ข่าว
กัญชา ยาทางเลือก ข่าวดีคนไทย อบรมระยะสั้น

เรื่องราวของกัญชาทางการแพทย์ ต้องบอกว่ายังคงมาแรงในหน้าข่าวสาร แซงทุกตำรับยาจริงๆ ทั้งๆ ที่ เจ้าพืชชนิดนี้มีผู้นำมาใช้รักษาโรค บำบัดโรคมาเนิ่นนานแล้ว

นั่นเพราะเมืองไทยเพิ่งมี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 ที่ทำให้กัญชาในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือต้องห้ามจนแตะไม่ได้ ความหวังของผู้ป่วยชาวไทยจึงสดใสขึ้นมาทันที

โดยเฉพาะยังมีการเปิดการอบรมการปลูกกัญชาทางการแพทย์ โดยศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพบางเดชะ (ภูมิภูเบศร) โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งได้รับเสียงตอบรับล้นหลาม

กัญชาคืออะไร

ก่อนจะไปว่ากันที่หลักสูตรการอบรมดังกล่าว มาทำความรู้จักเจ้ากัญชากันอีกครั้ง

กัญชา หรือต้นกัญชา เป็นพืชชนิดหนึ่ง ลักษณะใบมนแฉกลึกเข้าไปทางก้านหลายแฉก ดอกสีเขียว ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ใบและช่อดอกเพศเมียที่แห้งใช้สูบมีสรรพคุณทำให้มึนเมา เปลือกลำต้นใช้ทำเชือกป่านและทอผ้า

จากประวัติศาสตร์พบว่าการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคนั้นเริ่มขึ้นในประเทศจีนเมื่อ 2600 ปีก่อนคริสตกาล (BC) จักรพรรดิเสินหนิงของจีน ซึ่งเป็นผู้ค้นพบวิธีการชงชาและการดื่มชา เป็นผู้อธิบายสรรพคุณทางยาของพืชกัญชาในตำรายาสมุนไพรจีนเป็นครั้งแรก และริเริ่มให้มีการเพาะปลูกพืชกัญชาเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคนับจากนั้นเป็นต้นมา

ต่อมาการปลูกกัญชาได้ขยายไปในประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชีย และประเทศอินเดีย จนปี 2382 นายแพทย์ชาวอังกฤษ William O'Shaughnessy ขณะนั้นกำลังปฏิบัติงานอยู่ในอินเดีย ได้ทดลองและค้นพบว่ากัญชานั้นมีสรรพคุณทางการแพทย์ สามารถใช้ระงับอาการปวด เพิ่มความอยากอาหาร ลดการอาเจียน คลายกล้ามเนื้อ และลดอาการชักได้

จากนั้นได้มีการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์กันอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศอังกฤษและในกลุ่มประเทศตะวันตก ตลอดจนมีการซื้อขายกัญชาในร้านยาทั่วไปได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

จนกระทั่งในปี 2480 ประเทศอเมริกาได้มีการรายงานว่าการใช้กัญชามีผลทำให้ผู้ใช้ขาดสติ เกิดอาการประสาทหลอน และก่อให้เกิดอาชญากรรมขึ้นได้ จึงมีการถอนกัญชาออกจาก United States Pharmacopoeia และยกเลิกการใช้กัญชาในการรักษาโรค มีการห้ามใช้กัญชาในการรักษาโรคในอังกฤษและยุโรปในตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา

สำหรับบ้านเรา กัญชาเคยถูกจัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522

จนกระทั่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฉบับใหม่ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ได้อนุญาตให้สามารถนำมาใช้ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการ การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย หรือการศึกษาวิจัยและพัฒนาการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ได้

สรรพคุณ

อย่างที่ว่าไปกัญชาจัดว่าเป็นสารเสพติดที่่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แต่ก็เป็นยารักษาโรคด้วย โดยตำรายาไทยจะใช้เมล็ดกินเป็นยาชูกำลัง ช่วยเจริญอาหาร แต่ถ้ากินมากจะมีอาการหวาดกลัวและหมดสติ

ข้อมูลจาก https://medthai.com รายงานถึงสรรพคุณของกัญชาไว้ละเอียดตั้งแต่ยอดใบจนถึงทั้งลำต้น ดังนี้

ยอดอ่อนกัญชา เมื่อนำมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ จะได้สารที่เรียกว่า “ทิงเจอร์แคนเนบิสอินดิคา” ซึ่งเป็นน้ำยาสีเขียว เมื่อกินเข้าไปประมาณ 5-15 หยด จะมีสรรพคุณเป็นยาช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท เป็นยาสงบเส้นประสาท ทำให้นอนหลับ เคลิ้มฝัน แก้โรคสมองพิการ เป็นยาระงับปวด และเป็นยาแก้อักเสบ

ดอกใช้เป็นยาแก้โรคเส้นประสาท เช่น นอนไม่หลับ คิดมาก หรือใช้กับผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร โดยนำมาปรุงเป็นอาหารให้กิน

ใบใช้เป็นยาแก้ไข้ผอมเหลือง ไม่มีกำลัง ตัวสั่น เสียงสั่น และยังรักษาโรคหอบหืด ช่วยขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม ด้วยการนำใบสดมาหั่นให้เป็นฝอย แล้วเอาไปตากแห้ง จากนั้นจึงนำมาสูบเป็นยารักษาโรค

ส่วนดอก นำมาผสมกับยาฉุนพญามือเหล็ก หั่นแล้วสูบเป็นยาช่วยกัดเสมหะในลำคอ ส่วนเมล็ดใช้เป็นยาแก้กระหายน้ำ และยังมีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องผูกในคนสูงอายุได้ดี โดยใช้เมล็ดซึ่งมีน้ำมัน 30% ให้ใช้ร่วมกับตัวยาอื่นๆ ในตำรับยา

สำหรับยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้เมล็ดกัญชาจำนวน 3 เมล็ด นำมาผสมกับพริกไทย 3 ผล บดให้เป็นผง ใช้ผสมกับน้ำกินทุกคืนเป็นยาคุมกำเนิดสำหรับสตรี และยังช่วยแก้ประจำเดือนไม่ปกติของสตรีอีกด้วย

น้ำยาสีเขียวที่สกัดได้จากยอดอ่อนด้วยแอลกอฮอล์ มีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคบิด แก้ปวดท้อง และโรคท้องร่วง (ยอดอ่อน) ส่วนเมล็ดก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้บิดเช่นเดียวกับยอด

ทั้งต้นใช้ภายนอกเป็นยาแก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อน ใช้เป็นยาแก้กล้ามเนื้อกระตุก ช่วยลดอาการเจ็บปวดจากโรคไขข้ออักเสบ

นอกจากสรรพคุณที่กล่าว ในทางการแพทย์ยังใช้ประโยชน์จากกัญชาในการรักษาโรคและบรรเทาอาการอย่างหลากหลาย เช่น ใช้แก้ปวดหัวไมเกรน แก้อาการสั่นเพ้อ แก้อาการไอ อ่อนล้า ปวดประจำเดือนของสตรี โรคข้อ หรือกระทั่งโรคมะเร็งบางชนิด

