วอชิงตัน (เอพี/รอยเตอร์/บีบีซี นิวส์) - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ย้ำเรื่องความสำเร็จทางเศรษฐกิจและนโยบายคนเข้าเมืองในการแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภาเป็นครั้งแรก
ประธานาธิบดีทรัมป์วัย 71 ปี แถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภาในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที ตั้งแต่
เวลา 21.00-22.30 น.วันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 09.00-10.30 น. วันพุธตามเวลาในไทย กล่าวในหลายประเด็นแต่ส่วนใหญ่ย้ำเรื่องความสำเร็จทางเศรษฐกิจและนโยบายคนเข้าเมือง เขากล่าวว่า ทำให้เกิดการจ้างงานใหม่ถึง 2.4 ล้านตำแหน่ง ตลาดหลักทรัพย์พุ่งทะยาน เศรษฐกิจที่เติบโตเป็นผลจากมาตรการลดภาษีที่พรรครีพับลิกันผลักดันผ่านสภาเมื่อปลายปีก่อน ถือเป็นช่วงเวลาใหม่ของชาวอเมริกันและช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มการใช้ชีวิตแบบอเมริกันดรีม เขาอยากให้พรรคเดโมแครตประนีประนอมเพื่อผ่านความเห็นชอบโครงการสร้างถนน สะพานและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 47 ล้านล้านบาท)
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังขอให้เดโมแครตประนีประนอมเรื่องปกป้องผู้ลอบเข้าเมืองขณะยังเป็นเด็ก หรือที่เรียกว่าดรีมเมอร์ 1.8 ล้านคน ซึ่งจะถูกเนรเทศตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม หากทั้งสองพรรคไม่สามารถบรรลุข้อตกลงคนเข้าเมืองได้ เขาจะเปิดทางให้ดรีมเมอร์เหล่านี้ได้สัญชาติอเมริกันภายใน 10-12 ปี แลกกับการที่เดโมแครตสนับสนุนงบประมาณสร้างกำแพงด้านเม็กซิโกและจำกัดการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย เพราะการเปิดพรมแดนเปิดช่องให้แก๊งค้ายาเสพติดหลั่งไหลเข้าสหรัฐ
ด้านนโยบายต่างประเทศ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐเผชิญกับระบบอันธพาล กลุ่มก่อการร้าย และคู่แข่งอย่างรัสเซียและจีนที่ท้าทายผลประโยชน์ เศรษฐกิจและคุณค่านิยมอเมริกัน การมีอำนาจที่ไม่มีใครเปรียบได้คือหนทางที่ดีที่สุดในการปกป้องประเทศ ส่วนเกาหลีเหนือใกล้จะพัฒนาขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์พิสัยไกลที่เป็นอันตรายต่อทุกเมืองในสหรัฐได้ในเร็วๆ นี้รัฐบาลจึงกำลังกดดันอย่างที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ภายหลังจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 31 มกราคม หากประชาชนไม่ต้องการก็พร้อมลาออกจากตำแหน่ง ก็ส่งผลให้ภาคส่วนต่างๆ พากันออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้กันอย่างคึก โดยเฉพาะการทำโพลล์สำรวจความคิดเห็นอย่างไม่เป็นทางการว่า ประชาชนต้องการให้ พล.อ.ประวิตร อยู่หรือไปกันแน่
เริ่มจาก นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ได้เปิดแคมเปญผ่านเว็บไซด์ www.change.org ในหัวข้อ “อยากให้รองนายกประวิตรฯ ลาออก ตามที่ท่านได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 61 ที่กระทรวงกลาโหม” เพื่อล่ารายชื่อประชาชนที่เห็นว่า พล.อ.ประวิตร ควรลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่เปิดแคมเปญไม่นานก็มีประชาชนมาร่วมโหวตถึงกว่า 2 หมื่นคน
ขณะที่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กก็มีการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เช่นกัน โดยเพจ “ที่นี่ ThaiPBS” ก็ได้จัดทำโพลล์ในเรื่องดังกล่าว โดยมีการเปิดให้ประชาชนโหวตตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม และจะเป็นให้ออกเสียงเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งปรากฏว่าหลังจากมีการเปิดให้โหวตเพียงแค่ 18 ชั่วโมง มีประชาชนมาร่วมออกเสียงถึงเกือบ 1 แสนราย และมีผู้แชร์ออกไปอีกถึงกว่า 4.4 พันครั้ง โดยเบื้องต้นพบว่า มีผู้โหวตแสดงความเห็นว่า พล.อ.ประวิตร ควรลาออกมากถึง 96% ส่วนคนที่ต้องการให้อยู่มีเพียง 4% เท่านั้น
เช่นกันกับเพจชื่อดังอย่าง “Drama-addict” ที่มีการทำโพลล์ลักษณะเดียวกัน ซึ่งปรากฏว่า ผ่านไปยังไม่ทันพ้น 24 ชั่วโมงก็มีประชาชนมาร่วมลงความเห็นถึงกว่า 7 หมื่นคน โดยประชาชนถึง 6.7 หมื่นคน หรือ 95% ต่างพากันระบุว่า “อยากให้ลุงป้อมไปพักผ่อน” ส่วนที่เหลือส่วนน้อยเพียง 5% ระบุอยากให้อยู่ต่อ
อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันก็ยังมีกลุ่มมวลชนประมาณ 30 คน พากันเดินทางไปยังกระทรวงกลาโหม เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุน พล.อ.ประวิตร ให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป (อ่านรายละเอียดข่าว : เรารักลุงป้อม!!! กองเชียร์บุกกลาโหม ให้กำลังใจ 'ประวิตร' อยู่ต่อ)
1 ก.พ.61 นายวีระ สมความคิด โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “วีระ สมความคิด” อ้างถึงกรณีเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ แถลงความคืบหน้าว่า พ.ต.ท.สมัคร ปัญญาวงค์ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) หัวหน้างานสอบสวน สน.ปทุมวัน ได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งเพิ่มเติม รวม 39 คน ซึ่งมีนายวีระ รวมอยู่ด้วย ในความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ฐานร่วมกันชุมนุมในที่สาธารณะ ในรัศมี 150 เมตร จากวังของพระรัชทายาทหรือของพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พุทธศักราช 2558 มาตรา 7 วรรคแรก โดยให้ทั้งหมดมาพบพนักงานสอบสวนในวันศุกร์ที่ 2 ก.พ.นี้
ทั้งนี้ นายวีระ โพสต์ข้อความอ้างว่า “หมายเรียกลงวันที่ 30 ม.ค.2561 ให้ไปพบตำรวจในวันที่ 2 ก.พ. 2561 ภายใน 3 วัน นับจากออกหมายเรียก มันจะเร่งรีบร้อนรนเกินไปไหมคุณตำรวจ? พรุ่งนี้ผมยังไม่สะดวกไปพบตำรวจตามหมายเรียก ซึ่งทนายความของผมได้แจ้งต่อ พ.ต.ท.สมัคร แล้ว ขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน ผมจะไปพบตำรวจ ในวันเสาร์ที่ 3 ก.พ. 2561 เวลา 13.30 น.”
นอกจากนี้ นายวีระ ยังโพสต์ภาพกลุ่มประชาชนจาก จ.สมุทรปราการ สระแก้ว ปราจีนบุรี และชุมชนคลองลาดพร้าว กทม. รวมประมาณ 30 คน เดินทางมาที่หน้ากระทรวงกลาโหม พร้อมถือป้ายให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยโพสต์ข้อความอ้างว่า “หลักฐานการชุมนุมในที่สาธารณะเกิน 5 คน ห่างจากพระบรมมหาราชวังไม่เกิน 50 เมตร เป็นการชุมนุมทางการเมืองให้กำลังใจรองนายกฯ พล.ต.อ.ศรีวราห์ อย่าละเว้นนะ ต้องดำเนินคดีด้วย หากไม่ดำเนินคดีกับคนกลุ่มนี้เหมือนที่ดำเนินคดีผม ผมจะดำเนินคดีกับคุณศรีวราห์ตามป.อาญา ม.157”
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกมาประกาศพร้อมจะลาออกจากตำแหน่งหากประชาชนไม่ต้องการ ในระหว่างงานเลี้ยงอาหารกลางวันหน่วยงานขึ้นตรงของกระทรวงกลาโหม และสื่อมวลชนสายทหารเมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมาว่า “ผมยังไม่ได้เจอกับท่าน พล.อ.ประวิตร เลย เรื่องดังกล่าวเป็นความคิดเห็นของท่าน ผมคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นของท่าน หรือความคิดเห็นของใคร เพราะเดี๋ยวจะเกิดเป็นประเด็นขึ้นมา แต่ที่ท่านพูดมา ท่านคงอยากจะถ่ายทอดออกมาว่าที่ผ่านมาท่านได้ทำงานอะไรไปแล้วบ้าง”
1 ก.พ.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน กระทรวงต่างประเทศอังกฤษ ได้ขายสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษที่กรุงเทพมหานคร ให้กับฮ่องกงแลนด์ ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุนและอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป ในราคา 420 ล้านปอนด์ หรือราว 19,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาแพงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยเงินที่ได้ทางกระทรวงต่างประเทศอังกฤษจะนำไปใช้ในการปรับปรุงสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรทั่วโลก
โดยนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษกล่าวว่า สำหรับเจ้าหน้าที่สถานทูตอังกฤษในไทยจะต้องย้ายไปยังที่ทำการใหม่ในอาคารเอไอเอ สาธรทาวเวอร์ภายในปี 2562 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเพื่อเป็นการส่งเสริมความร่วมมือทางค้าและความสัมพันธ์ทวิภาคีในไทยและทั่วภูมิภาค
สำหรับสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำกรุงเทพฯ ถือเป็นอาคารที่มีโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลที่เก่าแก่และสวยงาม ภายในมีสวนพันธุ์ไม้เขตร้อน สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1922 (พ.ศ.2465) อย่างไรก็ตาม สิ่งปลูกสร้างและพื้นที่ส่วนใหญ่ภายในอาณาเขตของสถานเอกอัครราชทูตไม่ได้ถูกใช้งานแล้ว และอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมและหากต้องปรับปรุงอาคารครั้งใหญ่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล
1 ก.พ.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน จากการแถลงของศาลรัฐมิชิแกนครั้งล่าสุด เผยว่า เหยื่อที่ถูก นพ.แลร์รี นาสซาร์ (Larry Nassar) อายุ 54 ปี อดีตแพทย์ประจำทีมชาติยิมนาสติกสหรัฐอเมริกา ล่วงละเมิดทางเพศนั้นมีอย่างน้อย 256 คน
โดยเหยื่ออย่างน้อย 65 คน ได้ให้ปากคำในช่วงเวลาการพิจารณาคดี 3 วัน ต่อคดีที่นายนาสซาร์ ล่วงละเมิดคนไข้มาถึง 20 ปีโดยอ้างว่าเป็นวิธีการรักษาทางการแพทย์
ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายนาสซาร์ ถูกตัดสินให้ถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลานานถึง 40–175 ปี ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กสาวกว่า 160 คน โดยหนึ่งในจำนวนนี้เหยื่อที่อายุน้อยที่สุด เพียง 13 ปี และมีเด็กอายุ15-16 ปีด้วย ซึ่งคำตัดสินดังกล่าวเพิ่มจากโทษจำคุก 60 ปีที่ตัดสินไปก่อนนี้จากข้อหาครอบครองภาพลามกอนาจารเด็กมากกว่า 37,000 รูป
31 ม.ค.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยอมรับว่าเกาหลีเหนือมีความก้าวหน้าในการพัฒนาโครงการขีปนาวุธข้ามทวีป แต่เกาหลีเหนือยังไม่ได้พิสูจน์ประสิทธิภาพทั้งหมดว่าจะสามารถยิงโจมตีมาถึงสหรัฐได้
โดยพลอากาศเอกพอล เซลวา รองประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐ กล่าวว่า พวกเขามีความก้าวหน้าบางอย่างในโครงการนี้ แต่ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ครบทุกองค์ประกอบทั้งในเรื่องของส่งจรวดและเล็งเป้าหมาย ว่าจะสามารถทำได้อย่างที่กล่าวอ้างหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จะต้องคิดเอาไว้ก่อนว่ามีความเป็นไปได้ที่ คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ อาจสามารถทำมันได้ เพียงแต่ยังไม่ได้แสดงให้เห็น
ทั้งนี้ เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบขีปนาวุธมาอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2017 ทั้งพิสัยกลาง และขีปนาวุธข้ามทวีปที่ยิงผ่านน่านฟ้าประเทศญี่ปุ่นถึงสองครั้งในเดือนสิงหาคมและกันยายน โดยรัฐบาลเปียงยางอ้างว่ามีพิสัยทำการถึงแผ่นดินใหญ่ทั่วทั้งสหรัฐฯ ขณะที่สหประชาชาติได้มีมาตรการคว่ำบาตรมาอย่างต่อเนื่อง
1 ก.พ.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เกิดเหตุคนร้ายขว้างระเบิดเพลิงใส่บริเวณบ้านพักของ นางออง ซาน ซูจี ที่ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลสาบอินยา ในเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ก่อให้เกิดความเสียหายเล็กน้อย แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม โดยในขณะที่เกิดเหตุนางซูจีไม่ได้พักอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว เนื่องจากวันทำงานเธอจะอาศัยอยู่ที่บ้านในกรุงเนปิดอว์
อย่างไรก็ตาม การก่อเหตุในบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งเป็นสถานที่ที่นางซูจีที่ถูกรัฐบาลทหารควบคุมตัวในบ้านพักมานานหลายปี ทำให้เกิดการวิเคราะห์ว่าการก่อเหตุครั้งนี้อาจเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ ในขณะที่นางซูจีกำลังเผชิญหน้ากับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากประชาคมนานาชาติว่าเพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งร้ายแรงต่อ "ชาวโรฮิงญา" ในรัฐยะไข่ และหลายฝ่ายเห็นว่านางซูจีเลือกที่จะเงียบไม่วิจารณ์กองทัพในกรณีนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับปฏิกิริยาโต้กลับจากกลุ่มที่กุมอำนาจด้านความมั่นคงของประเทศซึ่งมีอำนาจมหาศาล
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012