านริเวอร์ไซด์
สำหรับหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก และเป็นที่รู้จักในชื่อ เณรคำ เคยเป็นประธานสงฆ์ สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ และมีชื่อเสียงจากความสามารถในการสั่งสอน แต่ภายหลังถูกถอดจากสมณเพศ เพราะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ เนื่องจากผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง ได้แก่ เสพเมถุน ต้องอาบัติปาราชิก นอกจากนั้นเณรคำ ยังถูกติเตียนโดยทั่วไป ถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม
ทั้งนี้หลังจากที่มีผู้แพร่ภาพเณรคำในหลากหลายอิริยาบถ ที่ผิดอาจาระของสงฆ์ อาทิ ถ่ายภาพตนเองขณะนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว พร้อมกับถือกระเป๋าแบนด์เนมหรู เช่น หลุยส์ วิตตอง ภาพถ่ายนอนแผ่ไปบนรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมทั้งแต่งหนังสือชื่อ "ชาติหน้าไม่ขอมาเกิด" ที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการอวดอุตริมนุสธรรมว่าเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากวัฏสงสารแล้ว กระทั่งหลบหนีลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณเดือน ก.ค.56
“ดีเอสไอ” แถลงข่าวยันจากพยานหลักฐานพบรถจดประกอบยี่ห้อ Mercedes-Benz รุ่น 300 บี ของ “สมเด็จช่วง” และรถยนต์โบราณยี่ห้อ PANTHER ของ “หลวงพี่น้ำฝน” นำเข้าผิดกฎหมาย มีความผิดฐานเลี่ยงภาษีอากรตาม พ.ร.บ.ศุลการกร พร้อมยันการสอบสวนในคดีนี้และคดีอื่นใช้มาตรฐานเดียวกัน
วันนี้ (22 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค นายนิธิต ภูริคุปต์ ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผบ.สำนักคดีภาษีอากร และนายมเหสักข์ พันธ์สง่า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ ร่วมแถลงข่าวการครอบครองรถยนต์จดประกอบของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ เนื่องจากเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
พ.ต.อ.ไพสิฐเปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการขยายผลคดีไฟไหม้รถหรู 6 คัน ที่ ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อปี 2556 เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนทราบว่ามีรถผิดกฎหมายจากการจดประกอบ โดยมีรถยนต์ 2 คันซึ่งมีผู้มาร้องเรียนให้ดำเนินการตรวจสอบ คันแรกเป็นรถยนต์ของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม จากการสอบสวนพบว่ารถคันดังกล่าวซื้อมาทั้งคันจากสหรัฐอเมริกา แต่ได้แยกชิ้นส่วนเข้ามาประเทศไทย มีการปลอมลายมือชื่อผู้อื่น พร้อมมาสำแดงการนำเข้าโครงรถยนต์เป็นยี่ห้อแพนเธอร์ ส่วนเครื่องยนต์เป็นยี่ห้อจากัวร์ หมายเลขตัวรถ 731 หมายเลขเครื่องยนต์ 8L 66240-L
สำหรับคันที่ 2 เป็นรถยนต์เบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พบมีการกระทำผิดตั้งแต่กระบวนการนำเข้า การเสียภาษี และใช้เอกสารเท็จ ทั้งนี้ ดีเอสไอขอยืนยันว่าการสอบสวนทุกคดีได้ใช้มาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาตามหลักฐานและข้อเท็จจริง ส่วนรถคันอื่นๆ ก็พร้อมดำเนินการทั้งหมด
ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์กล่าวว่า การตรวจสอบรถยนต์ของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน พบว่าได้จดทะเบียนทั้งคันที่สหรัฐอเมริกาเป็นยี่ห้อแพนเธอร์ แต่เกิดมีการเปลี่ยนทะเบียนขึ้น และหลวงพี่น้ำฝนได้ซื้อรถต่อจากคนไทยในสหรัฐอเมริกา ก่อนแยกชิ้นส่วนตัวถังกับเครื่องยนต์ส่งมาทางเรือเข้ามายังประเทศไทยและจดทะเบียนเป็นยี่ห้อจากัวร์ จนกระทั่งมาสำแดงเอกสารปรากฏชื่อนายชรินทร ปถคามินทร์ เป็นผู้นำเข้าโครงตัวถัง แต่จากการให้ปากคำนั้นเจ้าตัวบอกว่าถูกปลอมเอกสารลายมือชื่อทั้งหมด ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีอยู่ในเรือนจำ จ.นครปฐม ส่วนหลวงพี่น้ำฝนมีชื่อเป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์เอง ก่อนได้มีการประกอบรถยนต์คันที่มีปัญหาดังกล่าวขึ้นมา นอกจากนี้ ได้สอบปากคำผู้ครอบครองรถยนต์คันนี้ที่สหรัฐอเมริกาด้วยตัวเอง พบว่ากระบวนการลักษณะอย่างนี้เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีเพื่อชำระเงินในราคาที่ถูกลง อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวเพียงแต่รวบรวมพยานหลักฐานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สมบูรณ์ก่อน คาดว่าใช้เวลาอีกสักระยะ
“ส่วนรถยนต์ของสมเด็จช่วงนั้น พบว่ามีการกระทำผิดกฎหมายทุกขั้นตอนจนมาถึงกระบวนการปลอมแปลงเอกสารในการจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางบก โดยรถคันนี้จากการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ปรากฏว่าจริงแล้วราคา 4 ล้านบาท แต่มีการชำระภาษีสรรพสามิตในราคา 5.7 แสนบาท เท่ากับเป็นการชำระภาษีต่ำกว่าราคารถที่เป็นจริง ก่อนนำเอกสารไปขอจดทะเบียนรถต่อกรมการขนส่งฯ ในราคา 1 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินหายไป 3 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้ดำเนินคดีและออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องบางส่วนไปบ้างแล้ว นอกจากนี้ หากเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานพบว่ามีประเด็นเกี่ยวข้องกับสมเด็จช่วงก็จะส่งหนังสือไปเชิญ” พ.ต.ท.กรวัชร์กล่าว
อดีตพระยันตระ ย่องกลับบ้านเกิด ที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีเพียงลูกศิษย์คนสนิทเท่านั้น ที่ทราบข่าว และเดินทางไปเยี่ยมเยียน...
เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2559 นายวินัย ละอองสุวรรณ วัย 64 ปี หรืออดีตพระยันตระ ซึ่งไปอาศัยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลากว่า 20 ปี ได้เดินทางกลับมาบ้านเกิดที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช อย่างเงียบๆ อีกครั้ง เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยนายวินัย หรืออดีตพระยันตระ ได้เดินทางมาพักอยู่ที่บ้านนางวรรณี ละอองสุวรรณ พี่สาว ที่บ้านพักชุมชนต้นหาด เขตเทศบาลเมืองปากพนัง โดยจะอยู่จนถึงวันที่ 4 ส.ค.นี้ ก่อนจะเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 5 ส.ค. อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า ในช่วงที่อดีตพระยันตระเดินทางมาบ้านเกิด อ.ปากพนัง อย่างเงียบๆ มีเพียงลูกศิษย์คนสนิทเพียงไม่กี่คนที่ทราบข่าว เดินทางไปเยี่ยมเยียน ก่อนจะมีการชวนลูกศิษย์คนสนิททยอยกันไปเยี่ยม
นอกจากนี้ในช่วงที่พักอาศัยอยู่ที่บ้าน นางวรรณี พี่สาวที่ อ.ปากพนัง อดีตพระยันตระจะมีการนัดหมายลูกศิษย์และญาติโยม มาสนทนาธรรมในช่วงตี 5 ของทุกวัน และสนทนาธรรม หลังทำวัตรเย็นไปจนถึงเวลา 21.00 น. โดยการมาครั้งนี้เงียบเหงากว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากมีการปกปิดข่าว
