ข่าว
จอม ขอโทษเสื้อแดงหลังโพสต์ถูก ปู หลอก โวยคำตัดสินอำมหิตเข้าใจเลยทำไมต้องหนี

จากกรณีที่ นายจอม เพชรประดับ อดีตพิธีกรข่าวที่ลี้ภัยทางการเมืองไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “JOM PETCHPRADAB”หลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าว ว่า "อ้าว..ก็ไหนว่า “นักรบเพื่อประชาธิปไตยย่อมยอมตายในสนามรบ” ไง...หลอกกูหรือเปล่า...????”

จากโพสต์ดังกล่าว ทำให้ นายจอม ถูกคนเสื้อแดงต่อว่าอย่างหนัก ถึงขั้นต้องลบโพสต์ทิ้ง

ล่าสุด วันนี้ (26 ส.ค.) นายจอม ได้โพสต์ข้อความใหม่ โดยมีเนื้อหาออกไปในทางที่เห็นอกเห็นใจ น.ส. ยิ่งลักษณ์ พร้อมขอโทษคนเสื้อแดงที่ทำร้ายความรู้สึก

มีรายละเอียดดังนี้ "ผมผิดหวังมากๆ ครับรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอก" ผมรู้สึกเช่นนี้จริง ๆ ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกเช่นนี้ ...

คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมั้งครับว่า เพราะเหตุใด "คุณยิ่งลักษณ์-พรรคเพื่อไทย"จึงเป็นเพียงความหวังเดียวของผม ที่หวังจะให้เป็นธงนำ เรียกร้องต่อสู้เพื่อความเป็นประชาธิปไตยและนำความถูกต้องเป็นธรรมสู่สังคมไทย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมรู้สึกเป็นเกียรติได้ร่วมรบ ร่วมต่อสู้กับพวกเขาในสนามรบที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและป่าเถื่อนนี้

แต่ถึง นาทีนี้...ขอสารภาพเลยครับว่า ผมอยู่กับอุดมคติ ติดกับหลักการของการต่อสู้มากเกินไป ผมไม่เคยคิดว่าเผด็จการแห่งตุลาการภิวัฒน์ไทย จะโหดร้าย อำมหิตได้ถึงขนาดนี้

คำตัดสิน คุณบุญทรง เตริยาภิรมย์ และพวก ที่รุนแรงพอๆ ไม่ต่างกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งที่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่มีข้อกังขากันทั้งโลก

ทำให้เข้าใจการตัดสินใจของ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นอย่างดีครับว่า ทำไมเธอถึงเลือกที่จะหนี ที่ผ่านมา เธอได้แบกรับภาวะความคาดหวังจากมวลชน ผู้รักประชาธิปไตยเป็นจำนวนมาก อีกทั้งต้องดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างแสนสาหัส เกินกว่าที่คนอย่างผมจะรับรู้และเข้าใจได้

ใช่ครับ ผมก็..หนี.. แต่เงื่อนไขการหนีของผม ไม่ได้อยู่บนความคาดหวังของใคร ...

ก็ขอแสดงยินดีกับคุณยิ่งลักษณ์ ที่จะได้มีโอกาสสัมผัสกับอิสระภาพของการใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป

ขอขอบคุณกับการที่ได้อดทน อดกลั้น ต่อสู้อย่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยว และยอมแบกรับภาระอันหนักอึ้งของพวกเรามาช่วงระยะเวลาหนึ่ง

และขอต้อนรับสมาชิกใหม่"ผู้ลี้ภัยการเมือง"ในต่างประเทศ

ต้องขอโทษ ขออภัย สำหรับมวลมิตรผู้รักประชาธิปไตย และคนเสื้อแดงทั้งหลายที่ได้โพสต์ข้อความทำร้าย ทำลายความรู้สึก... อย่างที่บอกแล้ว ผมรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ

ถามว่า นับจากนี้จะสู้กันต่อไปกันอย่างไร ยังมีความหวังที่จะสู้อยู่ต่อไปอีกหรือไม่

เหตุการณ์ครั้งนี้สอนให้ผมรู้ว่า อย่าสู้บนหลักการ หรืออยู่กับอุดมคติจนเกินไป โดยเฉพาะการต่อสู้กับเผด็จการอำมาตย์ที่อำมหิตและป่าเถื่อน

สู้ด้วยพลังกายและพลังใจ เท่าที่ตัวของเราเอง จะทำได้....