หลักสูตรที่ต้องบอกต่อ

ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีข่าวดีสำหรับคนไทย เมื่อศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพบางเดชะ (ภูมิภูเบศร) โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี จะมีการจัดอบรม “การปลูกกัญชาทางการแพทย์แบบเกษตรอินทรีย์สำหรับประชาชนและเกษตรกร” รุ่นที่ 1 ปี 2562 ภาคบรรยายและปฏิบัติการไปแล้ว

ล่าสุด ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ประธานยุทธศาสตร์การแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า จากครั้งนั้นมีเสียงตอบรับดี

มาหนนี้จึงได้เปิดให้บุคคลทั่วไปที่มีความสนใจได้เข้ามาเรียนรู้ โดยคิดค่าใช้จ่ายท่านละ 200 บาท ซึ่งรวมเป็นค่าอบรม เอกสารและอาหารกลางวันด้วย เป็นรูปแบบจะเป็นการอบรมระยะสั้น 1 วัน

เริ่มตั้งแต่ข้อกฎหมายที่ควรรู้ การใช้ประโยชน์จากกัญชา ทั้งแบบพื้นบ้านดั้งเดิม และการใช้ในระบบบริการสุขภาพ รวมทั้งระบบการปลูกเทคนิคการปลูก/การเก็บเกี่ยวตามมาตรฐาน นอกจากนี้ยังได้เข้าชมระบบการปลูกจากสถานที่จริงที่แปลงปลูกกัญชาของอภัยภูเบศรด้วย

สามารถสอบถามหรือลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่โทร.0-3721-1289 (ในวันเวลาราชการ) หรือเฟซบุ๊กสมุนไพรอภัยภูเบศร เริ่มเปิดอบรมครั้งแรกวันนี้ (6 ธ.ค. 2562) รับจำนวนไม่เกิน 40 คน

แต่ถ้าใครพลาดรอบแรก สามารถติดตามสอบถามในรอบอื่นถัดไปตลอดเดือนธันวาคม 2562 นี้

ในหลวง-ราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ รัชกาลที่ 9

เมื่อเวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรมหาวัชรราชธิดา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี

เสด็จเข้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ๆ สยามบรมราชกุมารี ทรงยืนหน้าพระราชอาสน์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญาทรงยืนหน้าพระเก้าอี้ที่ประทับ

ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพานทองสองชั้นบูชาพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ รัชกาลที่ 9 พระพุทธมหาราช ฉ ปริวัตน์ และพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนการิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของสมเด็จพระศรี นครินทราบรมราชชนนี และพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่หน้าพระที่นั่งบุษบกมาลา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะทองลงยาราชาวดี และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยกราบถวายบังคมพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระบรมชนการิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร

และพระอัฐิสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งประดิษฐานที่พระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร

สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะทองลงยารองและทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ทรงกราบ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ จบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดเทียนดูหนังสือเทศน์พระราชทานแก่เจ้าพนักงานพระราชพิธี เชิญไปปักที่จงคลธรรมาสน์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ ๆ ไปทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ที่หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร สำหรับพระบรมอัฐิและพระอัฐิทรงธรรม ทรงศีล

พระธรรมปาโมกข์ถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนา เมื่อพระธุรรมปาโมกข์ถวายพระธรรมเทศนา จบแล้ว ลงมานั่งยังอาสน์สงฆ์ เสด็จ ฯ ไปทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ เสด็จ ฯ ไปทรงทอดผ้าไตร 15 ไตร ประทับพระราชอาสน์ พระสงฆ์สดับปกรณ์พระบรมอัฐิและพระอัฐิ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงหลั่งทักษิโณทุก เสด็จ ฯ ไปทรงทอดผ้าไตร (พระสงฆ์สดับปกรณ์) เสด็จ ๆ ไปทรงกราบพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ รัชกาลที่ 9 พระพุทธมหาราช ฉ ปริวัตน์ และพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระบาทสมเด็จพระบรมชนการิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่หน้าพระที่นั่งบุษบกมาลา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จ ฯ ไปทรงกราบถวายบังคมพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระบรมชนการิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระอัฐิสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟกัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้า ฯ

เสด็จออกจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ประทับรถยนต์พระที่นั่งที่พระทวารเทเวศรรักษา เสด็จพระราชดำเนินกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต


การทูตโลกแก้นุกโสมแดงเป๋ว-มูนขอจีนช่วย

ภารกิจการเยือนเกาหลีใต้ครั้งแรกในรอบ 4 ปีของนายหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศของจีน เมื่อ 5 ธ.ค.ว่า นายหวัง อี้ เข้าพบหารือประธานาธิบดีมูน แจ-อิน ของเกาหลีใต้ ที่ทำเนียบประธานาธิบดีบลูเฮาส์ในกรุงโซล ระหว่างนี้ นายมูนระบุว่า การผลักดันเพื่อยุติปัญหานิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือด้วยแนวทางการทูตโลกมาถึงทางแยกอันตราย เรียกร้องจีนให้คงบทบาทเชิงบวกเพื่อยุติปัญหานิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี รักษาสันติภาพให้มั่นคงต่อไป

ด้านนายหวังเรียกร้องให้มีการสื่อสารทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันให้เข้มข้นมากขึ้น และพูดเหน็บรัฐบาลสหรัฐฯในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังงัดข้อทำสงครามการค้ากับจีนด้วยว่า ความสุขสงบของโลกกำลังถูกคุกคามโดยลัทธิเอกภาคนิยมและการเมืองแบบใช้อำนาจขู่บังคับ จีนกับเกาหลีใต้ในฐานะเพื่อนบ้านกันควรกระชับการเจรจาและความร่วมมือเพื่อยึดมั่นร่วมกันในด้านพหุนิยมและการค้าเสรี

ก่อนหน้านี้ นายหวังพบหารือนางคัง คยุง-วา รมว.ต่างประเทศเกาหลีใต้ หารือวิกฤตินิวเคลียร์เกาหลีเหนือและรายละเอียดการหารือสุดยอด 3 ฝ่าย เกาหลีใต้ จีนและญี่ปุ่น ช่วงปลายเดือนนี้ที่จีนพร้อมกันนี้ ยังหารือเรื่องการอำนวยความสะดวกเพื่อการแลกเปลี่ยนการเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงและเตรียมการความเป็นไปได้ของแผนการเดินทางเยือน เกาหลีใต้ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ในปีหน้า

ความสัมพันธ์ของเกาหลีใต้กับจีนเกิดระหองระแหงหลังฝ่ายแรกยอมให้สหรัฐฯเข้าติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธที่เรียกว่าระบบป้องกันบริเวณพิกัดตำแหน่งสูง (THAAD) ในพื้นที่ภาคใต้ท่าม กลางข้อวิตกว่าความพยายามทางการทูตนำโดยสหรัฐฯเพื่อยุติปัญหานิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือทำท่าล้มเหลวกรณีเห็นไม่ตรงกันเรื่องข้อเสนอผ่อนปรนการคว่ำบาตรแลกกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ จีนยังเกรงว่าจะถูกสหรัฐฯสอดแนมผ่านระบบ THAAD และตอบโต้ด้วยการจำกัดยอดนักท่องเที่ยวเข้าเกาหลีใต้

วันเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงว่า สหรัฐฯกับจีนยังคงติดต่อสื่อสารกันใกล้ชิดเพื่อบรรลุข้อตกลงการค้าระยะแรก (phase one) หลังทำศึกการค้ากันมากว่า 1 ปี แต่เน้นย้ำด้วยว่าถ้าข้อตกลงเฟส 1 จะสำเร็จผลต้องลดกำแพงภาษีการค้าด้วยเพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของทุกๆ ข้อตกลง.


