ข่าว
ภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุด “ไบเดน” ชี้ “ปูติน” ไม่ได้ล้อเล่นเรื่องใช้อาวุธนิวเคลียร์

7 ต.ค.65 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ระบุว่า ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ไม่ได้ล้อเล่นเรื่องขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ และคำขู่ดังกล่าวถือเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา (Cuban Missile Crisis)

ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่นในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ว่า ประธานาธิบดีปูตินไม่ได้ล้อเล่นเมื่อครั้งที่เผยว่าเขาอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี อาวุธชีวภาพ หรืออาวุธเคมี เนื่องจากสถานการณ์ของกองทัพรัสเซียในตอนนี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีนัยสำคัญ คำขู่ดังกล่าวของผู้นำรัสเซียถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี กับสหภาพโซเวียตภายใต้การนำของนายนีกีตา ครุชชอฟ อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต เกือบเปิดฉากยิงอาวุธนิวเคลียร์ใส่กันที่คิวบาในปี 2505

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ประธานาธิบดีปูติน ซึ่งจะมีอายุครบ 70 ปีในวันนี้ เคยเตือนว่า เขาจะทำทุกวิถีทางที่จำเป็น เช่น การใช้อาวุธในคลังแสงนิวเคลียร์ เพื่อปกป้องแผ่นดินรัสเซีย ซึ่งรวมถึงแคว้น 4 แห่งของยูเครนที่รัสเซียเพิ่งผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่ง

ขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวต่อสถาบันโลวี ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำของออสเตรเลียว่า องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ควรเริ่มชิงโจมตีรัสเซียก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้รัสเซียใช้อาวุธนิวเคลียร์

ด้านสำนักข่าวอาร์ไอเอของรัสเซียรายงานว่า นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย ได้ออกมาประณามคำกล่าวของผู้นำยูเครนว่าเป็นการนำไปสู่สงครามโลกครั้งใหม่ที่มีผลร้ายแรงอย่างคาดเดาไม่ได้

ในหลวง-พระราชินี เสด็จฯส่วนพระองค์ทรงเยี่ยมผู้บาดเจ็บ และพระราชทานขวัญกำลังใจ แก่ผู้ได้รับผลกระทบ ทรงเศร้าสลดใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยและทรงเสียพระราชหฤทัยต่อเหตุการณ์ทำร้ายเด็กและประชาชนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทรงรับทราบและทรงเข้าพระราชหฤทัยถึงความทุกข์ของครอบครัวผู้สูญเสีย หลังจากที่เสร็จจากการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในวันนี้ จึงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมผู้บาดเจ็บ พร้อมกับพระราชทานขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้สูญเสีย เป็นการส่วนพระองค์

วันนี้ (7 ต.ค.) เมื่อเวลา 18.44 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังท่าอากาศยานทหาร ดอนเมือง เพื่อประทับเครื่องบินพระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ทำร้ายเด็กและประชาชนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ณ โรงพยาบาลหนองบัวลำภู อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู และโรงพยาบาลอุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เป็นการส่วนพระองค์

โดยเมื่อเวลา 21.15 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯโดยรถยนต์พระที่นั่งถึงโรงพยาบาลหนองบัวลำภู อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู และนายแพทย์ไพฑูรย์ ใบประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหนองบัวลำภู เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ แล้วเสด็จขึ้นห้องบรรยายสรุป พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู กราบบังคมทูลรายงานสรุปเหตุการณ์ฯ เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานกระเช้าแก่นายสุวิทย์ จันทร์หวร เป็นส่วนรวมเพื่อเชิญไปมอบแก่ผู้บาดเจ็บทุกคนจากเหตุการณ์ดังกล่าว

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลจำนวน 4 ราย พร้อมทรงซักถามถึงอาการผู้บาดเจ็บจากแพทย์เจ้าของไข้ด้วยความห่วงใยและสนพระราชหฤทัยในการรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ และพระราชทานพระราชกำลังใจแก่ญาติผู้ได้รับบาดเจ็บ