อย่าท้อแท้ และสิ้นหวังนะครับ.. เพราะทุกการต่อสู้ขึ้นอยู่กับความอดทนและความหวัง

อย่างน้อยแต่ผมคิดว่าสำคัญคือ "หวังและคอยเติมพลังให้กับตัวเอง" ครับ"

เปิดเส้นทาง 'ยิ่งลักษณ์' หนีศาล อำลาแผ่นดินเกิด สู่เมืองดูไบ

การไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีใครรู้ว่า การตัดสินใจของเธอในครั้งนี้จะถูกหรือผิด และทำไปด้วยสาเหตุใด ซึ่งก็คงไม่มีใครรู้ว่า ถ้ารับฟังคำพิพากษาแล้ว บทลงโทษหรือผลการตัดสินของ องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 จะมีผลออกมาอย่างไร แต่เจ้าตัวนั้น น่าจะรู้ดีที่สุด เพราะหากเริ่มต้นด้วยการเลือกที่จะไม่มาตามที่ศาลนัด ชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตลอด...

ปฐมบทของการไม่มาฟังคำพิพากษา ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเป็นบทเริ่มต้นของชะตาชีวิตเธอ ที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดไปหรือไม่

โดยหากพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ จากการที่ส่งทนายความยื่นเรื่องต่อศาลขอเลื่อนการมาฟังคำพิพากษา โดยอ้างเหตุผลว่าป่วยด้วยอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ศาลไม่อนุญาต จนเป็นเหตุให้ออกหมายจับเพื่อมาฟังคำพิพากษานั้น เป็นเหตุให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา

บางกระแสคาดการณ์ไปถึงขั้นว่ามีการหลบหนีออกนอกประเทศไปเรียบร้อยแล้ว

หากเป็นเช่นนั้น ยุทธวิธี ที่จะต้องใช้ในการหลบหนีอาจจะต้องถูกกำหนด และมีการวางแผนการ โดยข้อมูลที่ทาง "ไทยรัฐออนไลน์" ได้ทราบจากหน่วยงานใกล้ชิดที่ติดตามในเรื่องนี้ และเป็นแหล่งข่าวความมั่นคงระดับสูงที่เกาะติด ยิ่งลักษณ์ ได้อ้างกับเราว่า เป้าหมายและเส้นทางการหลบหนีครั้งนี้ของ อดีตนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย มีปลายทางสู่เมือง "ดูไบ"

เร่ิมต้นจัดฉากจาก

ข้อความสุดท้ายในวันพุธที่ 23 ส.ค. ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เจ้าตัวโพสต์ภาพทำบุญ ใส่บาตรพระสงฆ์ที่บ้านพักในช่วงเช้า ก่อนที่จะเดินทางไปทำบุญ ไหว้พระ ขอพร ที่วัดระฆัง จากนั้นในวันที่ 24 ส.ค. "ย่ิงลักษณ์" ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ขอมวลชนไม่ต้องเดินทางมาให้กำลังใจที่ศาล เพราะไม่ได้เจอหน้ากัน ให้รอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน เพราะไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายที่อาจเกิดจากมือที่สาม

จากนั้นก็ไม่มีใครได้เห็น อดีตนายกฯ หญิง คนนี้อีกเลย แต่ในทางกลับกัน แหล่งข่าวจากหน่วยความมั่นคง ยังอ้างต่อว่า "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้ออกจากบ้านพักตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 23 ส.ค. โดยใช้รถยนต์ส่วนตัว ก่อนจะไปเปลี่ยนเป็นรถตู้ ที่ติดฟิล์มมืดทึบ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อใช้เป็นพาหนะในการพรางเพื่อการหลบหนี โดยใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดสระแก้วเป็นจุดหมายแรก