ส.ส.แก้ตัวพัลวัน แหกมติพรรค! ยืนยันหน้าตาเฉย ไม่กินกล้วย 8 หลัก

ประธานวิปฝ่ายค้านจ่อเปิดอกคุยพรรคร่วมฝ่ายค้าน อยากเปลี่ยนแนวแยกทางไม่บังคับกัน “สุทิน” ไม่แปลกใจ “พลภูมิ” ตอบแทนบุญคุณเรื่องคดี “อนุดิษฐ์” อัดถึงจุดเสื่อมการเมืองเร็วเกินคาด ทั้งกดดันข่มขู่ ซื้อ ส.ส.ย้อนยุคปี 2518 รอเช็กบิล 3 ส.ส. “ขจิตร” รับชาวบ้านด่าเละ ย้ำเสียบบัตรคาไว้อาจมีคนสวมรอยกดหรือเครื่องรวน ส.ส.เศรษฐกิจใหม่โต้ไม่ใช่งูเห่ากินกล้วย 8 หลัก “มนูญ” ยัน 4 ส.ส.ทำตามมติพรรคแจ้งวิปฝ่ายค้านแล้ว ไม่เห็นด้วยวอล์กเอาต์ 2 ส.ส.อนาคตใหม่อ้างเกรงใจกลัวประชาชนเอือม อยากให้สภาฯเดินหน้าได้ “จารึก” ลั่นไม่แคร์ ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน “เทพไท” ยกอุดมการณ์ ปชป.ต้านเผด็จการเหนือมติวิป รบ. จี้หาคนรับผิดชอบไม่แจ้งจับ “ไวพจน์” ด้าน “บิ๊กตู่” เชื่อพรรคร่วมฯ คงเข้าใจไม่ต้องส่งสัญญาณอีก พปชร.ปัดทุ่มหนักแลกเสียงโหวต “สนธิรัตน์” หนุนนัดมีตติ้งทุกเดือน กกต.ลุยสอบเงินกู้ อนค. 11 ธ.ค. ทีมสืบสวนตั้งแท่นฟันผิด

จากกรณีฝ่ายรัฐบาลแก้เกมจนคุมเสียงข้างมาก โดยมี 10 ส.ส.พรรคฝ่ายค้านร่วมมือแสดงตนทำให้องค์ประชุมสภาผู้แทนราษฎรไม่มีปัญหาและรัฐบาลพลิกชนะโหวตคว่ำญัตติตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศ คำสั่งของ คสช.และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 โดยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการทุ่มเงิน 8 หลักแลกเสียงโหวต ล่าสุด วิปฝ่ายค้านเตรียมพูดคุยเปิดอกกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเช็กเสียงว่าใครยังต้องการทำงานร่วมกันต่อไป หรือจะแยกไปเดินการเมืองแนวทางอื่น

ฝ่ายค้านจ่อคุยแยกทางพวกหมดใจ

เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีมีเสียง ส.ส.ฝ่ายค้านไปร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุมให้ฝ่ายรัฐบาลในการพิจารณาญัตติตั้งคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศ คำสั่งของ คสช.และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ว่า การหาเสียงแสดงองค์ประชุมของรัฐบาลครั้งนี้ เป็นการลงทุนลงแรงทุกวิธีการ ถือเป็นการลงทุนที่สูงมากดูแล้วไม่ผิดคาด เพราะฝ่ายค้านเชื่อว่าถ้ารัฐบาลทำทุกวิถีทางคงต้องออกมาเป็นเช่นนี้ หลังจากนี้วิปฝ่ายค้านคงมีการประชุมเปิดอกคุยกันว่าใครจะยังคงจุดยืนและทำงานร่วมกันต่อ หรือใครประสงค์ทำงานการเมืองในแนวทางอื่น จะไม่บังคับกัน เพราะการทำงานร่วมกันของฝ่ายค้านเป็นเพราะกระแสสังคมส่งมา ถ้าใครจะวิเคราะห์ว่ากระแสสังคมเปลี่ยนไป จะเลือกเดินการเมืองแนวทางอื่นเป็นสิทธิ จากนี้เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ฝ่ายค้านเหลือเท่าไหร่ก็ทำงานได้ ถึงอย่างไรจำนวนเสียงสู้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่คุณภาพและจุดยืนที่แน่วแน่จะเป็นอาวุธของฝ่ายค้าน

ไม่แปลกใจ “พลภูมิ” ทดแทนบุญคุณคดี

นายสุทินกล่าวอีกว่า ส่วน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่แสดงตัวเป็นองค์ประชุม 3 คนนั้น ในรายนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม. พรรคไม่แปลกใจ เพราะเข้าใจและทราบมาก่อนว่าเขามีบุญคุณต่อกันเรื่องคดีก่อนหน้านี้ ส่วนที่เหลืออีก 2 คนถือว่าผิดคาด จึงต้องรอฟังเหตุผลก่อน

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายพลภูมิแสดงตัวเป็นองค์ประชุมให้กับรัฐบาล รู้จักนายพลภูมิและครอบครัวมานาน ตั้งแต่เริ่มเข้าการเมืองมาเป็นผู้ช่วย ส.ส.ของตน และไปเป็น ส.ก. จนเป็น ส.ส.เป็นคนมีฐานะมีเหตุผล ไม่เคยสนใจเรื่องผลประโยชน์เงินทอง ดังนั้นการจะบอกว่าที่ช่วยรัฐบาลเพราะผลประโยชน์เงินทองตัดทิ้งไปได้เลย สาเหตุคงมาจากเรื่องอื่น

ซัดผู้มีอำนาจขาสั่นกลัวถูกตรวจสอบ

นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ฝ่ายค้านพยายามเสนอตั้งคณะ กมธ.วิสามัญ พิจารณาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศ คำสั่งของ คสช.และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 เพราะผลกระทบจากคำสั่งตามมาตรา 44 เกิดปัญหาหลายอย่าง การตั้ง กมธ.เพื่อศึกษาว่าคำสั่งใดที่ คสช.ออกมาขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ หรือขัดเหตุผลทางกฎหมาย รัฐสภาจะพิจารณาปรับให้เป็น พ.ร.บ. ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางส่วนมีความเห็นร่วมกับข้อเสนอของพรรคฝ่ายค้าน เพราะคำสั่งที่เกิดจากการปฏิวัติรัฐประหารทั้งหมดมีปัญหาในทางปฏิบัติ ผู้มีอำนาจไม่อยากให้ตั้ง กมธ.ชุดนี้จึงไม่มีเหตุผล ผู้มีอำนาจไม่ต้องการตั้งเพราะกลัวถูกตรวจสอบ หรือคำสั่งมาตรา 44 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ใช้มีอะไรซ่อนอยู่ในคำสั่งที่เคยออกมาหรือไม่รัฐบาลถึงกลัวมาก ปัญหาที่เกิดขึ้นจนส่งผลให้สภาฯ ล่ม เกิดจากการออกแบบรัฐธรรมนูญให้พรรคการเมืองอ่อนแอ เป็นรัฐบาลผสมเกิดการต่อรองทางการเมืองตลอดเวลา ปัญหาทางการเมืองเกิดจากรัฐธรรมนูญที่ออกแบบให้การเมืองอ่อนแอ ผู้มีอำนาจและมีเงินจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในที่สุด