เสร็จแล้วเสด็จฯ ไปยังชั้น1 ตึกศัลยกรรมและตึกผ่าตัดเพื่อพระราชทานกำลังใจแก่ครอบครัวผู้สูญเสีย จากเหตุการณ์ครั้งนี้ พร้อมทั้งทรงมีพระราชปฎิสันถารให้กำลังใจ และให้เชื่อมั่นในความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันเพื่อให้ฟื้นกลับมาใช้ชีวิตปกติด้วยกำลังใจที่เข็มแข็งอีกครั้ง ดังความว่า

“รู้สึกเสียใจเศร้าสลดใจมากที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ช่วงเวลาแห่งความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจก็ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจ ก็เป็นความรู้สึกร่วม เป็นเหตุที่ไม่ดีเกิดขึ้นถ้าเกิดมีอะไรเดือดร้อนลำบากให้ช่วยเหลือให้ดูแล ขอแสดงความเสียใจและคงไม่มีคำไหนมาแทนความเสียใจได้ ก็ขอให้กำลังใจพวกเราเข้มแข็งเพื่อให้วิญญาณน้องๆ เขาสบายใจ เราก็จะทำพิธีการทำบุญสวดมนต์ เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลให้กับผู้ที่จากไปแล้วก็เป็นขวัญและกำลังใจให้ทุกคน เราก็เสียใจด้วยมากเราจะต้องทำยังไงตอนนี้เราต้องทำอะไรให้ดีที่สุดเป็นกำลังใจให้ทุกคนทุกคน”

เมื่อสมควรแก่เวลา จึงประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพยาบาลอุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินถึงโรงพยาบาลอุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เสด็จพระราชดำเนินไปยังตึกศัลยกรรม โรงพยาบาลอุดรธานี พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายแพทย์ สุมน ตั้งสุนทรวิวัฒน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานี รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานี กราบบังคมทูลรายงานผลการรักษาพยาบาลของเด็กชาย กฤษกร เรืองเจริญ อายุ 3 ขวบ ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ ฯ

แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมและพระราชทานกระเช้าของเยี่ยมแก่บิดาและมารดาของเด็กชายกฤษกรฯ สมควรแก่เวลา จึงประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี เพื่อประทับเครื่องบินพระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพมหานคร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยและทรงติดตามเหตุการณ์ทำร้ายเด็กและประชาชน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี พร้อมด้วยพลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี พลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง องคมนตรี และนายอำพน กิตติอำพน องคมนตรี ไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บทุกรายโดยทันที เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 พร้อมกับเชิญพระราชกระแสทรงห่วงใยไปกล่าวแก่ครอบครัวของผู้ได้รับบาดเจ็บ และพระราชทานกำลังใจกับทรงชื่นชมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่าย ณ โรงพยาบาลหนองบัวลำภู อำเภอเมืองหนองบัวลำภู และโรงพยาบาลนากลาง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู กับโรงพยาบาลอุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี

ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับผู้บาดเจ็บไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับศพผู้เสียชีวิตไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษด้วย

ทั้งนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2565 เวลา 12.30 น.ได้รับแจ้งเหตุจาก สถานีตำรวจภูธร

นากลาง ว่ามีอดีตข้าราชการตำรวจ (สถานีตำรวจภูธรนาวัง) ก่อเหตุกราดยิง ณ องค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ เสียชีวิตจำนวน 2 ราย ต่อมาได้นำปืนและมีดก่อเหตุในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ เสียชีวิตจำนวน 24 ราย จากนั้นผู้ก่อเหตุได้เดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางขับรถไล่ชนผู้คนรวมทั้งใช้ปืนยิง เสียชีวิตจำนวน 9 ราย เมื่อกลับถึงบ้านได้นำรถยนต์ไปจอดบริเวณหน้าบ้านเพื่อทำการเผา หลังจากนั้นได้เข้าบ้านทำการยิงลูกพร้อมภรรยาและปลิดชีพตัวเอง