ก่อนจะใช้เส้นทาง ช่องทางธรรมชาติ เพื่อผ่านด่านข้ามแดนไปยังบริเวณ เมืองปอยเปต บริเวณชายแดนด่านบ้านคลองลึก แล้วต่อไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยอ้างว่ามีบุคคลระดับ VIP ทั้งของไทย และกัมพูชา ให้การต้อนรับ เพื่อต่อเครื่องบินไปยังประเทศสิงคโปร์ จากนั้นมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวมารับ เพื่อไปยังจุดหมาย

โดยหน่วยความมั่นคงระดับสูง อ้างว่าประเทศปลายทางจุดหมายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะหลบหนีคือ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีพี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร รอคอยอยู่ที่นั้น

ส่วนใครจะเป็นผู้วางแผนการเดินทาง การหลบหนี การติดต่อประสานงาน คงเป็นใครไม่ได้นอกจากจะเป็น พี่ชายที่แสนดีของเธอนั้นเอง

แหล่งข่าวระดับสูงฝ่ายความมั่นคง อ้างต่อว่า การหลบหนีครั้งนี้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทยนั้น สาเหตุหลัก เพราะเจ้าตัวกังวลผลแห่งคำตัดสินครั้งนี้จะไม่มีการให้อุทธรณ์ หรือระหว่างอุทธรณ์ อาจจะไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายได้รับมา จึงอาจเป็นที่มาของการหลบหนี และให้เดินทางออกนอกประเทศ เพื่อหนีคดีจำนำข้าว ที่เจ้าตัวเชื่อว่าอาจไม่รอดในฐานความผิดดังกล่าวแน่นอน

จึงนับเป็นฉากจบของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศไทย ที่จะปิดเส้นทางชีวิตในสนามการเมืองไทย ด้วยการหนีศาล เหมือนดังพี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร

บทสรุปนี้ จึงถือเป็นบทเรียนสำคัญของ นักการเมืองไทย ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ บริหารราชการแผ่นดิน ในอนาคตต่อๆ ไป.


บิ๊กตู่ เย้ย ปู นึกว่าคนกล้าหาญ! ขู่อีก 1 เดือนไม่มาเรื่องใหญ่แน่

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 60 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มารับฟังคำพิพากษาในคดีโครงการรับจำนำข้าวว่า ได้รับรายงานแล้ว เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอเลื่อนรับฟังคำพิพากษา อ้างอาการป่วย ก็เป็นเรื่องของเขาที่ขอเลื่อน แต่ศาลไม่อนุญาต และการที่ศาลออกหมายจับไม่เกี่ยวอะไรกับตนด้วย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เกี่ยวเพราะเป็นผู้บริหารประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมสั่งกระบวนการยุติธรรมได้หรือไม่ เขาทำตามกฎหมายหรือเปล่าล่ะ ผมทำได้แต่เพียงกำชับฝ่ายความมั่นคงให้ดูว่า ป่วยจริงหรือเปล่า อยู่ที่ไหน พร้อมกำชับเส้นทางเข้าออกทั้งช่องทางปกติและไม่ปกติ ซึ่งต้องดูตรงนั้น เมื่อเช้ายังนึกดีใจอยู่ ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นคนกล้าหาญ มารับการพิจารณา แต่ต่อมาได้รับการแจ้งว่าไม่ได้มาเพราะป่วยปัญหาน้ำในหู"

เมื่อถามว่า ได้รับแจ้งหรือไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ในประเทศหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่มีการรายงานเข้ามา แต่ให้ดูอยู่แล้ว ซึ่งยังไม่พบอะไร ขณะนี้ยังหาตัวอยู่ เมื่อถามว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่อยู่ จะกระทบต่อกระบวนการปรองดองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยู่ที่ประชาชนจะไปอะไรกับเขา เขาไม่อยู่แล้วเขาจะไปไหน แล้วใครทำให้เขาไป รัฐบาลหรือ เรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎหมาย ถ้าไม่อยู่แล้วกฎหมายว่าอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีหมายอะไรหรือไม่ก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นหมายเรียก หมายจับ อีก 1 เดือนก็พิจารณาใหม่ถ้าไม่มาก็เป็นเรื่องใหญ่โต

