ข่าว
'แฮร์ริส'ลุยหาเสียงครั้งแรก ขู่จะปราบ'ทรัมป์' เจอเกทับชนะง่ายกว่า'ไบเดน'

24 ก.ค.67 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นางแฮร์ริส ได้ปราศัยหาเสียงเป็นครั้งแรก หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศถอนตัวและสนับสนุนให้เธอเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยเลือกไปเปิดเวทีที่รัฐวิสคอนซิน ที่ซึ่งพรรครีพับลิกันเพิ่งจัดการประชุมใหญ่และประกาศอย่างเป็นทางการให้ทรัมป์ เป็นตัวแทนพรรคชิงทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ก่อน

ใจความหลักของคำปราศัยที่นางแฮร์ริสใช้ในการต่อสู้กับทรัมป์ มาจากประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งอัยการของเธอ โดยได้เปรียบเทียบว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นต่อสู้ระหว่างผู้รักษากฎหมายกับอาชญากรผู้ต้องคำพิพากษาคดีอาญา เนื่องจากทรัมป์ เป็นอดีตประธานาธิบดีคนแรกและคนเดียวที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดคดีอาญา จากกรณีจ่ายเงินเปิดปากนักแสดงภาพยนตร์ผู้ใหญ่ แล้วยังมีคดีอาญาอีก 3 คดีที่อยู่ในกระบวนการฟ้องร้อง

นางแฮร์ริส กล่าวว่า เธอเป็นผู้คุ้มกฎหมายที่ต่อสู้กับคนร้ายทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคนล่วงละเมิดทางเพศ คนคดโกง หรือ ผู้หลอกลวงเพื่อประโยชน์ตัวเอง

ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาและผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนฯ ประกาศหนุนแฮร์ริส

ทั้งนี้ นับตั้งแต่นางแฮร์ริสได้กลายเป็นตัวแทนพรรคอย่างไม่เป็นทางการ กระแสตอบรับและคะแนนนิยมดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดเงินบริจาคที่เพิ่มสูง โดยได้รับบริจาคเพิ่มกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 3,600 ล้านบาท) ในเวลาเพียงเวลาแค่ 1 วันครี่ง ขณะที่ผลการสำรวจของรอยเตอร์พบว่า เธอมีคะแนนนำทรัมป์เล็กน้อยร้อยละ 44 ต่อ 42

ด้านทรัมป์ ได้กล่าวโจมตีนางแฮร์ริสว่า เป็นคนพูดปดที่มีแนวคิดซ้ายจัด ซึ่งจะทำลายชาติบ้านเมือง แต่เขาเชื่อว่าจะสามารถเอาชนะแฮร์ริสได้ง่ายกว่าไบเดน ส่วนสมาชิกรีพับลิกันและทีมหาเสียงของทรัมป์มุ่งโจมตีแฮร์ริสว่า ผลงานย่ำแย่เรื่องอาชญากรรม ผู้อพยพ และปัญหาเงินเฟ้อ จนกระทั่งมีการจัดอันดับว่าเป็นรองประธานาธิบดีที่ความนิยมต่ำที่สุด

'พัชรินทร์'มือทำคลอด กม.ฉีดไข่ฝ่อ ขอบคุณสภาฯรับหลักการเพิ่มโทษคุกคามทางเพศ

24 ก.ค.24 ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้ผลักดันกฎหมายป้องกันการกระทำผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศว่า ขอบคุณสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบรับหลักการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเพื่อแก้ไขนิยาม “กระทำชำเรา”พร้อมเพิ่มบทกำหนดโทษการคุกคามทางเพศ รวมถึงขอขอบคุณนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคภูมิใจไทยที่ยื่นเสนอแก้กฎหมายฉบับนี้ในสภาฯสมัยนี้

"กฎหมายดังกล่าว ถือว่าจะเป็นประโยชน์ กับทุกคนในสังคม ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการคุกคามทางเพศ ไม่เพียงเฉพาะแค่เพศหญิง แต่ยังรวมถึงทุกกลุ่มคน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ที่จะครอบคลุมโทษ ตามนิยามใหม่ของคำว่า “กระทำชำเรา” ที่ต้องกว้างขวางมากกว่าคำว่า “ถูกข่มขืน” ดร.พัชรินทร์ กล่าว

พร้อมย้ำว่า ตนดีใจทึ่กฎหมายฉบับนี้ ได้รับการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในทุกครั้งที่มีวาระเข้าสภาฯ ตั้งแต่สมัยที่แล้ว ที่ตนเป็น สส.เพื่อนสมาชิก ก็ให้ความเห็นอย่างกว้างขวาง และเห็นชอบ จนสามารถคลอดเป็นกฎหมายออกมาได้สำเร็จ ยิ่งสะท้อนว่าสภาฯแห่งนี้ให้ความสำคัญเสมือนฉีดวัคซีนป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางเพศ อย่างจริงจัง และจริงใจกับประชาชน


สภาฯไฟเขียว!! ฟื้นกม.คืนอำนาจให้'กมธ.'เรียก'รมต.-ข้าราชการ-เอกสาร'เข้าชี้แจง

24 ก.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) อำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.... ซึ่งเสนอโดยนายสฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย และ ร่างพ.ร.บ.ที่มีเนื้อหาในทำนองเดียวกันอีก 2 ฉบับ ซึ่งเสนอโดยนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีราชื่อ พรรคก้าวไกล และ น.ส.ทิสรัตน์ เลาหพล สส.กทม. พรรคก้าวไกล