ทั้งนี้ อดีตพระยันตระยังคงห่มชุดจีวรสีเขียว ในขณะที่ไว้ผม และหนวดยาวมีสีขาวกว่าทุกครั้ง ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม อดีตพระยันตระ เคยเดินทางมาเยี่ยมบ้านเกิด ที่ อ.ปากพนัง ครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อช่วงสงกรานต์ ปี 2557 หลังคดีหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี 2539 ขาดอายุความ แต่กลายเป็นข่าวฮือฮา เมื่อมีคนทราบข่าวจำนวนมากแห่ไปเยี่ยม จนสื่อมวลชนเสนอข่าวโด่งดังอีกครั้ง ทำให้อดีตพระยันตระต้องหลบผู้คน แอบเดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกา ทางประเทศมาเลเซีย
ขณะที่ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ตรวจสอบความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล จากกรณีข่าวการเดินทางมาประเทศไทยของอดีตพระยันตระ พบว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพที่ระบุว่า เป็นภาพถ่ายช่วงขณะเวลาที่อดีตพระยันตระเดินทางมาที่ อ.ปากพนัง จึงได้ติดต่อไปยังเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดยเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าวเปิดเผยทางโทรศัพท์ว่า ทราบข่าวมาจากกลุ่มลูกศิษย์ ว่าพระยันตระได้เดินทางมาประเทศไทย มาถึงเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกับลูกศิษย์ และมาพักอยู่ที่บ้านพักส่วนตัวใน อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ประมาณ 2-3 วันแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่19 ก.ค. ซึ่งเป็นวันอาสาฬหบูชา มีการจัดกิจกรรมทำวัตรเย็น สวดมนต์ เทศนา ฟังธรรมที่วัดรัตนาราม (บางบ่อ) ซึ่งอยู่ใกล้บ้านพัก ตนเองจึงได้ไปร่วมงานและพาลูกไปทำบุญ คาดว่าพระยันตระ น่าจะเดินทางกลับภายในสัปดาห์นี้
สำหรับ "พระยันตระ อมโรภิกขุ" หรือ "พระวินัย อมโร" เป็นข่าวโด่งดังเมื่อปี 2537 ตามหน้าหนังสือพิมพ์ หลังจากมีสีกากลุ่มหนึ่งร้องเรียนไปยังกรมการศาสนาว่า "ยันตระ" หรือ "นายวินัย ละอองสุวรรณ" ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่สมณเพศ เพราะได้ไปล่อลวงสีกา เสพเมถุนจนตั้งครรภ์ และคลอดบุตรสาวออกมา โดยสีกากลุ่มนี้ได้งัดเอาเทปสนทนาระหว่างพระยันตระกับสีกาที่ตกเป็นข่าวออกมาใช้เป็นหลักฐานด้วย ซึ่งข้อหาดังกล่าวที่กลุ่มสีการ้องเรียนนั้น รุนแรงถึงขั้นต้องอาบัติปาราชิก จนเมื่อประมาณปี 2537 มหาเถรสมาคมได้มีมติให้พ้นจากความเป็นพระสงฆ์ ทำให้ต้องระเห็จไปอาศัยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 22 กรกฎาคม ร.ต.อ.ภาสกร กันจู รอง สว.(สอบสวน) สน.ลุมพินี รับแจ้งเหตุรถยนต์พุ่งชนศาลท้าวมหาพรหม บริเวณสี่แยกราชประสงค์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. รุดไป พร้อม พ.ต.อ.พรชัย ชลอเดช ผกก.สน.ลุมพินี และพล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รรท.ผบช.น.) เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุพบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า โซลูน่า ทะเบียน พร 915 กรุงเทพมหานคร มีร่องรอยกระจกร้าวที่ด้านหน้าซ้าย ในรถพบนางคนึงนิจ เตโชฬาร อายุ 51 ปี เป็นคนขับ เบื้องต้นหมดสติ เจ้าหน้าที่นำส่ง รพ.กรุงเทพคริสเตียน และยังพบผู้บาดเจ็บ5 ราย มีนายจันโต คูร์เนียวาน อายุ 73 ปี นางโรซิตา คูร์เนียวาน อายุ 56 ปี ชาวอินโดนีเซีย นางอ่อง เช เตียว อายุ 70 ปี น.ส.อึ้ง ไอคาน เล้ง อายุ35 ปี ชาวสิงคโปร์ นำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และน.ส.ลีน่า บอง อายุ81 ปี ชาวจีน นำส่งโรงพยาบาลตำรวจ
จากการสอบสวนทราบว่า นางคนึงนิจ ขับรถมากับ นางฐิตา เตโชฬาร อายุ 20 ปี ลูกสาว ระหว่างที่ขับมาจากถนนพระรามที่1 ด้านหน้าวัดปทุมวนาราม มุ่งหน้าสี่แยกราชประสงค์ เพื่อเลี้ยวขวาไปทางถนนราชดำริ ระหว่างนั้นเกิดอาการเกร็งและหมดสติ จนทำให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ก่อนพุ่งชนแผงกั้นและเข้าไปชนผู้มาสักการะพระพรหมจนได้รับบาดเจ็บจำนวนดังกล่าว
พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุได้นำนางคนึงนิจ คนขับรถ ส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน แพทย์ระบุอาการเบื้องต้นว่าเกิดจากเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน ขณะนี้ดูอาการอยู่ที่ไอซียู สอดคล้องกับที่ลูกสาวของนางคนึงนิจ ยืนยันว่ามารดาขับรถมาจากถนนพระราม 1 เลี้ยวผ่านแยกราชประสงค์ ก็เกิดอาการช็อก โดยมารดาไม่เคยมีประวัติเป็นโรคลมชัก เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมตั้งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บไว้ก่อน และรอผลตรวจของแพทย์อย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะมีความเห็นทางคดี แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การก่อการร้ายแต่อย่างใด
ต่อมาเวลา 22.20 น. เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและรถยนต์ที่พุ่งเข้าชนศาลท้าวมหาพรหมเพื่อเก็บดีเอ็นเอ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนจะนำรถยนต์ไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง
ตำรวจยืนยันมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 รายจากเหตุกลุ่มมือปืนกราดยิงกลางห้างสรรพสินค้าที่พลุกพล่านในเมืองมิวนิคของเยอรมนีในช่วงค่ำวันศุกร์(22ก.ค.) เหตุระทึกขวัญที่ทำเอาเหล่านักช็อปปิ้งแตกตื่นหนีตายเอาชีวิตรอดและเจ้าหน้าที่เรียกมันว่า "การโจมตีก่อการร้าย" ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเมืองแห่งนี้ เพื่อไล่ล่าพวกคนร้ายที่กำลังหลบหนีอยู่
เจ้าหน้าที่บอกให้ประชาชนออกไปจากท้องถนนในขณะที่เมืองใหญ่สุดอันดับ 3 ของเยอรมนีแห่งนี้ ตกอยู่ในสภาพถูกปิดตายด้วยระบบขนส่งถูกระงับและถนนหลวงสายต่างๆถูกปิด
โฆษกตำรวจเผยว่ามีมือปืน 3 คนกำลังหลบหนีอยู่ หลังจากลงมือก่อเหตุ และเมืองแห่งนี้อยู่ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในระหว่างที่ตำรวจเดินหน้าไล่ล่าพวกเขา "เราบอกกับผู้คนของเมืองมิวนิค ว่ามีมือปืนกำลังหลบหนีอยู่และพวกเขาอันตราย" เขากล่าว "เราร้องขอให้ประชาชนอยู่แต่ในที่พักอาศัย"
ในเวลาต่อมาตำรวจเผยว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 รายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้เจ้าหน้าที่พบศพรายที่ 9 แต่อยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามันหนึ่งในมือปืนหรือไม่ ขณะที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายงานว่าหนึ่งในมือปืนเสียชีวิตจากการยิงปลิดชีพตนเองบริเวณศีรษะ แต่รอยเตอร์ไม่ยืนยันข้อมูลดังกล่าวว่าเป็นจริงหรือไม่
เจ้าหน้าที่ได้อพยพผู้คนออกจากห้างสรพสินค้าโอลิมเปีย หลังจากเบื้องต้นมีลูกค้าและพนักงานจำนวนมากที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายใน "มีการยิงหลายนัด ฉันไม่เห็นว่ามากแค่ไหน รู้แต่ว่าหลายนัด ฉันเห็นคนๆหนึ่งนอนอยู่กับพื้นและเหมือนจะได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ดูท่าจะไม่รอด เราไม่มีข้อมูลมากกว่านี้ เราหลบอยู่ด้านหลังของห้องเก็บสินค้า ตำรวจยังเข้ามาไม่ถึงจุดที่เราอยู่ เรากำลังรอให้ตำรวจเข้ามาช่วย" พนักงานคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าพบเห็นการกราดยิงทั้งภายในห้างสรรพสินค้าและบนถนนสายหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกัน
เหตุมือปืนกราดยิงกลางห้างสรรพสินค้าที่พลุกพล่านในวันศุกร์(22ก.ค.) นับเป็นเหตุความรุนแรงต่อพลเมืองในยุโรปตะวันตกครั้งที่ 3 ในระยะเวลาห่างกันเพียง 8 วัน โดย 2 หนก่อนหน้านี้ในฝรั่งเศสและเยอรมนี อ้างความรับผิดชอบโดยพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส)
แม้นายฟรังก์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเยอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนี ระบุว่าแรงจูงใจของเหตุโจมตีนองเลือดครั้งนี้ยังไม่ชัดเจน ขณะที่โฆษกตำรวจก็บอกเช่นกันว่ายังไม่พบสิ่งบ่งชี้ว่ามันเป็นการโจมตีของพวกอิสลามิสต์ แต่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติกับเหตุการณ์นี้ในฐานะ "ก่อการร้าย"
ขณะเดียวกันแม้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ แต่เหล่าผู้สนับสนุนของพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส) ได้ออกมาเฉลิมฉลองบนสื่อสังคมออนไลน์ "รัฐอิสลามกำลังแผ่ขยายในยุโรป" ข้อความหนึ่งในทวิตเตอร์ระบุ
มีการอพยพที่สถานีรถไฟหลักของเมืองมิวนิค ส่วนเจ้าหน้าที่ขนส่งเมืองมิวนิคเผยว่าได้ระงับบริการรถบัส รถไฟและรถราง ด้านสถานีโทรทัศน์บีอาร์ ระบุว่าตำรวจปิดถนนหลวงหลายสายทางเหนือของมิวนิคและแจ้งเตือนประชาชนให้ออกจากถนนเหล่านั้น
ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับสนามกีฬาโอลิมปิก สเตเดี้ยม ที่เคยเป็นสถานที่เกิดเหตุ "แบล็ค เซพเท็มเบอร์" กลุ่มนักรบปาเลสไตน์จับนักกีฬาอิสราเอล 11 คนเป็นตัวประกันและท้ายที่สุดก็ลงมือสังหารพวกเขาระหว่างโอลิมปิกเกมส์ในปี 1972
เหตุโจมตีในวันศุกร์(22ก.ค.) มีขึ้น 1 สัปดาห์ หลังจากผู้ลี้ภัยวัย 17 ปีรายหนึ่งใช้ขวานอาละวาดทำร้ายผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บหลายคนบนรถไฟขบวนหนึ่งในเยอรมนี เหตุโจมตีที่อ้างความรับผิดชอบโดยรัฐอิสลาม(ไอเอส) ทั้งนี้เขาถูกวิสามัญฆาตรรมหลังทำร้ายนักท่องเที่ยวจากฮ่องกงบนรถไฟได้รับบาดเจ็บ 4 คนและชาวบ้านอีกคนถูกเขาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บระหว่างที่เขาหลบหนี
ทั้ง 2 เหตุการณ์ในเยอรมนี มีขึ้นตามหลังเหตุโจมตีในวันชาติฝรั่งเศสที่เมืองนีซ โดยชายชาวตูนิเซียขับรถบรรทุกพุ่งชนฝูงชน คร่าชีวิต 84 ศพและพวกไอเอสออกมาอ้างความรับผิดชอบ
นางอังเกลา แมร์เคิล นกยกรัฐมนตรีเรียกประชุมฉุกเฉินสภาความมั่นคงในวันเสาร์(23ก.ค.) เพื่อจัดการกับเหตุกราดยิงนองเลือดในมิวนิค ส่วนประธานาธิบดีโยอาคิม เกาค์ ระบุในวันศุกร์(22ก.ค.) ว่าเขาสยดสยองต่อเหตุโจมตีเข่นฆ่าผู้คนในห้างสรรพสินค้ามิวนิคและขอแสดงความเสียใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต รวมทั้งขอเป็นหนึ่งเดียวกับบุคลากรหน่วยฉุกเฉินพที่พยายามปกป้องชีวิตผู้คน
ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯให้คำมั่นสนับสนุนเยอรมนี "เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรเกิดขึ้นที่นั่น แต่แน่นอนว่าหัวใจของเรามุ่งตรงไปที่นั่นเพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ"
ส่วนทำเนียบขาวประณามการโจมตีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นเหตุก่อการร้ายด้วยถ้วยคำรุนแรง โดยระบุ "เรายังไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่เรารู้ว่าพฤติกรรมที่ชั่วช้านี้ได้ฆ่าชีวิตและทำให้ผู้คนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ในย่านกลางเมืองของหนึ่งในเมืองที่มีชีวิตชีวามากที่สุดในยุโรป" จอช เออร์เนสต์ โฆษกระบุ พร้อมเสนอมอบทรัพยากรใดๆที่อาจช่วยเหลือการสืบวน