"แล้วทำไมไม่เข้าไปอยู่ในระบบ ในเมื่อมั่นใจ ผมก็ให้เกียรติ เข้าไปอยู่ในระบบสิครับ บรรดาคนที่มาอออยู่ที่ศาล มากันทำไม มาแล้วทุกอย่างวุ่นวาย ปั่นป่วน เพราะคนมันเยอะ ไหนจะคนรอบๆ ข้าง วุ่นวายไปอีก ตอนแรกก็ว่าดีที่บอกจะมาฟังคำพิพากษา ผมก็สบายใจ ซึ่งศาลเขาก็ดูแลในส่วนของการพิจารณาให้เกิดความเป็นธรรม แต่ไม่มาเพราะว่าป่วย ป่วยแล้วแต่ยังหาตัวไม่เจออยู่เลย และคนกังวลไม่ใช่ผม เขาต้องเป็นคนกังวล เพราะเป็นคนโดนคดี ในเมื่อบอกว่าไม่มีอะไรผิดก็ต้องสู้คดีให้ได้ แล้วกฎหมายเขาก็ช่วยแก้ปัญหาแล้ว กฎหมายใหม่สามารถอุทธรณ์ได้ด้วย แต่การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่อยู่หมายความว่าอย่างไร จะบอกว่าไม่เป็นธรรมอีกหรือไม่

เมื่อถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ สามารถอุทธรณ์ ได้ภายใน 30 วัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สื่อมวลชนก็รู้ ตนพูดไปหลายครั้งแล้ว และศาลเองก็พูด ส่วนเรื่องการประเมิน ตนไม่เคยประเมิน ไม่เคยตัดสินก่อนศาล เพราะตนไม่ใช่ผู้พิพากษา ไม่ได้เรียนกฎหมาย เมื่อถามอีกว่า แสดงว่ามีเจตนาจะหลบหนีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่รู้ต้องไปถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาถามตนแล้วจะรู้ไหมล่ะ เพราะตนไม่ใช่ น.ส.ยิ่งลักษณ์

เมื่อถามว่า คิดก่อนหรือไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะหนีไป พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่เคยคิด เพราะท่านแสดงว่าจะมาต่อสู้คดีโดยตลอด แล้วบรรดาพรรคเพื่อไทยก็ออกมาบอกว่าจะสู้คดีแน่นอน แต่ถ้าไม่สู้แล้วจะเชื่อมั่นกันได้หรือไม่ ขอให้ไปดูคนอื่นด้วยที่เคลื่อนไหวกันอยู่ขณะนี้ ทุกคนออกมาพูดบอกว่าจะมาเจอกันโดยจะมากันทั้งหมด แล้วทำไมไม่มา ขอให้ไปถามคนที่มีปัญหา อย่ามาถามผมเลย เพราะผมไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ผมกำลังทำเรื่องที่สร้างสรรค์ ส่วนเรื่องที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่อยู่นั้น จะทำให้มวลชนแผ่วลงหรือไม่ ผมไม่รู้ ประชาชนคือประชาชนคนไทย ไม่ใช่คนของใคร ความรักเป็นเรื่องของแต่ละคน แต่หากทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไม่ว่าจะพวกไหนก็ตาม จะมีปัญหากับกฎหมายทั้งสิ้นทุกพวก"


นักวิชาการมอง 'ปูหนีศาล' ได้ประโยชน์ หรือเสมอตัว

รศ.ดร.มานิตย์ จุมปา นักวิชาการจาก คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผ่านรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ ว่า ในคดีของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หากดูตามเนื้อตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เผยแพร่ออกมานั้น จะพบว่าจำเลยนั้นเป็นรัฐมนตรี และยังเป็นเป็นประธานกรรมการในการเคาะขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี และมีการพัวพันกับคนซื้อข้าว

