ข่าว
สุดช็อก ‘เลดี้ กาก้า’เผย เคยถูกโปรดิวเซอร์ข่มขืน

‘เลดี้ กาก้า’ นักร้องสาวชื่อดัง เผยขณะออกรายการ The Howard Stern Show ยอมรับว่า เคยโดนข่มขืนมาแล้ว ซึ่งนักร้องสาววัย 28 ปี บอกว่า ตนเองเคยผ่านเรื่องแย่ๆ สมัยอายุ 19 ปี ต้องเข้าบำบัดหลายครั้งเพื่อให้ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายให้ได้

โดย โฮเวิร์ด สเติร์น พิธีกรรายการสามารถเค้นความลับออกจากปากเลดี้ กาก้า ได้สำเร็จ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ค่อยอยากพูดถึง แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ยอมพูดหลังถูกต้อนอย่างหนัก โดยเธอยืนยันว่าเธอถูกข่มขืนสมัยเป็นวัยรุ่น โดยฝีมือของโปรดิวเซอร์ดนตรีที่แก่กว่าเธอ 20 ปี

เธอต้องผ่านช่วงเวลาของการบำบัดฟื้นฟูสภาพจิตใจอยู่หลายปี และได้ดนตรีคอยช่วยเหลือเธอ แต่สุดท้ายเธอไม่ได้แจ้งความจับโปรดิวเซอร์คนนี้ และเธอยังต้องเจอเขาอีกที่ร้านค้า ซึ่งเธอถึงกับตัวแข็งด้วยความกลัว

แต่ประสบการณ์เจ็บปวดดังกล่าว กลายเป็นแรงบันดาลใจ ในการแต่งเพลง "Swine" โดยเพลงนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการข่มขืน และความเสื่อมทรามทางจิตใจของคน

"ชูวิทย์" บ่นถูกบังคับ ให้ลงเรือลำเดียวกัน

จากกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จัดสัมมนาในหัวข้อ "บทบาทหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อการปฏิรูปประเทศ" ประจำปี 2557 ในวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยืนยัน เร่งพิจารณากฎหมายที่มีคุณภาพ ขณะที่รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันไม่มีพิมพ์เขียวการยกร่างรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้บรรยายเรื่อง "บทบาทของ สนช. กับการพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืน" โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า “วันนี้ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว เหมือนคำโบราณที่ว่า ลงเรือแป๊ะ ต้องตามใจแป๊ะ ไม่เช่นนั้นจะถูกแป๊ะไล่ลงจากเรือ ก็ต้องตามใจแป๊ะ...คือเข้าใจในสิ่งที่เขาอยากให้เข้าใจ ส่วนเรื่องการทำประชามติ ภายหลังการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วนั้น ก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวให้มีการทำประชามติได้ อาจจะต้องใส่เพิ่มไป 5 - 7 มาตรา ซึ่งภารกิจนี้วันหนึ่งอาจจะมาถึง สนช.”

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ภาพและข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว "ชูวิทย์I′mNo.5" ถึงกรรีดังกล่าว โดยระบุว่า


"พวกเราถูกบังคับให้ลงเรือลำเดียวกัน
เปรียบเสมือนลงเรือแป๊ะมือใหม่
ไม่รู้ว่าแป๊ะจะพาเราไปทางไหน
กลุ้มใจพวกชอบเลียแป๊ะจริงๆ"

จ่อล้างบาง! ขั้ว‘พงศ์พัฒน์’ ย้ายรองผบก.ออกนอกหน่วย

ผบ.ตร.จ่อ “ล้างบาง” ครั้งใหญ่กองปราบปราม สลายขั้วอำนาจเก่านายตำรวจใกล้ชิด “พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” ออกนอกหน่วย รอง ผบก.-ผกก. เด้งระนาวกราวรูด “ประวุฒิ” แฉที่ผ่านมาส่งเสริมทำกันเป็นกองบัญชาการอิสระ ทำตามใจตัวเอง ไม่เห็นหัวรอง ผบช. หรือ ผบก. ด้าน “เสี่ยนพพร” ยังล่องหน มั่นใจอยู่กัมพูชา พนักงานสอบสวนขยายล่า “ไอ้เจี๊ยบ” ตัวเชื่อมโยงพาทีมไปอุ้มผู้เสียหายขอลดหนี้นับร้อยล้านบาท

การขยายผลเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. กับพวกที่ก่อเหตุแอบอ้างสถาบัน เรียกรับผลประโยชน์ซื้อขายเก้าอี้แต่งตั้งโยกย้าย พัวพันน้ำมันเถื่อน เปิดบ่อนการพนัน รวมถึงตั้งแก๊งอุ้มทวงหนี้ ลดหนี้เหยื่อ มีนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ปัตตานี พ่อค้าน้ำมันร่วมเอี่ยวจ่ายส่วยน้ำมันเถื่อน และนายนพพร ศุภพิพัฒน์ นักธุรกิจมหาเศรษฐีของเมืองไทย ตกเป็นผู้จ้างวานใช้ญาติอดีต ผบช.ก.อ้างสถาบันไปอุ้มผู้เสียหายไปบังคับให้ลดหนี้มูลค่า 120 ล้านบาท หรือเพียง 20 ล้านบาท รวมอยู่ในขบวนการด้วย

ความคืบหน้าที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 5 ธ.ค. พล.ต.ต.ภัคพงษ์ พงษ์เภตรา รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 พ.ต.อ.ชุมพล พุ่มพวง รอง ผบก.น.5 พร้อมด้วยพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง และพนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ร่วมประชุมตรวจสอบความเรียบร้อยสำนวนคดีจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ก่อเหตุกรรโชกทรัพย์ทวงหนี้ผู้เสียหาย 30 ล้านบาท และบังคับข่มขู่ให้ลดค่าเสียหายมูลค่า 120 ล้าน เหลือเพียง 20 ล้านบาท ตามที่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ได้เร่งรัดให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนส่งสำนวนคดีที่ บช.น. รับผิดชอบ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาตรวจสอบสำนวนโดยกำหนดไว้ไม่เกินวันที่ 10 ธ.ค.นี้

ในที่ประชุมชุดสอบสวนสรุปคดีทั้ง 2 คดี แบ่งเป็นคดีกรรโชกทรัพย์ทวงหนี้ผู้เสียหาย 30 ล้านบาท ท้องที่ สน.พระโขนง มีผู้ต้องหาร่วมกระทำผิด 7 คน จับกุมได้แล้ว 5 คน เหลืออีก 2 คน คือ นายปรีชา ดาราไตร เป็นเจ้าหนี้ และนายไพเชษฐ์ เมธีสริยพงศ์ เจ้าของบ้านที่อุ้มผู้เสียหายไปเจรจา ส่วนอีกคดี ข่มขู่บังคับให้ผู้เสียหายลดหนี้ มีผู้ต้องหาร่วมกระทำผิด 11 คน จับกุมได้แล้ว 9 คน เหลืออีก 2 คน รวมทั้งหมดมีผู้ร่วมกระทำผิดรวม 14 คน ร่วมก่อเหตุทั้งท้องที่ สน.พระโขนง และ สน.วัดพระยาไกรด้วยกัน

พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 ให้สัมภาษณ์ว่า ร่วมประชุมพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบสำนวนคดีให้มีความเรียบร้อยและรัดกุม ก่อนส่งสำนวนให้ ตร.พิจารณาตามที่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ กำชับไว้ ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับผู้ต้องหาที่ก่อเหตุเพิ่มเติม รวมทั้งไม่ได้รับรายงานการจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนี โดยเฉพาะนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ผู้ต้องหาจ้างวานไปบังคับข่มขู่ผู้เสียหายให้ลดค่าหนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า นายนพพรเดินทางออกนอกประเทศแล้ว

ด้าน พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามจับกุมนายนพพร ศุภพิพัฒน์ นักธุรกิจหนุ่มว่า ล่าสุดได้รับรายงาน ว่านายนพพรยังอยู่ในประเทศกัมพูชา และยังไม่ได้รับการติดต่อว่าจะขอเข้ามอบตัวแต่อย่างใด ชุดสืบสวน ได้ประสานงานกับด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว หากพบนายนพพรเดินทางกลับประเทศจะดำเนินการจับกุมทันที ส่วนนายเจี๊ยบอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนหาชื่อและนามสกุลจริงอยู่ ขณะนี้มีเพียงหมายจับชายไทยตามภาพสเกตซ์เท่านั้น