“อนุดิษฐ์” อัดการเมืองถึงจุดเสื่อม

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการติดตามความเคลื่อนไหวการเตรียมตัวของฝ่ายรัฐบาลก่อนการพิจารณาญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาผลกระทบมาตรา 44 ทราบว่าพยายามระดม ส.ส.ทั้งหมดเพื่อเปิดประชุม ต้องมีองค์ประชุมครบ 249 เสียง เพื่อโหวตล้มมติตั้ง กมธ.มาตรา 44 ที่แพ้ก่อนหน้านี้ให้ได้ และต้องหาทางพลิกเสียงพรรคประชาธิปัตย์ 6 เสียงที่โหวตสวนมติวิปรัฐบาล ได้รับรายงานจาก ส.ส.ของพรรคหลายคนถูกทาบทามจากบุคคลสำคัญของรัฐบาลเสนอผลประโยชน์บางอย่าง เพื่อให้สนับสนุนรัฐบาลแก้ไขข้อขัดข้องที่รัฐบาลมีอยู่ อีกทั้งได้ยินข่าวปล่อยว่าหากสภาฯล่มครั้งนี้อาจยุบสภาฯ ไม่คิดว่าการเมืองไทยจะเดินมาถึงจุดเสื่อมได้รวดเร็วขนาดนี้

สับข่มขู่-ซื้อ ส.ส.ย้อนยุคปี 18

“ไม่เคยเชื่อว่าผู้มีอำนาจเลือกใช้วิธีข่มขู่พรรคตัวเอง หรือพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อควบคุมลูกน้องทีมงานให้เกรงกลัว ต้องทำตามผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม หากเป็นเช่นนี้จริงเท่ากับสะท้อนให้เห็นว่าผู้มีอำนาจบ้านเมืองไม่ได้ยึดผลประโยชน์ประเทศ เห็นแต่ภาพการต่อรองกดดันข่มขู่ เพื่อผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง โดยเฉพาะการเสนอกล้วยจูงใจ ส.ส.ฝ่ายค้าน ย่อมไม่ใช่การปฏิรูปการเมืองให้ดีขึ้น แต่นำการเมืองไทยถอยหลังไปเหมือนปี 2518” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

รอเช็กบิล 3 ส.ส.สวนมติพรรค

เมื่อถามว่า ในส่วน ส.ส.พรรคเพื่อไทย 3 เสียงที่แสดงตนเป็นองค์ประชุมให้รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร น.อ.อนุดิษฐ์ตอบว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ พรรคจะปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกไม่ได้ ส่วนตัวเห็นว่าพรรคต้องกำหนดมาตรการดำเนินการกับบุคคลที่สวนมติพรรค พรรคเพื่อไทยมีระเบียบข้อบังคับและวิธีการในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว จะเปิดโอกาสให้บุคคลดังกล่าวได้ชี้แจงกับพรรคเสียก่อน ส่วนจะมีมาตรการอย่างไร เมื่อได้ข้อยุติจะรายงานผ่านสื่อให้ประชาชนทราบ เพราะคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยต่างรู้สึกผิดหวังกับการกระทำของสมาชิกที่สวนมติพรรคในครั้งนี้เป็นอย่างมาก

“ขจิตร” พร้อมแจงเหตุผลผู้ใหญ่

นายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พร้อมไปชี้แ

จงกับผู้ใหญ่พรรคเพื่อไทย หากจะให้ไปชี้แจงกรณีไปร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุมให้รัฐบาล ขอยืนยันว่าไม่ใช่งูเห่า และไม่เคยได้รับเงิน 8 หลักเป็นค่าแจกกล้วยร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุมให้ฝ่ายรัฐบาล ที่มีชื่อตนปรากฏเป็นองค์ประชุม เพราะเสียบบัตรแสดงตนคาไว้ในเครื่องลงคะแนน จากนั้นออกไปประชุมอนุ กมธ.งบประมาณด้านการศึกษา ขณะนั้นเมื่อใกล้จะถึงเวลาแสดงตนเป็นองค์ประชุมญัตติตั้ง กมธ.เรื่องมาตรา 44 นายสมศักดิ์ พันธุ์เกษม ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ ประธานอนุ กมธ.งบประมาณด้านการศึกษา ขอให้ตนทำหน้าที่ประธานที่ประชุมแทนให้ เพราะต้องไปแสดงตนเป็นองค์ประชุม จึงทำหน้าที่แทนให้เพราะถึงอย่างไรฝ่ายค้านก็ไม่ได้ร่วมเป็นองค์ประชุมโหวตญัตติตั้ง กมธ.มาตรา 44 อยู่แล้ว แต่สุดท้ายมาทราบว่ามีชื่อตนไปแสดงตนเป็นองค์ประชุมในญัตติดังกล่าว จึงสันนิษฐานว่าอาจจะมีคนไปกดปุ่มแสดงตนเป็นองค์ประชุมให้ในเครื่องที่ตนเสียบบัตรคาไว้หรือไม่ หรืออาจเป็นเพราะเครื่องลงคะแนนขัดข้อง จึงไปปรากฏชื่อเป็นองค์ประชุม

ยอมรับโดนชาวบ้านรุมด่าเละ

นายขจิตรกล่าวอีกว่า ยืนยันว่าสิ่งที่พูดมาเป็นความจริง อนุ กมธ.งบประมาณด้านการศึกษาและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมเป็นพยานให้ได้ว่า ตนไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภาฯระหว่างพิจารณาญัตติตั้ง กมธ. มาตรา 44 ตรวจสอบไม่ยากเรียกเจ้าหน้าที่และอนุ กมธ.งบประมาณด้านการศึกษามาเป็นพยานจะทราบความจริงทั้งหมด จึงไม่หนักใจอะไร มั่นใจว่าผู้ใหญ่ในพรรคจะรับฟังเหตุผล แต่ยอมรับว่าถูกชาวบ้านด่าหนักมาก เพราะไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่เมื่อได้รับทราบความจริงทั้งหมดแล้วจะเข้าใจ เหตุผลที่เสียบบัตรคาไว้ในเครื่องลงคะแนนเป็นเรื่องปกติที่ ส.ส.80-90% ทำกันทั้งนั้น เพราะไม่มีใครพกบัตรลงคะแนนติดตัวไว้ตลอดเวลา กลัวจะทำหาย ทุกคนต่างเสียบบัตรคาไว้ในเครื่องลงคะแนน พอเลิกประชุมสภาฯเจ้าหน้าที่จะมาเก็บบัตรลงคะแนนเหล่านี้ไป พอวันรุ่งขึ้นเมื่อมาเซ็นชื่อประชุมสภาฯ เจ้าหน้าที่จะแจกบัตรลงคะแนนคืนให้ไปถามเจ้าหน้าที่ได้เลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