ทั้งนี้ การซื้อขายข้าวแบบจีทูจีนั้น จะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากรัฐบาล แต่การทำสัญญาซื้อขายข้าวจีทูจี ครั้งนี้ รัฐวิสาหกิจไม่ได้เป็นหน่วยงานที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลกลางจีน โดยข้อเท็จจริงการตัดสินของศาลนั้นครั้งนี้ ไม่ได้กล่าวถึงความผิดในเชิงนโยบายของกับ นายบุญทรง แต่ตัดสินในแง่การปฏิบัติที่มีการทุจริตเกิดขึ้น

สำหรับคดีของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น อัยการสูงสุดได้ส่งฟ้องในข้อหาที่คล้ายกัน แต่มีเนื้อหาเพิ่มเติมคือ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยทุจริต เราจึงไม่อาจพยากรณ์แนวโน้มคำตัดสินของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ เพราะข้อหาในการฟ้องมีลักษณะแตกต่างกัน

รศ.ดร.มานิตย์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการยื่นอุทธรณ์นั้น ทางทีมทนายของนายบุญทรง ก็สามารถทำได้ และเป็นไปตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ภายใน 30 วัน โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใหม่ ซึ่งขั้นตอนนั้นทางองค์คณะที่พิจารณาอุทธรณ์ ก็ต้องดูก่อนว่า การตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฟังขึ้นหรือไม่

ทั้งนี้ ทางทีมทนายอาจจะต้องทำการบ้านหนัก เพื่อหาประเด็น และหลักการใดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแย้งกับคำพิพากษาเดิม ซึ่งหากองค์คณะที่พิจารณาอุทธรณ์ เห็นว่าฟังขึ้น ก็จะมีการตั้งคณะขึ้นมาเพื่อพิจารณาใหม่ โดยอาจจะต้องหาผู้พิพากษาที่อาวุโสมากกว่านี้ อีก 9 ท่าน ซึ่งอาจจะดูเหมือนง่ายในการขออุทธรณ์ แต่ผลคดีจะชนะหรือไม่ก็อีกประเด็นหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การตัดสินของศาลในคดีจำนำข้าวครั้งนี้ ไม่ได้บอกว่านโยบายจำนำข้าวดีหรือไม่ดี เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาลที่จะมาพิจารณา แต่ศาลจะดูการปฏิบัติ ซึ่งการฟ้องจำเลยทั้งหมดนั้น รวมถึง นางสาวยิ่งลักษณ์ นั้น หลากหลายองค์กรมองว่า ขบวนการรับจำนำข้าว มีการคอร์รัปชันเกิดขึ้น สำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้ตั้งข้อกล่าวหา ละเว้น และเพิกเฉยการปฏิบัติหน้าที่จนก่อให้เกิดการคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นความผิดอาญา

"การหายตัวไปของยิ่งลักษณ์นั้น จะส่งผลต่อการขอประกันตัวในการขออุทธรณ์ หากวันที่ 27 ก.ย.นี้ ยิ่งลักษณ์ กลับมา การขอประกันตัวจะยากขึ้น ศาลจะพิจารณาว่า จำเลยจะหลบหนีหรือไม่นั้นเอง แต่อย่างไรก็ตามในช่วงระยะหลังมานี้ มีข้อค้นพบว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองส่วนใหญ่ จะหลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งก็อาจเป็นหนึ่งในข้อดุลพินิจของศาล ค้านการประกันตัว"

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า ตนมองว่า การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่มาฟังคำพิพากษาเช่นนี้ จะแบ่งได้เป็น 2 ประเด็น คือ ไม่มีนัยทางการเมือง คนที่เป็นแฟนคลับ รักยิ่งลักษณ์ หรือคนเสื้อแดง ก็ยังคงให้ความเห็นใจเช่นเดิม หรืออาจจะมากขึ้น ส่วนฝ่ายตรงข้าม อาจจะมีช่องว่างห่างออกไปอีก แม้จะมีการเสียดสี ถากถาง ส่วนคนที่เป็นกลางก็จะมีการขีดเส้นแบ่งที่เข้มขึ้น