สายวันเดียวกัน พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร พานายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ผู้เสียหายไปชี้จุดร้านอาหารอัญญาเพลสเรสเตอรองต์ เลขที่ 152 หมู่ 5 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม สถานที่ที่กลุ่มผู้ต้องหากับพวกรวม 8 คน พาไปเจรจาตกลงให้ลดหนี้นายนพพร ศุภพิพัฒน์ จากยอดหนี้ 120 ล้านบาท ให้เหลือเพียง 20 ล้านบาท กลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดใส่ชุดซาฟารีสีเข้ม สวมแว่นตาดำ ไปหาเหยื่อที่คอนโดริเวอร์ หรือลัดดาวัลย์ ย่านเจริญกรุง ในวันเกิดเหตุ และข่มขู่ รปภ. ประจำอาคาร ทำลายกล้องวงจรปิดไม่ให้เป็นหลักฐานมัดตัว

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และ รรท.ผบช.ก. เปิดเผยว่า มีคำสั่งให้ติดตามตัวนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์เอนเนอร์ยี่โฮลดิ้ง จำกัด บริษัทไฟฟ้าพลังลมรายใหญ่ของประเทศที่ถูกหมายจับมาดำเนินคดี ควบคู่กับเร่งติดตามนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ นายทุนน้ำมันเถื่อนภาคใต้ โดยเฉพาะนายสหชัย เป็นผู้มีบทบาทในการค้าน้ำมัน เถื่อนรายใหญ่ มีส่วนสำคัญในการจ่ายส่วยให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐแทบทุกหน่วยที่รับผิดชอบ ถือเป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้ามาเกี่ยวข้องผลประโยชน์น้ำมันเถื่อน

ด้านความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคดีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของนายตำรวจใหญ่และนายตำรวจคนสนิทที่เข้ามาเกี่ยวข้องการเรียกรับผลประโยชน์ ทั้งบ่อนการพนัน น้ำมันเถื่อน และการแต่งตั้งโยกย้าย ซื้อขายตำแหน่ง เป็นคนกลุ่มเดียวในหน่วยงาน บช.ก.ไม่ใช่ตำรวจทั้งหมดจะเกี่ยวข้อง แยกเป็นกลุ่ม 2-3 สาย เข้าสู่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. พล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์ อดีต รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีต ผบก.รน. มีการส่งเสริมทำให้เกิดระบบกองบัญชาการอิสระ มีอำนาจเด็ดขาด

ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.มีคำสั่งให้ทุกหน่วยจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายระดับ รอง ผบก.-สารวัตร ประจำปี 2557 นำเสนอขึ้นมาพิจารณา ปรากฏว่า ส่วนของ บช.ก. พล.ต.อ.สมยศขอไปหารือร่วม พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.ผบช.ก. วางตัวผู้เหมาะสมลงในหน่วยสำคัญอย่าง บช.ก.เพื่อล้างเครือข่ายขั้วอำนาจ อดีต บช.ก. คาดว่าจะมีการล้างบางครั้งใหญ่ ย้ายคนในสาย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ออกนอกหน่วย โดยเฉพาะตำแหน่งหลัก รอง ผบก.ป.-ผกก.


โอบามาตั้งรมว.กลาโหมคนใหม่ แอชตัน คาร์เตอร์ดูแลกิจการทหาร

กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่6ธ.ค.ว่า นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศแต่งตั้งนายแอชตัน คาร์เตอร์ อดีตรมช.กระทรวงกลาโหมสหรัฐ และมีความเป็นกลางทางการเมือง มาดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงกลาโหม เพื่อให้มาทำหน้าที่ดูแลกิจการทหารในตะวันออกกลาง แม้จะถูกตัดทอนงบประมาณก็ตาม

ทั้งนี้นายคาร์เตอร์คาดว่าน่าจะได้รับเสียงรับรองจากวุฒิสภาอย่างไม่ยากเย็น โดยการปรับเปลี่ยนรมว.กลาโหมในครั้งนี้ถือเป็นตำแหน่งสำคัญตำแหน่งเดียวของฝ่ายความมั่นคงที่ผู้นำสหรัฐตัดสินใจเปลี่ยนในช่วงสมัยที่2ของเขา ขณะที่นายโอบามาแสดงให้เห็นว่า เป็นไปได้ยากมากที่เขาจะเปลี่ยนทีมที่ปรึกษาความมั่นคงอย่างนางซูซาน ไรซ์ และนายเดนิส แมคโดนอจ หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว ซึ่งมีประสบการณ์ด้านนโยบายระหว่างประเทศอย่างโชกโชน