ในเวลาต่อมา เวลา 17.00 น. มีรายงานผู้เสียชีวิต 37 ราย (รวมผู้ก่อเหตุ) บาดเจ็บ 10 ราย ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหนองบัวลำภู 5 ราย โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี 2 รายสำหรับผู้บาดเจ็บเล็กน้อย จำนวน 3 ราย แพทย์วินิจฉัยให้กลับบ้านได้

“ในหลวง เปรียบดั่งน้ำทิพย์ปลอบประโลมหัวใจในยามพสกนิกรทุกข์สาหัสในชีวิต”

แม้ตกอยู่ในความสูญเสียโลกทั้งใบต้องพังทลายลงไปในชั่วข้ามคืนจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา แต่ขณะเดียวกันท่ามกลางมรสุมร้ายในชีวิตที่กำลังถาโถมเข้ามาใส่พสกนิกรชาวหนองบัวลำภูที่เพิ่งเผชิญกับเหตุการณ์สูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตไปก็ยังมีรอยยิ้มแห่งความปลื้มปิติที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เพื่อมาทรงเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล รวมถึงพระราชทานกำลังใจให้แก่ครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้สูญเสียชีวิต นำมาซึ่งความปลาบปลื้มปิติที่ล้นพ้น และทำให้พวกเขามีกำลังใจที่เข็มแข็งในการดำเนินชีวิตต่อไป

นางวาสนา โพธิพล พสกนิกรรายหนึ่งที่สูญเสียทั้งลูกสาว1 คน และหลานชาย 3 คน ญาติสนิทอีก 2 คนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต แต่ก็รู้สึกดีใจที่ทราบว่า

ในหลวง และพระราชินี เสด็จฯ มาทรงเยี่ยมครอบครัวในวันนี้ ทำให้เธอและครอบครัวมีกำลังใจที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับพายุร้ายในครั้งนี้ เพราะอย่างน้อยที่สุดในหลวงก็มิเคยทอดทิ้งพสกนิกรของพระองค์เลยแม้แต่ในยามที่ประชาชนทุกข์ใจแสนสาหัญในชีวิต

นางมัจฉา วรรณี พสกนิกรบ้านหนองกุงศรี อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ผู้สูญเสียหลานชาย 2 คน จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เธอกล่าวว่า บนความเจ็บปวดและเสียใจคือความอบอุ่นใจที่ในหลวง และพระราชินี เสด็จฯ มาทรงเยี่ยมเปรียบดังพวกเธอเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน และจะรีบเข้มแข็งดำเนินชีวิตต่อไปให้สมกับความห่วงใยที่ทั้งสองพระองค์มอบให้


ไบเดน ให้อภัยโทษราว 6,500 คน ในคดีครอบครอง “กัญชา” เล็กน้อย

วันที่ 7 ต.ค. บีบีซี รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา ให้อภัยโทษคนอเมริกันทุกคนที่ถูกตัดสินมีความผิดระดับรัฐบาลกลางในข้อหาครอบครองกัญชาจำนวนเล็กน้อย โดยเจ้าหน้าที่ประมาณการณ์ว่าราว 6,500 คนที่ถูกตัดสินมีความผิดดังกล่าวจะได้รับประโยชน์

นายไบเดนกล่าวในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. ว่า แม้ปัจจุบันไม่มีใครถูกขังในเรือนจำรัฐบาลกลางในข้อหาครอบครองกัญชาเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว และการตัดสินดังกล่าวมีความผิดที่ระดับรัฐต่างๆ แต่การให้อภัยโทษของรัฐบาลกลางจะทำให้คนหางานทำ ที่อยู่อาศัย และการศึกษาง่ายขึ้น พร้อมให้คำมั่นที่จะลดโทษการใช้กัญชาตลอดจนลบล้างความผิด

