12 ธ.ค. 2566 สถานีโทรทัศน์ France24 ของฝรั่งเศส เสนอข่าว Myanmar overtakes Afghanistan as world's biggest opium producer, UN report says อ้างรายงานของ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุว่า เมียนมา กลายเป็นประเทศที่มีผลผลิตฝื่นมากที่สุดในโลก โดยสูงถึง 1,080 ตัน แซงหน้าอัฟกานิสถาน ซึ่งอยู่ที่ 330 ตัน โดยฝิ่นนั้นเป็นวัตภุดิบสำคัญในการนำไปแปรรุปเป็นเฮโรอีน
พื้นที่ชายแดน “สามเหลี่ยมทองคำ” ระหว่างเมียนมา ลาวและไทย เป็นแหล่งผลิตและค้ายาเสพติดที่ผิดกฎหมายมายาวนาน โดยเฉพาะยาบ้าและฝิ่น ซึ่งUNODC ระบุมูลค่ารวมโดยประมาณของ “เศรษฐกิจฝิ่น” ของเมียนมาเพิ่มขึ้นเป็นระหว่าง 1,000 – 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเท่ากับร้อยละ 1.7 - 4.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศในปี 2565 โดยในปี 2565 เมียนมาปลูกฝิ่นได้ 790 ตัน
ในขณะที่กลุ่มตาลีบันซึ่งปกครองอัฟกานิสถาน ได้ออกนโยบายห้ามปลูกฝิ่นมาตั้งแต่เดือน เม.ย. 2565 สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมาซึ่งเริ่มจากการรัฐประหารของกองทัพในปี 2564 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแบบถูกกฎหมายของประเทศ การเข้าถึงตลาดและโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่ย่ำแย่ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรหันไปปลูกฝิ่น ซึ่ง UNODC กล่าวว่า การผลิตฝิ่นในปี 2565 - 2566 อยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ การปลูกฝิ่นในเมียนมายังซับซ้อนมากขึ้น ด้วยการลงทุนที่เพิ่มขึ้นและแนวทางปฏิบัติที่ดีขึ้น รวมถึงการปรับปรุงการชลประทานและการใช้ปุ๋ยที่เป็นไปได้ ส่งผลให้ผลผลิตพืชเพิ่มขึ้น
ในเมียนมา พื้นที่เพาะปลูกหลักคือรัฐฉานทางตอนเหนือ ซึ่งได้รับความเสียหายจากการสู้รบในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์เปิดฉากโจมตีรัฐบาลเผด็จการทหารและพันธมิตร ตามรายงานของสหประชาชาติ ระบุว่า รัฐฉานคิดเป็นร้อยละ 88 ของพื้นที่ฝิ่นทั่วประเทศ 41,300 เฮกตาร์ หรือเกือบ 2.6 แสนไร่ ในภาคตะวันออกของรัฐฉาน ผลผลิตฝิ่นโดยเฉลี่ยต่อเฮกตาร์เพิ่มขึ้นจาก 19.8 กิโลกรัมในการสำรวจปี 2565 เป็น 29.4 กิโลกรัมในปี 2566
รัฐฉานครอบครองพื้นที่เกือบ 1 ใน 4 ของเมียนมา และมีหุบเขาลึกและเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้กระจายอยู่ทั่วไปที่นั่นมีกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่น่าตื่นตะลึง ซึ่งสามารถระดมนักรบติดอาวุธได้หลายหมื่นคนเข้าควบคุมพื้นที่ของรัฐ ซึ่งสหประชาชาติกล่าวว่าเป็นแหล่งผลิตหลักของเมทแอมเฟตามี หรือยาบ้า ในภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อีกด้วย ขณะที่บางแห่งบริหารจัดการเขตปกครองตนเองที่รัฐบาลทหารชุดก่อนๆ มอบให้ ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าเป็นที่ตั้งของบ่อนการพนัน สถานค้าประเวณี และโรงงานผลิตอาวุธ
สหประชาชาติกล่าวว่า การปลูกฝิ่นยังได้เพิ่มขึ้นในรัฐกะฉิ่นทางตอนเหนือ และในรัฐชิน ซึ่งอยู่ติดกับอินเดีย ทั้งนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่า กองทัพซึ่งโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและยึดอำนาจในปี 2564 ไม่ได้จริงจังกับการยุติการค้ายาเสพติดมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐนี้ ขณะที่การยอมรับที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักเมื่อต้นปี 2566 หัวหน้าคณะกรรมการกลางว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดของเมียนมา กล่าวว่า ความพยายามของเมียนมาในการทำลายการค้ายาเสพติดไม่ส่งผลกระทบใดๆ