นายคาร์เตอร์ได้มารับตำแหน่งรมว.กลาโหมสืบต่อจากนายชัค เฮเกล รมว.กระทรวงกลาโหมคนก่อนหน้า ที่ลาออกจากตำแหน่งภายใต้แรงดันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังเก้าอี้ตำแหน่งสั่นคลอนมาได้ระยะหนึ่ง โดยนายเฮเกลไม่ได้เข้าร่วมพิธีประกาศแต่งตั้งนายคาร์เตอร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา


พสกนิกรไทยถวายพระพร ‘พ่อหลวง’ ทรงพระเจริญ

พสกนิกรชาวไทยร่วมแสดงความจงรักภักดี พร้อมใจสวมใส่เสื้อเหลือง ร่วมจุดเทียนสว่าง ไสวไปทั่วหล้า เปล่งเสียงถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้อง รวมถึงผนึกกำลังทำความดีถวายเป็นพระราชกุศล ด้าน “หมออุดม” แจงเหตุแถลงการณ์ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงงดพระราชกรณียกิจ ออกมหาสมาคมฯ ยืนยันพระพลานามัยไม่ผิดปกติ แต่เป็นช่วงของการพักฟื้น เพื่อเรียกพระกำลังกลับคืนมา ย้ำไม่อยากให้ประชาชนตกใจ ไม่ได้ประชวรร้ายแรง

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 87 พรรษา 5 ธันวาคม 2557 พสกนิกรทั่วประเทศพร้อมใจสวมเสื้อสีเหลืองออกมาประกอบพิธีทางศาสนา ทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ถวายเป็นพระราชกุศลกันตั้งแต่เช้า และร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลในช่วงค่ำ ขณะที่ก่อนหน้านี้ สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาฯ กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตให้งดพระราชกรณียกิจ เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระ บรมมหาราชวัง

แถลงการณ์งดพระราชกรณียกิจ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่มีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมารอเฝ้ารับเสด็จ พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามเส้นทางที่จะเสด็จฯ ไปยังพระบรมมหาราชวังตั้งแต่บ่ายวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่เมื่อเวลาประมาณ 01.15 น. วันที่ 5 ธ.ค.สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 11 ระบุว่า ตามที่หมายกำหนดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ในวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทราวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชน ถวายพระพรชัยมงคลนั้น คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้รายงานว่า คณะแพทย์ฯได้ถวายการตรวจพระวรกาย เมื่อเย็นวันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 มีความเห็นว่า ยังไม่พร้อมที่จะเสด็จออก จึงได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตให้งดพระราชกิจไว้ก่อน จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

พสกนิกรยังปักหลักถวายพระพร

หลังจากที่พสกนิกรได้รับทราบข่าวแถลงการณ์ดังกล่าวปรากฏว่า ทุกคนที่มาปักหลักรอรับเสด็จ ภายในโรงพยาบาลศิริราชต่างพากันจับกลุ่มแสดงความเป็นห่วงในพระอาการของพระองค์ พร้อมกันนี้บางรายได้เดินมาที่บอร์ดภายในศาลาศิริราช 100 ปีที่เจ้าหน้าที่นำแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวมาติดไว้ แต่เกือบทุกรายยังคงยืนยันที่จะปักหลักเฝ้ารอชื่นชมพระบารมีอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชต่อไป พร้อมกับย้ายจากที่ปักหลักเฝ้ารออยู่บริเวณด้านหน้าตึกกายวิภาค หน้าหอประชุมราชแพทยาลัย ถนนบวรสถานพิมุข ได้ย้ายมาปักหลักที่บริเวณลานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และบริเวณทางเดินเข้าสู่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นอาคารที่ประทับ โดยทุกสายตาจับจ้องไปที่ชั้น 16 ที่ประทับ พร้อมกับโบกธงชาติไทย และธงตราสัญลักษณ์ บางรายชูพระบรมฉายาลักษณ์ไว้เหนือศีรษะ พร้อมกับเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” เป็นระยะๆ