"คนที่ไม่ชอบก็ยังไม่ชอบอยู่ มีการชิงชังมากกว่าเดิมนิดหน่อย คนที่รักก็ไม่ได้รู้สึกอกหัก หรือรู้สึกทอดทิ้ง คนที่อยู่ตรงกลางก็เฉยๆ ซึ่งหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นตามโรดแม็ปที่รัฐบาลวางไว้ ความรู้สึกเช่นนี้ก็ยังคงมีต่อไป"

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในสถานการณ์ที่ต่างกัน หากนางสาวยิ่งลักษณ์มาในวันนี้ อารมณ์คนจะเปลี่ยนทันที ไม่ว่าผลคดีจะออกมาเป็นอย่างไร ผิดหรือไม่ผิด คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด คือ กลุ่มการเมืองพรรคเพื่อไทย และตัวยิ่งลักษณ์เอง

ทั้งนี้ คนเสื้อแดงก็จะมองยิ่งลักษณ์ เป็นสตรีที่กล้าหาญ ส่วนที่คนมองกลางๆ ก็จะเห็นว่า ยิ่งลักษณ์ ทำผิดแล้วไม่ได้หนีไป ตรงนี้เองคะแนนจะบวกมาทันที ถ้าหากศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด ก็จะมีประเด็นอื่นๆ ที่เป็นผลบวกต่อตัวยิ่งลักษณ์

"ณ วันนี้หลายคนก็ยังคงงงอยู่ ที่ผ่านมา 2-3 ก่อนหน้าก็ยังเห็น นางสาวยิ่งลักษณ์ คิดว่าอย่างไรก็คงต้องมาศาล แต่ปรากฏว่าไม่มา ซึ่งมองว่า เกมนี้ยิ่งลักษณ์ได้เลือกไว้แล้ว ว่าอยากได้ผลแบบเสมอตัว คือไม่มา หรือ ได้ประโยชน์ คือมาฟังคำพิพากษา หากถามว่าในวันที่ 27 ก.ย.นี้ นางสาวยิ่งลักษณ์จะมาฟังคำพิพากษาหรือไม่ ผมมองว่าเขาคงไม่มา"

ดร.สติธร กล่าวอีกว่า หากดูตามรัฐธรรมูญ 2560 นโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองนั้น จะถูกตรวจสอบอย่างละเอียดมากขึ้น ซึ่งการหาเสียงด้วยนโยบายการบริหารนั้นต้องสามารถทำได้จริง ด่านแรกจะต้องถูกตรวจสอบจาก กกต. ด่านที่ 2 ถูกตรวจสอบโดยสภา ซึ่งนโยบายการบริหารประเทศจะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และด่านสุดท้ายจะต้องถูกตรวจสอบโดย ส.ว. เรียกได้ว่าการคิดนโยบายหาเสียงนั้น จะต้องสมเหตุสมผลมากขึ้น


ศาลออกหมายจับ ยิ่งลักษณ์ CNNชี้โพสต์เฟซฯหวั่นมือที่3

เมื่อ 25 ส.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศ ทั้งซีเอ็นเอ็น และรอยเตอร์ รายงานข่าวครึกโครมไปทั่วโลกว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ไม่มาปรากฏตัวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามเวลานัดหมาย ในเวลา 09.00 น. ของวันที่ 25 ส.ค. 60 ที่มีการนัดอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว โดยทนายความของนางสาวยิ่งลักษณ์ได้มายื่นคำร้องต่อศาล ขอเลื่อนฟังคำตัดสิน อ้างนางสาวยิ่งลักษณ์ป่วยน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งศาลได้พิจารณาแล้วเชื่อว่าไม่ได้ป่วยจริง และไม่มีใบรับรองแพทย์ พฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยหลบหนี จึงมีคำสั่งออกหมายจับ พร้อมปรับนายประกัน 30 ล้านบาท และเลื่อนฟังคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 27 ก.ย.2560

ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย กำลังเผชิญหน้ากับการต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปี หากศาลตัดสินว่าเธอมีความผิดในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ขณะที่ ซีเอ็นเอ็น ยังได้รายงานด้วยว่า ทางการไทยได้จัดกำลังตำรวจหลายพันนายมาคอยดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยที่บริเวณรอบศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขณะที่มีฝูงชนที่สนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย มาชุมนุมให้กำลังใจที่ด้านนอกศาลเป็นจำนวนมาก ถึงแม้หนึ่งวันก่อนหน้านี้ คือเมื่อวันที่ 24 ส.ค. นางสาวยิ่งลักษณ์ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ขอร้องให้ประชาชนไม่ต้องมาที่ศาล เนื่องจากมีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชน และไม่อยากเกิดความวุ่นวายอันอาจเกิดจากมือที่สาม ดังเช่นที่ฝ่ายความมั่นคงให้เหตุผลมาตลอด.