“การส่งคนไปเรือนจำในข้อหาครอบครองกัญชาทำให้ชีวิตคนและผู้ต้องขังมีจำนวนมากขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมที่หลายรัฐไม่ได้ห้ามอีกต่อไป” นายไบเดนกล่าวและเสริมว่า คนไม่ใช่คนขาวมีแนวโน้มทางสถิติที่จะถูกจำคุกเพราะกัญชามากกว่า

อย่างไรก็ตาม นายไบเดนถูกวิจารณ์จากการเขียนร่างแก้ไขกฎหมายควบคุมอาชญากรรมรุนแรงและการบังคับใช้กฎหมายปี 1994 (พ.ศ. 2537) ให้บทลงโทษอาชญากรรมยาเสพติดรุนแรงขึ้นและนำไปสู่การกักขังคนกลุ่มน้อยมากขึ้น

การให้อภัยโทษดังกล่าวมีขึ้น 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งกลางวาระของรัฐสภาอเมริกา ซึ่งจะกำหนดดุลอำนาจในรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วง 2 ปีสุดท้ายของวาระการดำรงตำแหน่ง ขณะที่หุ้นบริษัทกัญชาพุ่งขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ราว 20% หลังไบเดนให้อภัยโทษ

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวจะเรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐทุกคนออกกฎหมายอภัยโทษกัญชา และยังสั่งโดยตรงให้กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงสาธารณสุข ทบทวนวิธีการจำแนกกัญชาภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง “ประเทศเราจำแนกกัญชาที่ระดับเดียวกับเฮโรอีน และมีความรุนแรงกว่าเฟนทานิล มันไม่สมเหตุสมผลเลย” นายไบเดนกล่าว

ทั้งนี้ กัญชาเพื่อสันทนาการถูกกฎหมายแล้วใน 19 รัฐ และกรุงวอชิงตัน ส่วนการใช้เพื่อทางการแพทย์ถูกกฎหมายใน 37 รัฐ และ 3 ดินแดนสหรัฐฯ แต่กัญชายังผิดกฎหมายระดับรัฐบาลกลาง แม้แต่ในรัฐที่กัญชาสามารถซื้อและใช้ได้ตามกฎหมาย ทำให้ประชาชนยังถูกตัดสินมีความผิดฐานครอบครองในบางกรณี

“นาซา-สเปซเอ็กซ์” สำเร็จ ! ส่งทีมภารกิจครูว์ 5 ทะยานสู่สถานีอวกาศนานาชาติ

ซินหัว รายงานว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (นาซา) และ สเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ประสบความสำเร็จในการทำภารกิจ ครูว์ 5 (Crew-5) เพื่อส่งนักบินอวกาศสู่ สถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส)

จรวดฟอลคอน 9 ของสเปซเอ็กซ์ และยานอวกาศครูว์ ดรากอน เอ็นดัวแรนซ์ ทะยานออกจากแท่นปล่อยจรวด 39 เอ ที่ศูนย์อวกาศเคนเนดีของนาซาในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ เมื่อช่วงเที่ยงวันพุธที่ 5 ต.ค.ตามเวลาท้องถิ่น

นาซายืนยันการดับเครื่องยนต์หลักและแยกตัวหลังจรวดขึ้นจากฐานไม่นาน โดยท่อนแรกของจรวดฟอลคอน 9 ร่อนลงจอดบนเรือโดรน “จัสต์ รีด ดิ อินสตรักชันส์” ที่ประจำการอยู่นอกชายฝั่งฟลอริดาสำเร็จ ขณะยานอวกาศครูว์ ดรากอน เอ็นดัวแรนซ์ ได้แยกตัวจากจรวดท่อนที่ 2 และมุ่งหน้าสู่สถานีอวกาศฯ

ภารกิจดังกล่าวขนส่งนักบินอวกาศของนาซา ได้แก่ นิโคล แมนน์ และจอช คาสซาดา พร้อมกับโคอิจิ วากาตะ จากองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) และแอนนา คิกินา จากองค์การอวกาศรัสเซียหรือรอสคอสมอส (Roscosmos) ขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติ

นาซาเผยว่าลูกเรือทั้งหมดเดินทางถึงวงโคจรอย่างปลอดภัย โดยยานอวกาศจะเทียบท่ากับสถานีอวกาศฯ ประมาณ 16.57 น. ของวันพฤหัสบดี (6 ต.ค.) ตามเวลาเขตตะวันออก

ด้านสเปซเอ็กซ์ระบุว่าลูกเรือครูว์ ดรากอน เอ็นดัวแรนซ์ จะทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 200 รายการ และการสาธิตเทคโนโลยีหลายด้าน เช่น สุขภาพมนุษย์ และระบบเชื้อเพลิงดวงจันทร์ ระหว่างอยู่บนห้องปฏิบัติการในวงโคจร

ทั้งนี้ นาซาระบุว่าลูกเรือสถานีอวกาศอีก 4 คน ในภารกิจครูว์ 4 จะยุติภารกิจบนอวกาศและเดินทางกลับสู่โลกในช่วงอีกกว่าหนึ่งสัปดาห์ หลังจากยานครูว์ ดรากอน เทียบท่ากับห้องปฏิบัติการในวงโคจร โดยลูกเรือภารกิจครูว์ 4 จะออกจากสถานีอวกาศ และลงจอดบริเวณนอกชายฝั่งฟลอริดา

สื่อนอกรายงาน คนไทยสุดเสียใจ ไว้อาลัยผู้เสียชีวิต เหตุกราดยิงหนองบัวลำภู

สื่อต่างชาติเกาะติดรายงานข่าวโศกนาฏกรรม กราดยิงหนองบัวลำภู ที่ทำให้ชาวไทยตกอยู่ในความเสียใจทั้งประเทศ รัฐบาลสั่งหน่วยงานราชการลดธงลงครึ่งเสา ไว้อาลัยผู้เสียชีวิต

เมื่อ 7 ต.ค. 2565 สื่อต่างประเทศยังเกาะติดรายงาน ความคืบหน้าโศกนาฏกรรมสุดสะเทือนขวัญ มือปืนทั้งกราดยิงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู เมื่อช่วงหลังเที่ยงวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ผู้เสียชีวิต 35 ศพ รวมทั้งมือปืน นายปัญญา คำราบ อดีตตำรวจที่ถูกไล่ออกจากราชการ ซึ่งยังได้ยิงปลิดชีพ ภรรยาและลูกชาย ก่อนจะยิงตัวตายที่บ้านของเขาเอง รวม 3 ศพ หลังก่อเหตุสุดสลด

เหตุกราดยิงที่ศูนย์เด็กเล็กหนองบัวลำภู ทำให้ชาวไทยทั้งประเทศช็อกและตกอยู่ในความเสียใจอย่างมาก โดยคนไทยพร้อมใจแต่งดำ และทำบุญอุทิศกุศล ขณะที่รัฐบาลไทยได้สั่งให้หน่วยงานราชการลดธงครึ่งเสา ไว้อาลัยให้ผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงหนองบัวลำภู พร้อมสั่งเพิ่มความระมัดระวัง คุมเข้มบุคคลเข้าออกโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็ก

เดอะการ์เดียน รายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินไปยัง จ.หนองบัวลำภู เพื่อทรงเยี่ยมผู้บาดเจ็บและให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิต และนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เดินทางลงพื้นที่ เยี่ยมเยียนให้กำลังใจพ่อแม่ผู้ปกครองและครอบครัวผู้เสียชีวิตในวันนี้ โดยนายกรัฐมนตรีของไทยกล่าวว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งแก่เหยื่อที่เสียชีวิตและครอบครัว

เดอะการ์เดียน ยังระบุว่า เหตุกราดยิงในประเทศไทย ถือเป็นเหตุการณ์ที่ยากจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การครอบครองอาวุธปืนของคนไทยกลับมีสถิติที่สูง โดยเหตุกราดยิงหนองบัวลำภู เกิดขึ้นเพียง 2 ปี หลังเกิดเหตุกราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าใน จ.นครราชสีมา โดยทหารที่มีความโกรธแค้นผู้บังคับบัญชา