เศรษฐกิจใหม่แจงทำตามมติพรรค

นายมนูญ สิวภิรย์รัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ กล่าวถึงกรณี 4 ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่ร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุมให้รัฐบาลเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ว่า การที่ 4 ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่แสดงตนเป็นองค์ประชุมให้ฝ่ายรัฐบาล ไม่ใช่การเป็นงูเห่า แต่เป็นการทำตามมติพรรคที่ได้แจ้งให้ที่ประชุมวิปฝ่ายค้านทราบแล้วว่า ไม่เห็นด้วย หากจะยังไม่ร่วมเป็นองค์ประชุมสภาฯในครั้งที่ 3 ต่อไปอีก ที่ผ่านมาการไม่ร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุม 2 ครั้งถือว่ามากพอแล้ว จึงควรให้สภาฯเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อแก้ปัญหาต่างๆเช่น ปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นจุดยืนการแก้ปัญหาของพรรคเศรษฐกิจใหม่ อีกทั้งเห็นว่าญัตติการพิจารณาผลกระทบจากมาตรา 44 นำไปพิจารณาให้คณะ กมธ. สามัญชุดต่างๆของสภาฯได้ พรรคเศรษฐกิจใหม่ได้มีมติพรรคไปแล้วว่าให้เข้าร่วมประชุมในการโหวตเรื่องนี้ ควรโหวตกันอย่างแฟร์ๆ ไม่ใช่เล่นเกมกันไปมาให้สภาฯล่มอีก จะทำให้ภาพพจน์สภาฯเสียหายมากไปกว่านี้

โต้ไม่ใช่งูเห่ากินกล้วย 8 หลัก

นายมนูญกล่าวว่า ส่วน ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่อีก 2 คนคือ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และนายนิยม วิวรรธนดิฐกุล ไม่ได้ร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุมด้วย เนื่องจากไม่ได้มาประชุมวันดังกล่าว ยืนยันว่าพวกเราไม่ใช่งูเห่า ไม่เคยรับกล้วย 8 หลัก ไม่เคยได้รับเงินทั้งจากรัฐบาลและฝ่ายค้าน แม้จะเป็นฝ่ายค้านแต่จุดยืนพรรคเศรษฐกิจใหม่เคยพูดชัดเจนว่าถ้าเรื่องใดที่พรรคไม่เห็นด้วยกับมติฝ่ายค้านก็พร้อมเห็นต่าง หลังจากนี้พรรคเศรษฐกิจใหม่ยังคงทำงานเป็นฝ่ายค้านต่อไป เพราะมีอุดมการณ์ตรงกัน แต่เรื่องใดที่เห็นต่างจากฝ่ายค้านขอสงวนสิทธิที่จะเห็นต่าง ฝ่ายค้านต้องเคารพสิทธิของเรา ได้บอกเป็นจุดยืนมาแต่แรกที่ได้ร่วมกันทำงานแล้ว พรรคจะพิจารณาเป็นเรื่องๆไปว่าจะเห็นต่างจากมติฝ่ายค้านหรือไม่ ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญพรรคเห็นด้วยและสนับสนุนเต็มที่ให้แก้ไข แต่จะไม่แตะต้องในมาตรา 1 และ 2 และได้เตรียมคนร่วมเป็น กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้แล้ว

“จารึก” ไม่แคร์ขอให้สภาฯเดินหน้า

นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ได้ร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบจากมาตรา 44 ว่า อยากให้สภาเดินหน้าไปได้ จะให้วอล์กเอาต์ไปอีกกี่ครั้ง 5 ปีที่ผ่านมาไม่มีสภาฯ ไม่มีผู้แทนฯก็เรียกร้องกัน แต่พอมีสภาแล้วก็วอล์กเอาต์ล่มแล้วล่มอีกอย่างนี้มันไม่ใช่ อยากให้สภาฯเดินหน้าไปได้ จึงตัดสินใจอยู่ร่วมในองค์ประชุมและงดออกเสียงในการลงมติ ส่วนใครจะมองเป็นงูเห่าก็ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไร ยืนยันไม่เคยได้รับแจกกล้วยจากใครเลย คนจันทบุรี เขต 2 รู้ดีว่าตนเป็นคนอย่างไร ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เมื่อถามว่าเตรียมตัวชี้แจงกับพรรคแล้วใช่หรือไม่ นายจารึกตอบว่า คราวที่แล้วพรรคเรียกไปสอบก็ยังไม่เห็นจะพูดอะไร แต่ไม่เป็นไร เราเป็น ส.ส.ของประชาชน ชะตากรรมอยู่ตรงไหน ขอให้ประชาชนได้ประโยชน์เท่านั้นพอใจแล้ว ส่วนมติพรรคตนไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้ทำกิจกรรมกับพรรค พอตอนจะโหวตอะไรจะมีคนมาบอกว่า โหวตอะไร ถ้าตนเห็นด้วยก็ทำให้ แต่ครั้งนี้ถ้าวอล์กเอาต์กันอีก สภาฯก็ล่มเดินไม่ได้ประชาชนจะเบื่อหน่ายเอือมระอา จึงต้องทำให้ประชาชนมั่นใจการทำงานของสภาฯ

เกรงใจ ปชช.ไม่เห็นด้วยวอล์กเอาต์

พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่าสาเหตุที่ร่วมโหวตเป็นองค์ประชุมร่วมกับฝ่ายรัฐบาล เพราะต้องการให้สภาฯ เดินหน้าทำงานต่อไปได้ และรู้สึกเกรงใจประชาชนเป็นอย่างมาก ตนไม่เห็นด้วยกับการวอล์กเอาต์ การจะแพ้หรือชนะต้องยอมรับกันตามกระบวนการของสภาฯ การทำงานในสภาฯ ต้องยึดหลักของสภาฯ ให้ทุกอย่างจบที่สภาฯ ส่วนพรรคจะดำเนินการอย่างไรกับการโหวตสวนมติพรรคพร้อมยอมรับและเข้าใจกระบวนการของพรรค ขอยืนยันว่าการตัดสินใจยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เพราะเมื่อสภาฯ เดินหน้าได้ ประเทศจะเดินหน้าได้ ทุกฝ่ายจะเอาเวลาไปช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชนที่มีอยู่มาก โดยเฉพาะฝ่ายค้านจะได้เดินหน้าตรวจสอบ และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาให้รัฐบาล

“เทพไท” แจงเหตุผลไม่เปลี่ยนจุดยืน

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเหตุผลการลงมติเห็นชอบญัตติการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบการใช้ มาตรา 44 ว่า ได้ตัดสินใจยืนยันมติเดิมด้วยเหตุผล 3 ข้อ คือ 1.ญัตตินี้เป็นญัตติของพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมพรรคมาก่อน และมี ส.ส.พรรคที่เป็นอดีตรัฐมนตรีลงชื่อเป็นเจ้าของญัตติ 7 คน เช่น นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายกรณ์ จาติกวณิช นายสุทัศน์ เงินหมื่น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ นายถาวร เสนเนียม นายอิสสระ สมชัย และมี ส.ส.ของพรรคลงชื่อรับรอง 20 คนด้วย

ยกอุดมการณ์ ปชป.เหนือมติวิป รบ.