พสกนิกรจุดเทียนชัยแน่นศิริราช

ช่วงเวลาเดียวกัน ที่ลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรม ราชชนก โรงพยาบาลศิริราช ในช่วงเย็นคลาคล่ำไปด้วยพสกนิกรสวมเสื้อสีเหลือง มาจับจองพื้นที่จนแน่นขนัด เฝ้าชื่นชมพระบารมีได้พร้อมใจกันสวดมนต์ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยหันหน้าที่ไปทางชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ขณะเดียวกัน ประชาชนบางส่วนได้นำเทียนไขสีเหลือง มาแจกจ่ายให้กับผู้ที่มาร่วมพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรด้วย กระทั่งเวลา 19.39 น. โดยมีผู้บริหาร คณาจารย์ นักศึกษาแพทย์ พยาบาล ประชาชนร่วมกันจุดเทียนต่อๆกันจนสว่างไสวไปทั่วบริเวณ ก่อนที่จะพร้อมใจร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี สดุดีมหาราชา โบกธงชาติไทย และธงตราสัญลักษณ์ ภปร.และร่วมกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ก่อนที่จะแยกย้ายเดินทางกลับ คนไทยทั่วโลกร่วมถวายพระพร

'น้องเฟิร์ส'ชนะสาว37ประเทศ คว้ามิสอินเตอร์คอนติเนนทัล

"น้องเฟิร์ส" สุดเจ๋ง ชนะใจกรรมการ ฝ่าด่านสาวงามคู่แข่ง 73 ประเทศคว้ามงกุฎมิสอินเตอร์คอนติเนนทัล 2014

เมื่อวันที่4 ธ.ค.2557 ที่มาริทิม ฮอลล์โรงแรมมาริทิม เมืองแมกเดเบิร์ก ประเทศเยอรมนี กลายเป็นประวัติศาสตร์วงการนางงามไทยเมื่อ น้องเฟิร์ส-ภัทราพร หวัง อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่3 คณะวิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ สาขาการจัดการด้านธุรกิจการบินมหาวิทยาลัยรังสิต ตัวแทนสาวไทยจากเวทีมิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2014 ซึ่งดำรงในตำแหน่ง มิส อินเตอร์คอนติเนนทัล ไทยแลนด์ 2014 สร้างความน่ายินดีให้แก่ชาวไทยเมื่อผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกฝ่าฝันสาวสวยจากอีก73 ประเทศ สามารถคว้ามงกุฎและสายสะพายจากเวทีระดับโลกมาครองได้สำเร็จเป็นคนแรกหลังจากต้องรอคอยมานานถึง 43 ปี รับเงินรางวัล 15,000ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 450,000 บาท ขณะที่รองอันดับหนึ่งได้แก่ น.ส.เจสลี่ เมอร์กัลป์ จากประเทศคิวบา และรองอันดับสอง ได้แก่ น.ส.คริส ทิฟฟานี่เจนสัน จากประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งคว้ารางวัลขวัญใจช่างภาพได้อีกหนึ่งตำแหน่ง

น้องเฟิร์สได้เดินทางไปร่วมทำกิจกรรมและเก็บตัวกับกองประกวดตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่ด้วยสวยสง่าในแบบสาวเอเชีย และมีรูปร่างสูงยาวเข่าดีระดับอินเตอร์จึงทำให้กลายเป็นตัวเก็งในการประกวดครั้งนี้ และสามารถคว้าตำแหน่งมาได้ด้วยการโชว์กึ๋นตอบคำถามที่ว่าคุณจะอธิบายให้คนตาบอดรับรู้ถึงสีแดง ได้อย่างไร ว่า สีแดง เป็นสีแห่งความรัก เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เป็นสีที่อยู่บนธงชาติไทย เป็นสีที่รวมใจคนไทยทุกคนเอาไว้เพราะฉะนั้นถ้าคุณคิดถึงสีแดง ขอให้นึกถึงความรักและพลัง

ขณะเดียวกันภายหลังน้องเฟิร์สเผยหลังคว้าตำแหน่งว่า มีความสุขมากหลังจากนี้อยากเป็นอาสาสมัครเข้าไปทำงานที่ประเทศเนปาลและอยากเดินทางไปช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกรวมถึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้อยู่ที่ประเทศเยอรมนีในระยะเวลา 1 ปี

นอกจากนี้น้องเฟิร์สซึ่งเป็นขวัญใจของเพื่อนนางงามได้รับการชื่นชมว่าเป็นคนมีความจริงใจ จะได้ปฏิบัติภารกิจต่างๆร่วมกับกองประกวดที่ประเทศเยอรมนีเป็นเวลา 1 ปีและได้รับเกียรติเป็นนางกิตติมศักดิ์บนเวที ท็อป โมเดล ออฟ เวิลด์ คอนเทสต์ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนมกราคมปีหน้า ณ สาธารณประชาชนจีน และจะเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันที่ 7 ธ.ค.2557