ข่าว
กัมพูชาปล่อยตัว"ราตรี" 1กุมภาฯ ลดโทษ"วีระ" 6เดือน

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า รัฐบาลกัมพูชา จะปล่อยนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และลดโทษจำคุก นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ โดยลดลง 6 เดือน ทั้งสองถูกศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุกฐานจารกรรมข้อมูลทางทหารและลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

ก่อนหน้านี้ทางการกัมพูชาจับกุมนายวีระและน.ส.ราตรี ขณะเดินข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชา บริเวณหมู่บ้านหนองจัน ต.โนนหมากมุ่น อ.โนนสูง จ.สระแก้ว ในช่วงบ่ายวันที่ 21 สิงหาคม 2553 และส่งตัวเข้าพิจารณาในศาลกัมพูชา

ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุกนายวีระ 8 ปี ปรับ 1.8 ล้านเรียล และน.ส.ราตรี 6 ปี ปรับ 1.2 ล้านเรียล ไม่รอลงอาญา

ทางด้านนายกอย กวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา แถลงเมื่อเช้าวันที่ 10 มกราคมว่า ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสนอให้สมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พิจารณาอภัยโทษให้กับนักโทษคนไทย2คน ได้แก่นายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ผู้ติดตามนายวีระ

นายกอยกวงกล่าวว่า ในวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขอร้องสมเด็จฮุนเซ็นอีกครั้ง สมเด็จฮุนเซ็นตอบสนองข้อเสนอโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อพิจารณาดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ลดโทษให้นายวีระ สมความคิด เพื่อหาทางอภัยโทษในครั้งหน้า

2. อภัยโทษน.ส.ราตรี ในช่วงวันถวายพระเพลิงสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1-4กุมภาพันธ์

“ขณะนี้ กระทรวงยุติธรรมกำลังพิจารณาเรื่องนี้เพื่อดำเนินการให้สำเร็จลุล่วง”นายกอยกวงกล่าวในแถลงการณ์

จราจรโคม่าขนส่งวิกฤต! เผย 10 ถนนรถวิ่งช้าสุด

“วิกฤตจราจร” กลายเป็นปัญหาระดับชาติและวาระเร่งด่วนของรัฐบาล แม้น้ำมันจะแพงและถนนไม่พอรถวิ่ง แต่นโยบายรถคันแรกก็ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ส่งผลให้พื้นที่รถวิ่งเหลือน้อยลงอย่างปฏิเสธไม่ได้

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภารกิจเร่งด่วนในปี 2556 คือการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลที่วิกฤตมากขึ้น เนื่องจากปีนี้จะมีรถใหม่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นจากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล แต่รถคันแรกก็ไม่ใช่ปัญหาที่ทำให้กรุงเทพฯประสบปัญหารถติดเสียทีเดียว เพราะรถใหม่ในกรุงเทพฯมีจดทะเบียนประมาณ 20% อีก 80% เป็นต่างจังหวัด

“ยังมีปัจจัยอื่นที่มาผสมโรงทำให้วิกฤตยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ การปรับผิวจราจร และการปิดถนนเพื่อก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่กระจายไปตามถนนหลัก 7 สายด้วยกัน”

ประกอบด้วย 1.ถนนพระรามที่ 4 มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ช่วงแยกหัวลำโพง-แยกมหานคร) 2.ถนนตากสิน มีก่อสร้างอุโมงค์ลอดทางแยกมไหสวรรย์ 3.ถนนเพชรเกษม มีก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ช่วงท่าพระ-บางแค) 4.ถนนราชพฤกษ์ มีก่อสร้างรถไฟฟ้าบีทีเอส (วงเวียนใหญ่-บางหว้า)

5.ถนนจรัญสนิทวงศ์ มีก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-ท่าพระ) อุโมงค์ทางลอดแยกบรมราชชนนี และสามแยกไฟฉาย 6.ถนนประชาชื่น ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ช่วงสะพานสูง-แยกประชาชื่น) 7.ถนนบรมราชชนนี มีขยายผิวจราจรช่วงวงแหวนรอบนอก-พุทธมณฑลสาย 2 และ 7.ถนนรัตนาธิเบศร์-งามวงศ์วาน มีสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ช่วงแคราย-สะพานพระนั่งเกล้า)