นายเทพไท กล่าวอีกว่า 2.ในการพิจารณาญัตตินี้ตนได้อภิปรายแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในที่ประชุมสภาฯ สนับสนุนให้นำคำสั่งของคณะรัฐประหารทุกชุด และกฎหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัติ (สนช.) มาศึกษา แตกต่างกับญัตติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน 3.ญัตตินี้ตรงกับอุดมการณ์ของพรรค ข้อ 4 ที่ระบุว่า “พรรคจะไม่สนับสนุนระบบหรือวิธีแห่งเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นระบบและวิธีการของรัฐบาลใดๆ” ซึ่งได้ประกาศไว้ตั้งแต่วันก่อตั้งพรรค 6 เม.ย. 2489 เป็นเวลา 73 ปี ผ่านมาแล้ว และยังคงทันสมัยจนถึงปัจจุบัน จึงขอยืนยันว่าในฐานะสมาชิกพรรคคนหนึ่ง พร้อมจะปฏิบัติตามมติพรรค และมติวิปรัฐบาลทุกประการ แต่อุดมการณ์ของพรรคต้องอยู่เหนือมติพรรคและมติวิปรัฐบาลหรือเงื่อนไขใดๆ ในการเข้าร่วมรัฐบาล

ล่าคนรับผิดชอบ “ไวพจน์” เข้าสภาฯ

นายเทพไท กล่าวต่อว่า ส่วนกรณี พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกออกหมายจับศาลจังหวัดพัทยา เพื่อนำตัวไปฟังคำพิพากษาวันที่ 15 ม.ค.63 มาปรากฏตัวในห้องประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ถือได้ว่าเป็นผู้ต้องหากระทำความผิดโดยมีหมายจับชัดเจน เมื่อปรากฏตัวเช่นนี้ผู้มีหน้าที่จับกุมต้องเร่งจับกุมตัว ผู้กระทำผิดส่งศาลจังหวัดพัทยาให้ได้ แต่เมื่อ พ.ต.ท.ไวพจน์ มาปรากฏตัวที่อาคารรัฐสภา จะต้องพิจารณาข้อกฎหมายว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189 หรือไม่ มาตรา 189 บัญญัติไว้ว่าผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ต้องตั้งคำถามว่าใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบความผิดตามมาตรา 189 เพราะถือว่าเป็นการให้ที่พักพิงหรือพบตัวผู้กระทำผิดแล้วไม่แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตามกฎหมาย จะมีความผิดหรือไม่ ต้องสอบข้อเท็จจริงกับบุคลากรของรัฐสภาที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ รปภ. หรือตำรวจสภาฯ จนถึงประธานวุฒิสภาและประธานสภาฯ ด้วยหรือไม่

“พนิต” ย้ำหน้าที่ตรวจสอบคำสั่ง คสช.

นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อคืนวันที่ 4 ธ.ค. ถึงกรณีโหวตเห็นด้วยให้ตั้งคณะ กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบคำสั่ง ประกาศ คสช. ตามมาตรา 44 ว่า “ขอยืนยันว่ากฎหมายต้องได้รับการตรวจสอบโดย ส.ส.จากการเลือกตั้ง ได้ยืนยันสนับสนุนการตั้งคณะ กมธ.วิสามัญฯ ตามญัตติที่เพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เสนอ เพราะต้องการทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนราษฎร เพื่อทบทวนแก้ไขคำสั่งและประกาศ คสช.ที่มีฐานะเป็นกฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนตามแนวทางประชาธิปไตย แม้ว่าประกาศและคำสั่งหลายฉบับจะออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนบางประการ แต่ช่วงก่อนการเลือกตั้งไม่มี ส.ส.ตรวจสอบอย่างรอบคอบว่าจะมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไรบ้าง เมื่อสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจและสังคม เปลี่ยนแปลงไปแล้วสมควรต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลอื่น แต่ยืนยันว่ากฎหมายที่มีผลกระทบต่อประชาชนต้องได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบโดยผู้แทนฯ จากการเลือกตั้ง นี่เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองของตน และเป็นการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรของผม”

“นิพิฏฐ์” เหน็บหนีหมายศาลซุกสภาฯ

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กว่า...คนหนึ่งหนีหมายศาลไปต่างประเทศ อีกคนหนึ่ง หนีหมายจับของศาลเข้ามาลงมติในสภาผู้แทนราษฎร ท่านคิดว่าตำรวจไทย จะกล้าจับ ส.ส.ที่ศาลออกหมายจับหรือไม่ ความยุติธรรมต้องมีกำลังอยู่ข้างหลัง หมายความว่า เมื่อศาลตัดสินแล้ว ตำรวจต้องจับ เมื่อตำรวจจับแล้ว ราชทัณฑ์ต้องขัง ลองคิดดูว่าถ้าศาลตัดสินแล้วแต่ตำรวจไม่จับหรือตำรวจจับแล้วราชทัณฑ์ไม่ขัง ความยุติธรรมไม่เกิดขึ้น ใครจะเป็นผู้อำนวยให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นได้ คำตอบคือการเมืองที่ดีครับ

“บิ๊กตู่” เชิญใครจะตรวจสอบว่ากันไป

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่บริเวณท้องสนามหลวง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังทำกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ว่า วันนี้ประเทศชาติสงบร่มเย็น แต่มีปัญหาอยู่บ้างต้องแก้กันไป ถ้าทุกคนเอาแต่ปัญหามารุมเร้ากันทุกเรื่องจนทำให้การบริหารทำงานไม่ได้มันคงไม่ใช่ ต้องทำให้การบริหารราชการทำได้ ส่วนปัญหาต้องช่วยกันแก้ ยืนยันไม่ได้ไปอะไรกับใครทั้งสิ้นจะตรวจสอบหรือจะถ่วงดุลว่ากันไป แต่ทางปฏิบัติอย่าทำให้ระบบ ราชการเสียหาย ตนรับผิดชอบแค่นั้นแหละ

เชื่อพรรคร่วมคงเข้าใจไม่ต้องส่งซิกอีก

เมื่อถามว่า สิ่งที่นายกฯพูดต้องการส่งสัญญาณถึงพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เลิกพูดเถอะนะสัญญาณ ทำไมต้องส่งสัญญาณ” และเมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เขาคงเข้าใจกันอยู่ และคงเข้าใจกันมากขึ้น” เมื่อถามต่อว่าทุกอย่างไม่น่าจะมีปัญหาแล้วใช่หรือไม่ หลังจากมีการนัดมีตติ้งพรรคร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “พอแล้วปัญหาอยู่ที่คนนี่แหละ”

“สนธิรัตน์” รับปริ่มน้ำวิป รบ.เหนื่อยหนัก

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงภาพรวมการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.สภาฯไม่ล่มและรัฐบาลพลิกกลับมาโหวตชนะล้มการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาผลกระทบจากการใช้อำนาจตามมาตรา 44 สำเร็จว่า เป็นไปตามขั้นตอนสภาฯ ที่ผ่านมา ส.ส.รัฐบาลและรัฐมนตรีหลายคนติดภารกิจ ขณะที่เสียงในสภาฯ ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเสียงไม่ต่างกันมากนัก จึงทำให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ต้องเหนื่อยควบคุมเสียง ประธานวิปรัฐบาลทำ

งานด้วยความยากลำบาก แต่ได้ทำเต็มที่แล้ว หลังจากนี้คงต้องประสานกันให้มากขึ้น เชื่อว่า พรรคร่วมรัฐบาลทราบอยู่แล้วว่าต้องทำหน้าที่อย่างไร ทุกคนมีหน้าที่ช่วยกันทำงาน ส่วนฝ่ายค้านระบุมีแกนนำรัฐบาลล็อบบี้เสียง ส.ส.ฝ่ายค้านด้วยเงิน 8 หลัก ส.ส.แต่ละคนมีความคิดเป็นของตัวเอง คำนึงถึงสถานการณ์ ทิศทางการเมือง คงไม่มีใครอยากทำลายอนาคตการเมืองของตัวเอง เราต้องเคารพ ส.ส.แต่ละท่านมีวิธีคิด วิธีการทำงานในแบบตัวเอง