14 ธันวาคม 2566 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณีนายสมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักมวยเหรียญทองโอลิมปิก เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น หลังถูกศาลอนุมัติหมายเรียก 4 ข้อกล่าวหา ซึ่งนายสมรักษ์ยังปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ว่า นายสมรักษ์ควรให้การรับสารภาพ เพราะอาจเป็นเหตุบรรเทาโทษจากหนักเป็นเบาได้ เนื่องจากนายสมรักษ์ เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและเคยทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ประกอบกับข้อหาดังกล่าวมีอัตราโทษสูง อีกทั้งพยานหลักฐาน ทั้งกล้องวงจรปิด และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น สารคัดหลั่งต่างๆที่บ่งชี้ชัดเจนว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง และเด็กยังยืนยันว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศจริงทั้งที่ตนได้ขัดขืนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการตรวจสอบคัดหลั่งจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะใช้ประกอบพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป
พล.ต.อ สุรเชษฐ์ กล่าวถึงกรณีโซเชียลมีเดียวิพากษ์วิจารณ์เด็กอายุ 17 ปี มีเจตนาหรือมีการวางแผนมาก่อนหรือไม่ ว่า ต้องชี้แจงว่ากฎหมายคุ้มครองเด็กทั่วโลกนั้นเหมือนกัน คือ ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ แต่การกระทำของผู้ใหญ่ถือว่าเข้าข่ายกระทำความผิดทั้งหมด และมองว่านายสมรักษ์ ควรรู้เรื่องนี้เพราะนายสมรักษ์เองก็มีบุตรสาวเช่นกัน จะอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นเด็กไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปฏิบัติไปตามหน้าที่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากกระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นระบบกล่าวหา นายสมรักษ์จึงยังมีสิทธิ์ต่อสู้ข้อกล่าวหาได้ แต่ย้ำว่านายสมรักษ์ควรรับสารภาพเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่เหมาะสม
รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า สำหรับน้องชายของนายสมรักษ์ ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาใน 2 ฐานความผิด เนื่องจากพบว่ามีการร่วมกันพาและพรากผู้เยาว์ โดยเป็นผู้ขับขี่จักรยานยนต์พานายสมรักษ์ และเด็กอายุ 17 ปี ไปยังโรงแรม ทั้งยังเป็นคนส่งสัญญาณให้เด็กอายุ 17 ปี เดินตามนายสมรักษ์เข้าโรงแรมไป ทั้งที่ไม่ใช่ที่พักของเด็ก
“ส่วนสถานบันเทิงได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแล้วว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดหรือไม่ และให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ประสานไปยังฝ่ายปกครองหรือผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นเพื่อดำเนินการตามกฎหมายแล้ว” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว
เพื่อนของเยาวชนวัย 17 ปี ได้เล่าผ่านไลฟ์มีข้อความดังนี้ ที่ออกมาพูด ไม่ได้จะพาดพิงถึงเค้า แค่จะออกมาปกป้องตัวเอง สาว 17 ไม่ใช่เพื่อนโดยตรง เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีหนึ่งแนะนำให้รู้จักกัน เพิ่งรู้จักกันวันแรกคือวันที่เกิดเรื่อง ตอนนี้คนที่เกิดเรื่องเค้าปิดเฟซบุ๊กหนีไปแล้วโดยไม่ออกมาชี้แจงอะไร เหมือนเป็นการโยนขี้ให้เพื่อน ทำให้พวกเราโดนทัวร์ลงว่าทำไมถึงปล่อยเพื่อนไปกับเขา (ไปกับสมรักษ์) ....... หนูไม่รู้ว่าเขาเอาไปเล่าให้พ่อเขาฟังยังไง พวกเราไม่ได้ทิ้งเพื่อน ถ้าใครเห็นคลิปที่เพจอีจันเอาไปลง จะเห็นว่าคนนี้ไม่ได้อยู่ในกล้อง แต่หนูอยู่ในกล้องคนที่ใส่กระโปรงสีขาว ที่เดินไปหาเพื่อน ไปถามว่า จะไปจริงๆเหรอ จะกลับกับเขาจริงๆเหรอ ? แล้วเขาก็เดินไปที่รถสมรักษ์ และมีเพื่อนไปบอกว่าจะพาส่งห้องแต่สาว 17 ทำสีหน้าไม่ดีใส่ เพราะไม่อยากกลับห้องกับเพื่อน เพราะว่าพวกหนูก็ไม่ได้สนิทกับเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
14 ธันวาคม 2566 พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม. สั่งการ พ.ต.อ.ก่อเกียรติ วุฒิจำนงค์ ผกก.1 บก.ปคม.พ.ต.ต.สุรศักดิ์ หญีตบึ้ง สว.กก.1 บก.ปคม.จับกุม นายวิเชียร ( สงวนนามสกุล ) อายุ 49 ปี และ น.ส.จตุพร (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี สองผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดจันทบุรี ข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง” ได้ที่ บริเวณลานจอดรถ เทพรัตน์แมนชั่น ถ.กำแพงเพชร 2 แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
เนื่องจากช่วงระหว่างปี 2563-2566 ขณะที่ผู้ต้องหาทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากันนั้น ยังทำงานเป็นพนักงานฝ่ายบัญชีปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งในพื้นที่ย่านเขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ได้ร่วมกันลักเงินของปั้มที่ได้จากการขายน้ำมันไปรวมกว่า 24 ล้านบาท ก่อนหลบหนีไป หลังเจ้าของปั้มน้ำมันทราบเรื่องจึงเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.เขาคิชฌกูฏ จนมีการออกหมายจับ ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทราบว่าปัจจุบันทั้งสองได้หนีมากบดานซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จึงนำกำลังตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว
สอบสวนทั้งสองให้การรับสารภาพ อ้างว่าต้องการหาเงินไปเล่นพนัน เบื้องต้นจึงนำตัวส่ง สภ.เขาคิชฌกูฏ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” สร้างสถิติใหม่ ยอดขายรถยนต์กระฉูดกว่า 5 หมื่นคัน รถไฟฟ้ามาแรง จักรยานยนต์คึกคัก ผู้ชมกว่า 1.5 ล้าน เงินสะพัด 7.2 หมื่นล้าน
นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” เปิดเผยว่า “ปีนี้เป็นงานฉลองครบรอบ 40 ปี ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้ง ผู้อุปถัมภ์ ผู้สนับสนุน ค่ายรถยนต์ รถจักรยานยนต์ อุปกรณ์เกี่ยวเนื่อง ธุรกิจเรือ อากาศยาน ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน รวมถึงผู้เข้าชมงานที่เมืองทองธานี และออนไลน์ จำนวนมหาศาล”