คุก! “บุญทรง” 42 ปี - “ภูมิ สาระผล” 36 ปี “เสี่ยเปี๋ยง” โดน 48 ปี ทุจริตระบายข้าว

เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (25 ส.ค.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ นายธนฤกษ์ นิติเศรณี รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน คดีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี และองค์คณะรวม 9 คน นัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.25/2558 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำเลยที่ 1, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำเลยที่ 2 และพวกซึ่งเป็นอดีตนักการเมือง 3 คน ข้าราชการการเมือง 3 คน และนิติบุคคลกับกรรมการผู้มีอำนาจในนิติบุคคล รวม 28 ราย เป็นจำเลยที่ 1-28 ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 9, 10, 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจโดยทุจริตสร้างความเสียหายแก่รัฐ, ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต สร้างความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 123 และ 123/1 พร้อมทั้งขอให้ศาลสั่งปรับจำเลยทั้งหมด เป็นเงิน 35,274,611,007 บาทที่คิดคำนวณจากมูลค่าครึ่งหนึ่งตามสัญญาระบายข้าว 50,000 ตัน ที่พบว่ามีการกระทำผิดสัญญา 4 ใน 8 ฉบับ

วันนี้จำเลย และกรรมการผู้มีอำนาจเดินทางมาศาล ขาดเพียง น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 21 ไม่มาศาล อ้างว่าป่วยอยู่ รพ.ค่ายสุรสีห์ จ.นครราชสีมา ขณะที่จำเลยที่ 3 และ 16 หลบหนี โดยศาลใช้เวลาอ่านนานร่วม 5 ชั่วโมง

ศาลพิพากษาว่า นายภูมิ จำเลยที่ 1 นายบุญทรง จำเลยที่ 2 นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 4 นายฑิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 5 และนายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง อดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ จำเลยที่ 6 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 มาตรา 4 วรรค 1, 10, 12 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจโดยทุจริตสร้างความเสียหายแก่รัฐ เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักสุด คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 มาตรา 4วรรค 1, 10, 12

โดยเป็นความผิดหลายกระทง จำเลยที่ 1 (นายภูมิ) มีความผิด 2 กระทง จำคุกกระทงละ 18 ปี รวมจำคุก 36 ปี จำเลยที่ 2 (นายบุญทรง) มีความผิดตามฟ้อง รวมจำคุก 42 ปี จำเลยที่ 4-6 มีความผิดคนละ 4 กระทง จำคุกกระทงละ 10 ปี รวมจำคุก 40 ปี

นายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร จำคุก 48 ปี และให้ร่วมกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด และนายนิมล รักดี ชดใช้ค่าเสียหาย 16,912,128,273 บาท พร้อมดอกเบี้ย

ส่วนจำเลยอื่นศาลพิพากษาลงโทษลดหลั่นตามพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิด

ทั้งนี้ ยกฟ้อง จำเลยที่ 19 และ 22-25 และให้ออกหมายจับจำเลยที่ 21 มาฟังคำพิพากษา เนื่องจากไม่เชื่อว่าป่วยจนถึงขนาดมาศาลไม่ได้

หลังจากศาลฯ อ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้นเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.ที่ผ่านมา นายบุญทรง และนายภูมิ พร้อมจำเลยคนอื่นๆ ได้ถูกควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ขณะที่ญาติๆ และทนายความได้เตรียมเอกสารและหลักทรัพย์เพื่อยื่นประกันตัว และอุทธรณ์ภายในกำหนด 30 วัน