หนุนจัดมีตติ้งใกล้ชิดกันทุกเดือน

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ส่วนการพบปะพูดคุยกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ต้องนัดกันทุกเดือนหรือไม่ มองว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะได้พบปะพูดคุยในบรรยากาศที่เป็นกันเอง โดยนายกฯ จะไปร่วมงานด้วยทุกครั้ง หากไม่ติดภารกิจ เนื่องจากต้องการเห็นความสามัคคีของพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว

พปชร.ปัดทุ่ม 8 หลักแลกเสียงโหวต

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุรัฐบาลเสนอผลประโยชน์ให้ ส.ส.แลกเสียงโหวตเป็นองค์ประชุมว่า ไม่เป็นความจริง รัฐบาลไม่ได้ล็อบบี้ ส.ส. หรือเสนอผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกรัฐสภา ดูแคลน ส.ส. มากเกินไป ทุกคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ไม่มีใครบังคับได้ ส.ส.เหล่านั้นคำนึงถึงประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ไม่อยากเห็นฝ่ายค้านเล่นการเมืองมากเกินไป ยิ่งพรรคอนาคตใหม่ จมปลักอยู่กับอดีตคิดแค่คำว่าสืบทอดอำนาจ หรือประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่เราผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว ขอนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนาย ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค อย่าพยายามปลุกมวลชนที่เป็นเยาวชนลงถนน นำประเทศไปสู่ความขัดแย้งอีกเลย ช่วยกันทำงานเพื่อประเทศชาติดีกว่า

“วิรัช” เพิ่มดีกรีเข้มงวดมติวิปรัฐบาล

นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลคุมเสียงในสภาฯได้ จนไม่เกิดเหตุการณ์สภาฯล่มเป็นครั้งที่ 3 ว่า คะแนนเป็นไปตามที่พูดคุยในที่ประชุมวิปรัฐบาล เวลานี้เราได้เห็นปัญหาแล้ว หากไม่ทำตามเสียงของวิปรัฐบาลปัญหาจะเกิดขึ้นอย่างไร จากนี้คงต้องเข้มงวดขึ้น เพราะญัตตินี้คงไม่ใช่ญัตติสุดท้าย วิปรัฐบาลต้องเตรียมทุกอย่างให้รอบคอบขึ้น โดยเฉพาะการมีเสียงปริ่มน้ำ ต้องทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณสมาชิก ส.ส.ทุกคนทุกพรรคที่ทำให้ทุกอย่างจบด้วยดี ในฐานะประธานวิปรัฐบาลไม่ได้อึดอัดหรือกังวลใจอะไรกับเสียงที่เกิดขึ้นจากนี้ เมื่อเกิดปัญหาต้องแก้ไขให้ดีขึ้น รัฐบาลต้องเดินหน้าพูดคุยกันให้มากขึ้น หากทุกพรรคร่วมรัฐบาลช่วยกัน มั่นใจรัฐบาลจะเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการบริหารและนิติบัญญัติ ส่วนกรณี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่โหวตสวนนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ในรัฐบาล รวมถึงผู้ใหญ่ของประชาธิปัตย์ต้องคุยกันว่าจะทำอย่างไร ไม่ขอไปก้าวล่วงให้ความเห็นส่วนนี้ เพราะหากพูดอะไรไปคนจะไปตีความจนเกิดความขัดแย้ง ส่วนประเด็นเรื่องงูเห่าไม่ขอวิจารณ์เพราะไม่ทราบในส่วนนี้ แต่ต้องยินดีที่พรรคเศรษฐกิจใหม่หันมาสนับสนุนรัฐบาล

“วราวุธ” ไม่ได้ยินดึง ศก.ใหม่ร่วม รบ.

นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงกระแสข่าวที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อดึงพรรคเศรษฐกิจใหม่เข้าร่วมเป็นรัฐบาล โดยยืนยันว่า ครม.ยังไม่มีการพูดคุย แต่หากเกิดขึ้นจริงก็เป็นเรื่องที่นายกฯเห็นสมควร และเป็นเรื่องของแกนนำรัฐบาล ไม่อาจ ก้าวล่วงได้ ส่วนตัวพร้อมปรับเปลี่ยนตามที่นายกฯเห็นสมควร ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนามี ส.ส. 11 คนไม่ได้กังวล ตอนนี้ขอทำหน้าที่ดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด เนื่องจากกำลังสนุกกับงาน ซึ่งมีกระแสข่าวการปรับ ครม.ขึ้นมา เป็นธรรมดาเมื่อการประชุมสภามีปัญหาเสียงปริ่มน้ำ.

ประธาน กกต.ลุยสอบเงินกู้ อนค.

อีกเรื่อง เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ท้องสนามหลวง นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ปล่อยเงินกู้ให้พรรคอนาคตใหม่ ว่า ขณะนี้เลยกำหนดเวลาที่ให้พรรคอนาคตใหม่ยื่นชี้แจงกรณีดังกล่าว กกต.จึงถือว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่ติดใจ สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้สำนักงาน กกต.ต้องทำเรื่องเสนอขึ้นมายังคณะกรรมการ กกต.ต่อไป

11 ธ.ค.ตั้งแท่นฟันผิดกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากครบกำหนดให้พรรคอนาคตใหม่ส่งเอกสารเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.แล้ว แต่พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้ส่งตามกำหนดเวลา คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนมีมติตัดพยานหลักฐานที่ยังไม่ชี้แจงเพิ่มเติมออกไป โดยจะพิจารณาจากพยานหลักฐานเท่าที่มี ก่อนจะเสนอที่ประชุม กกต.พิจารณาวินิจฉัยในวันที่ 11 ธ.ค.ว่ากระทำดังกล่าวผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งหรือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่

สหรัฐฯส่งสารยินดีวันชาติไทย

วันเดียวกัน สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย เผยแพร่สารจากไมเคิล อาร์. ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในโอกาสวันชาติไทย ระบุว่าในนามของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมายังประชาชนชาวไทยเนื่องในโอกาสการเฉลิมฉลองวันชาติไทย ซึ่งตรงกับวันที่ 5 ธ.ค.เป็นเวลากว่า 200 ปีที่สหรัฐฯ และประเทศไทยได้เสริมสร้างสัมพันธไมตรีและจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือระหว่างกันเรื่อยมา มิตรภาพของเรานั้นค้ำจุนภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง นอกจากนี้สายสัมพันธ์ทางธุรกิจอันยาวนานของสหรัฐฯและไทย ยังช่วยสร้างความมั่งคั่งและความคิดริเริ่มให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ ดังจะเห็นได้จากการประชุม Indo-Pacific Business Forum ที่กรุงเทพฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ในปีนี้ประเทศไทยได้มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคในฐานะประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐฯขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของไทยมา ณ โอกาสนี้ด้วย เรายังยินดีกับประชาชนชาวไทยในโอกาสที่ประเทศของท่านเดินหน้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยไปอีกขั้นหนึ่งหลังจากการเลือกตั้งในปีนี้ และหวังว่าจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป สหรัฐฯยังคงมุ่งสานสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและธุรกิจ ตลอดจนยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงกับไทย และตั้งตารอที่จะสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างเราสองประเทศในโอกาสต่อไป สหรัฐฯขอแสดงความยินดีกับประชาชนชาวไทยในโอกาสวันชาติไทย และขออวยพรให้ท่านทั้งหลายมีสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองมา ณ ที่นี้