สำหรับยอดจองรถในงาน แบ่งเป็นรถยนต์ 53,248 คัน จักรยานยนต์ 7,373 คัน และจากข้อมูลผู้ร่วมกิจกรรม “ซื้อรถ...ชิงรถ” พบว่า มีผู้ร่วมกิจกรรมสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว 22.4% โดยเป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป 61.6% และเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 38.4% รถยนต์ที่ผู้ซื้อเข้าร่วมกิจกรรมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ HONDA, TOYOTA, CHANGAN ส่วนรถรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่มียอดจองสูงสุด ได้แก่ CHANGAN, BYD, AION
ประเภทรถที่ได้รับความสนใจสูงสุด รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) 57.3 % รถเก๋ง 18.3 % รถท้ายลาด 10.4 % รถกระบะ 9.5 % และอื่นๆ 4.5 % ด้านรถจักรยานยนต์ที่ผู้ซื้อเข้าร่วมกิจกรรม “ซื้อมอเตอร์ไซค์...ชิงบิกไบค์” สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ YAMAHA, LAMBRETTA, และ EM
ราคาเฉลี่ยของรถที่ขายได้ในงาน 1,323,962 บาท รถจักรยานยนต์เฉลี่ย 198,488 บาท เงินหมุนเวียนในงานราว 7.2 หมื่นล้านบาท ยอดผู้เข้าชมงาน 1,503,030 คน แพคเกจ Motor Expo Exclusive Visitors ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนยอดดาวน์โหลด Motor Expo Application 46,966 คน และมีผู้ชมงานผ่าน Online Platform 1,091,375 ครั้ง
ส่วน JOIN BOAT PLATFORM ที่เป็นศูนย์รวมธุรกิจเรือ กิจกรรมทางน้ำ และ AVIATION ZONE ที่จัดแสดงนวัตกรรม เทคโนโลยี สถาบันฝึกอบรมด้านการบิน ธุรกิจเครื่องบินเช่าเหมาลำ ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก สร้างยอดเงินสะพัด 2 โซน รวมมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท
พบกันใหม่ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ motorexpo.co.th และทุกสื่อในเครือ “IMC สื่อสากล”
มานากัว (เอเอฟพี) - ผู้อำนวยการกองประกวดมิสยูนิเวิร์สนิการากัวตัดสินใจลาออกแล้ว หลังถูกทางการตั้งหลายข้อหาหนักองค์การมิสยูนิเวิร์สแถลงว่า คาเรนเซเลเบอร์ตติ เจ้าของลิขสิทธิ์และผู้อำนวยการกองประกวดมิสยูนิเวิร์สนิการากัว ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้วเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ระหว่างที่ยังพักอยู่ในเม็กซิโกหลังจากที่เธอถูกทางการนิการากัวตั้งหลายข้อหาหนักทั้งเป็นกบฏ สมรู้ร่วมคิดในการต่อต้านรัฐบาล รวมถึงฟอกเงิน ทำให้เซเลเวอร์ติถูกทางการสั่งห้ามเดินทางกลับประเทศ หลังจากที่สาวงามนิการากัวไปคว้ามงกุฏมิสยูนิเวิร์สประจำปี 2023 มาครองได้สำเร็จเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จากการประกวดที่ประเทศเอลซัลวาดอร์
ความสำเร็จของเชย์นิส ปาลาซิออส นางงามจักรวาลคนล่าสุด และเป็นมิสยูเวิร์สคนแรกของประเทศสร้างความตื่นเต้นยินดีให้กับชาวนิการากัวซึ่งมีการเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริก แต่รัฐบาลนิการากัวกลับไม่ได้ปลาบปลื้มด้วย เพราะก่อนหน้านี้ ปาลาซิออสเคยเข้าร่วมในการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีแดเนียล ออร์เตกา และหลังจากที่เธอได้รับมงกุฏก็ปรากฏภาพการเข้าร่วมชุมนุมถูกแชร์ว่อนในโลกออนไลน์
นอกจากนางเซเลเบอร์ตติที่ถูกสั่งห้ามเข้าประเทศและยังถูกตำรวจตั้งหลายข้อแล้ว สามี และลูกชายของเธอก็ถูกทางการควบคุมตัวเอาไว้ในกรุงมานากัวอีกด้วย ส่วนปาลาซิออส ยังคงอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ โดยยังไม่มีกำหนดเดินทางกลับบ้านเกิด
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012