“ทั้งหมดอยู่ระหว่างก่อสร้าง จะใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 ปีกว่าจะคืนผิวการจราจรให้กลับมาเป็นปกติได้ และปีนี้จะมีรถไฟฟ้าสายใหม่ที่จะเริ่มสร้างอีกบนถนนสายหลัก ใช้เวลาสร้างอีก 4 ปี จะทำให้การจราจรกรุงเทพฯวิกฤตมากขึ้น”

นายชัชชาติกล่าวอีกว่า แนวทางแก้ปัญหาที่ทำได้ทันทีคือ จะเร่งปรับปรุงการจราจรโดยรวมให้บรรเทาลง เพราะส่วนหนึ่งของปัญหารถติดมาจากการจอดรถไม่เป็นระเบียบ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น นำเทคโนโลยีเข้ามาตรวจจับมากขึ้น กวดขันการจอดรถให้เป็นระเบียบ หากพบว่าทำผิดจะต้องถูกปรับตามกฎหมาย ติดตั้งกล้องวงจรปิดหรือซีซีทีวีตามแยกต่าง ๆ รวมถึงควบคุมจังหวะสัญญาณไฟจราจร เพื่อแก้จุดตัดที่เป็นปัญหาคอขวด ส่วนมาตรการสลับเวลาทำงานนั้นจะขอดูผลตอบรับก่อน

ส่วนการแก้ปัญหาระยะกลางคือ ส่งเสริมให้คนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น เช่น รถเมล์ ภายในปีนี้คาดว่าจะผลักดันการจัดซื้อรถเมล์ใหม่ 3,183 คัน เพื่อนำมาให้บริการ และในระยะยาวเมื่อรถไฟฟ้าสร้างเสร็จจะมีมาตรการดึงคนมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น เช่น จำกัดการใช้รถส่วนบุคคล จำกัดปริมาณการจราจรในถนนสายหลัก ปรับปรุงและให้สิทธิพิเศษ กระจายการเดินทาง ควบคุมที่จอดรถ เก็บค่าธรรมเนียมรถยนต์เข้าเขตเมืองชั้นใน เป็นต้น

“รถติดเป็นปัญหาใหญ่ก็จริง แต่เราไม่ได้สิ้นหวัง ค่อย ๆ แก้ไป เพราะการจะเปลี่ยนพฤติกรรมคนให้ทิ้งรถจากบ้านเลยนั้นคงยาก” นายชัชชาติกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากงานก่อสร้างถนน สะพาน อุโมงค์ ทางยกระดับ และทางด่วน ที่เบียดบังพื้นผิวจราจรไปบางส่วน ปีนี้คนกรุงต้องอดทนกับวิกฤตพื้นที่ถนนที่เหลือน้อยลง

จากปัจจัยเหล่านี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ยอมรับว่า มีผลทำให้สถิติการจราจรในช่วงเร่งด่วนมีความเร็วเฉลี่ยลดลงทั้งเช้าและเย็น ซึ่งมี 10 ถนนที่รถวิ่งช้าที่สุดในรอบปี 2555 อาทิ ถนนกรุงธนบุรี-สุรศักดิ์ ถนนตก-สุรวงศ์ รามคำแหง-พระราม 9 อโศก-นานา บางกะปิ-ลาดพร้าว สามย่าน-อนุสาวรีย์ชัย ฯลฯ

จากสถิติของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ระบุว่า ล่าสุดปริมาณรถจดทะเบียนสะสม ณ เดือน พ.ย. 2555 มีทั้งสิ้น 7,461,487 คัน เพิ่มขึ้น 612,274 คัน เมื่อรวมกับเดือน ธ.ค. คาดว่าจะมีรถจดทะเบียนอีก 50,000 คัน จำนวนนี้เป็นโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก ณ วันที่ 16 ธ.ค. 2555 มี ผู้ขอใช้สิทธิ 142,580 คันจากทั่วประเทศ จำนวน 941,995 คัน

'ณัฏฐ์'อ้างใช้สิทธิความเป็นปชช.

"ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เผยไม่เห็นด้วยนโยบายคืนเงินรถคันแรกของรัฐบาล แจงแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ได้มองเสียภาพลักษณ์การเป็นดารา

ช่วงนี้ต้องบอกว่ากระแสการเมืองกับวงการมายาเกี่ยวโยงกันตลอด เพราะหลังจากกรณีละคร "เหนือเมฆ 2" ที่ถูกแบนไป โดยกระแสสังคมอ้างว่า ถูกบีบจากฝ่ายการเมือง ล่าสุดก็เกิดกรณีพิพาทอีกครั้ง เมื่อนักแสดงหนุ่มตระกูลดัง ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ออกมาโพสต์แสดงอาการไม่เห็นด้วยลงในอินสตาแกรมส่วนตัว กรณีที่รัฐบาลจะนำภาษีมาจ่ายให้นโยบายรถคันแรก ทำให้เกิดการวิจารณ์อย่างแพร่หลาย เพราะในฐานะของคนสาธารณะการออกมาวิจารณ์อย่างโจ่งแจ้ง อาจส่งกระทบต่อภาพลักษณ์การเป็นดารา ซึ่งเมื่อมีโอกาสเจอหนุ่มณัฏฐ์ในงานแถลงข่าวภาพยนตร์ "จันดารา ปัจฉิมบท" เลยถามถึงเรื่องนี้ ซึ่งนักแสดงหนุ่มตอบแบบตรงไปตรงมาดังนี้

"ผมโพสต์ว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ที่รัฐต้องมาคืนเงินภาษีรถคันแรก คือผมต้องบอกว่าผมออกความคิดเห็นในฐานะของประชาชนคนหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจะก่อม็อบอะไรทั้งนั้น มันเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ที่ว่ารัฐต้องมาเป็นหนี้ รัฐไม่ได้มีเงินคืนประชาชน แต่รัฐต้องกู้เงินมาคืนประชาชน เพราะฉะนั้นหนี้พวกนี้เป็นหนี้สาธารณะ แล้วภาษีที่ไม่เก็บเหล่านี้ เรียกว่าเป็นภาษีที่ฟุ่มเฟือย ผมคิดว่าเงินเหล่านั้น ควรเก็บเอามาพัฒนาประเทศ พัฒนาในสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น ส่วนตัวผมยินดีที่จะจ่ายภาษี และเข้าใจคนที่อยากจะซื้อรถคันแรก แต่ผมมองว่าการที่คุณจะซื้อรถคันแรก แล้วรัฐต้องกู้เงินมาคืนคุณ คุณจะภูมิใจมั้ยล่ะ ผมในฐานะประชาชน มีหน้าที่จ่ายภาษี แต่การที่รัฐไปกู้เงินมาคืนคุณ เหมือนเป็นหนี้สาธารณะ อย่าคิดว่าการได้เงินคืนแล้ว มันจะดีหรือไม่ดี ให้มองในเรื่องของภาพรวม" นักแสดงหนุ่มกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามต่อในเรื่องการของที่ ณัฏฐ์ เป็นนักแสดง การออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอาจเป็นเรื่องที่นักแสดงส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีใครกล้าแสดงความเห็นเรื่องเหล่านี้

"ถ้าตัดความเป็นนักแสดงออกไป ผมคือประชาชนคนหนึ่ง ที่มีสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในการออกความคิดเห็น ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้ก่อม็อบ ผมเข้าใจว่าการเป็นนักแสดงไม่ควรพูดเยอะ แต่ในเรื่องบางเรื่องเรามีสิทธิ ผมไม่กลัวที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด (หลังจากโพสต์ข้อความลงกระแสตอบกลับมาเป็นอย่างไรบ้าง) มีหลายกระแส ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งผมถือว่าเป็นสิทธิของแต่ละคน" ณัฏฐ์กล่าวสรุป