กห.ควานหามือโพสต์เหยียดทหาร

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีมีการแชร์ภาพการเหยียดหยามและนำพลทหารไปใช้ผิดประเภทว่า สังคมต้องร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริงจากแหล่งที่มาและวัตถุประสงค์ผู้เผยแพร่ ถือเป็นการเหยียดหยามเกียรติภูมิทหารที่กองทัพไม่สามารถยอมรับได้ กำลังติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริงคู่ขนานกันไป จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทุกเหล่าทัพมีการแบ่งมอบงานและหน้าที่กันชัดเจน ทั้งหน่วยงานกำลังรบ หน่วยสนับสนุนการรบ หน่วยสนับสนุนการช่วยรบ ตำแหน่ง “พลทหารบริการ” ถูกกำหนดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของงานตามภารกิจ หมุนเวียนกันดูแลพื้นที่ภายในหน่วยและช่วยเหลือกันเองด้านธุรการ ยืนยันว่า กห.คำนึงถึงเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของทหารทุกระดับ ไม่มีนโยบายให้นำ “พลทหารบริการ” ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะการใช้งานทหารนอกค่ายทหาร อาจมีบ้างชั่วคราวด้วยความสมัครใจของทหาร หากมีบุคคลใดใช้พลทหารผิดวัตถุประสงค์และละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ต้องมีผู้รับผิดชอบและถือเป็นความผิดส่วนบุคคลทั้งทางวินัยและอาญา


ญี่ปุ่น-ฮ่องกงขยับ ทุ่มงบมหาศาลกระตุ้นเศรษฐกิจ

โตเกียว/ฮ่องกง (เอเอฟพี/รอยเตอร์) - นายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น เปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 13 ล้านล้านเยน (ราว 3.62 ล้านล้านบาท) หวังบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลายครั้งและจากการขึ้นภาษีขายล่าสุด ส่วนฮ่องกงจะจัดสรรเงิน 4,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังการประท้วงนานหลายเดือนส่งผลให้ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของฮ่องกงลดลง

นายกรัฐมนตรีอาเบะกล่าวกับคณะรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือแอลดีพีที่สำนักนายกรัฐมนตรีว่า จะเปิดตัวนโยบายการคลังครั้งใหญ่มูลค่า 13 ล้านล้านเยน และเป็นมาตรการที่จะมีผลอย่างมาก บรรษัทกระจายเสียงญี่ปุ่น หรือเอ็นเอชเค และสื่อญี่ปุ่นหลายแห่งรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจะให้ความเห็นชอบในวันศุกร์ และหากรวมกับการใช้จ่ายของภาคเอกชนแล้วจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 26 ล้านล้านเยน (ราว 7.24 ล้านล้านบาท)มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้จะมีการลงทุนภาครัฐประมาณ 6 ล้านล้านเยน (ราว 1.67 ล้านล้านบาท) เพื่อบูรณะฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลายครั้ง นอกจากนี้ยังต้องการบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นภาษีขายจากร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ช่วยธุรกิจญี่ปุ่นรับมือภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากข้อพิพาทการค้าจีน-สหรัฐ ช่วยส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรก่อนที่ข้อตกลงการค้าอย่างจำกัดกับสหรัฐจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม และช่วยให้คนวัย 30 ปีเศษ และ 40 ปีเศษมีงานทำ

นักเศรษฐศาสตร์สถาบันวิจัยญี่ปุ่นชี้ว่า มาตรการนี้น่าจะมีผลอย่างจำกัด เพราะช่วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน แต่ไม่ปฏิรูปรากฐานเศรษฐกิจประเทศที่เติบโตช้า นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังขยายตัวได้ในปีนี้เพราะมีการบริโภคสูงขึ้นมากเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกโตเกียว 2020 ที่จะเปิดฉากในเดือนกรกฎาคม แต่หลังจากมหกรรมกีฬานี้ปิดฉากไปแล้วเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจซบเซาลง

ด้านนายพอล ชาน รัฐมนตรีคลังฮ่องกง ให้คำมั่นว่าจะทุ่มเงิน 4,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 15,600 ล้านบาท) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการใหม่เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของฮ่องกงที่ได้รับผลกระทบจากการประท้วงนานหลายเดือนที่ทำให้ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของฮ่องกงลดลง ซึ่งวงเงินดังกล่าวจะทำให้ยอดการกระตุ้นเศรษฐกิจของฮ่องกงเพิ่มขึ้นเป็น 2 หมื่น 5,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 97,500 ล้านบาท) นับตั้งแต่ฤดูร้อนปีนี้เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดลงอย่างมากทางด้านการท่องเที่ยวและการค้าปลีก นายชานยังกล่าวเสริมว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายหลักในการช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางเพื่อปกป้องตำแหน่งงาน เนื่องจากการประท้วงส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ก่อนหน้านั้น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ เรียกร้องให้รัฐบาลฮ่องกงดำเนินการกระตุ้นทางการเงินให้มากขึ้นเพื่อแก้ไขภาวะเศรษฐกิจถดถอย และปัญหาโครงสร้างระยะยาวต่างๆ อาทิ ปัญหาที่อยู่อาศัยที่ไม่เพียงพอและความไม่เท่าเทียมทางรายได้

ยอดดอยอุณหภูมิติดลบ นักท่องเที่ยวฟิน สัมผัสอากาศหนาว น้ำค้างแข็ง

อากาศเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างสมบูรณ์ เมื่อประเทศไทยตอนบน อุณหภูมิลดลงอย่างต่อเนื่อง 6-8 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะลดลงต่ำที่สุดในช่วงวันที่ 7-9 ธันวาคม 2562 บริเวณพื้นราบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-12 องศาเซลเซียส ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 1-8 องศาเซลเซียส

โดยพบว่า เช้าวันนี้พบว่า มีการแชร์ภาพ สภาพอากาศที่ดอยอินทนนท์ โดยพบว่า อุณหภูมิยอดดอยในเช้าวันนี้ อยู่ที่ -1 องศา ทำให้ประชาชนที่ขึ้นไปสัมผัสกับอากาศยอดดอยฟินไปตามๆ กัน และยังพบว่า เกิดน้ำค้างแข็งทั่วบริเวณ ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง

โดยเช้านี้เกิดเหมยขาบปรากฏให้นักท่องเที่ยวได้ตื่นตาตื่นใจ สภาพอากาศฟ้าเปิดอากาศแจ่มใส และมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เพื่อดูแสงแรกพระอาทิตย์ที่ขึ้นในตอนเช้า ตัดกับทะเลหมอกอย่างสวยงาม

ขณะที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน ลดลงมาเหลือ 3 องศาเซลเซียส และที่ทำการอุทยานฯ 7 องศาเซลเซียส และมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวชมกิ่วแม่ปานจำนวนมากเช่นกัน