ทั้งนี้ ในการอภิปรายของ สส. ทั้งในส่วนของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย มีความเห็นไปในทางเดียวกัน คือ สนับสนุนให้รับหลักการของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว โดยมีสาระเพื่อต้องการคืนอำนาจให้กับ กรรมาธิการ ในการทำงานตรวจสอบประเด็นความไม่โปร่งใสที่เกิดจากการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งจากฝ่ายบริหาร รัฐมนตรี และข้าราชการ หลังจากที่อำนาจเรียกบุคคลหรือเอกสารมาตรวจสอบในกมธ.จากข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐตามอำนาจที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554 ไม่สามารถนำมาใช้ได้ เพราะคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 17/2563 เมื่อ 7 ตุลาคม 2563 มีคำวินิจฉัยว่ามีความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 2560 เนื่องจากกำหนดบทลงโทษทางอาญานั้นถือเป็นบทบัญญัติที่ขัดกับมาตรา 129 ของรัฐธรรมนูญ จึงทำให้เป็นปัญหาต่อการทำงาน เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ที่กรรมาธิการเชิญให้มาประชุมหรือชี้แจงรายละเอียด

ทั้งนี้ หลังจากการอภิปรายแล้วเสร็จที่ประชุมได้ลงมติรวมกันในคราวเดียว โดยมีมติเอกฉันท์ 421 เสียง รับหลักการของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว และได้ตั้ง กมธ. 31 คนพิจารณาเนื้อหา


คนงานฮือประท้วงบริษัทรับเหมาค้างค่าแรง 4 เดือนหน้าโรงกลั่นน้ำมันดัง

เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 24 ก.ค.67 ได้มีกลุ่มพนักงานบริษัทรับเหมาในโรงกลั่นน้ำมันดังในพื้นที่ศรีราชา จ.ชลบุรี รวมตัวเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดออกมารับผิดชอบปัญหาที่เรื้อรังมานานก็คือไม่ยอมจ่ายเงินค่าแรงให้พนักงานหลายร้อยชีวิตตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 จนถึงปัจจุบันนี้ จนพนักงานทุกคนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะต้องมีภาระต่อเดือนที่ต้องใช้จ่าย

การเจรจาต่อผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวยึดยื้อมานานหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาในการไม่จ่ายค่าแรงให้กลุ่มพนักงานหลายชีวิตที่ปฏิบัติงาน ในโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวและไม่มีการชี้แจงถึงปัญหาว่าเกิดปัญหาในด้านใดแต่อย่างใด สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มพนักงานเป็นอย่างมากและต้องการเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เข้ามาตรวจสอบหาข้อยุติเรื่องนี้เพราะกลุ่มพนักงานมีความเดือดร้อนจริงๆ

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมถึงสำนักงานสวัสดิการคุ้มครองแรงงานศรีราชา ได้ลงพื้นที่ร่วมพูดคุยเจรจาถึงปัญหาดังกล่าว โดยเนื้อหาสำคัญที่เกิดปัญหาดังกล่าวเนื่องจากบริษัทผู้รับเหมาได้รับเหมางานในโรงกลั่นน้ำมัน และได้รับเงินมาแล้ว แต่ไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่พนักงานจำนวนหลายร้อยรายเลื่อนจ่ายมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 จนถึงปัจจุบันถึงแม้พนักงานจะรวมตัวเจรจามาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เป็นผล ได้รับความเดือดร้อนกันอย่างหนัก จึงวอนขอผ่านสื่อขอให้หน่วยงานรัฐเข้าช่วยเหลือและเจรจาหาข้อยุติปัญหาดังกล่าวให้เร็วที่สุด เพราะเดือดร้อนกันหลายชีวิต

สำหรับปัญหาข้อพิพาทดังกล่าวเกิดจากบริษัทผู้รับเหมาที่ได้โปรเจคงานของโรงกลั่นน้ำมันมา ซึ่งทางโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวได้จ่ายเงินให้บริษัทผู้รับเหมาไปแล้ว แต่บริษัทผู้รับเหมาไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่พนักงานของตัวเอง และบริษัทผู้รับเหมาอื่น 1-2 บริษัทที่จ้างมาทำงานต่ออีกที เลื่อนจ่ายมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้พนักงานจะรวมตัวเจรจามาหลายครั้งแล้วแต่ไม่เป็นผล ได้รับความเดือดร้อนกันอย่างหนัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการเจรจาไม่เป็นผลคนงานรวมตัวปิดถนนทางเข้าโรงกลั่นน้ำมันในชลบุรี หลังการเจรจาล้มเหลว โดยมีเจ้าหน้าที่เข้าร่วมเจรจาให้ทั้ง 2 ฝ่ายหาทางออกร่วมกัน แต่ไม่เป็นผลและยังหาข้อยุติไม่ได้


นักวิทย์จีนพบแร่ธาตุอุดมด้วย'โมเลกุลน้ำ' ในตัวอย่าง'ดินดวงจันทร์' จากฉางเอ๋อ-5

23 ก.ค.67 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันฟิสิกส์ สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ค้นพบแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยน้ำในโครงสร้างโมเลกุล ในตัวอย่างดินดวงจันทร์ที่ยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-5 (Chang'e-5) นำกลับมาสู่โลก โดยประกอบด้วยผลึกน้ำมากถึง 6 โมเลกุล

หลักฐานหลายชิ้นชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของน้ำหรือน้ำแข็งบนพื้นผิวดวงจันทร์ แต่มีแนวโน้มว่าน้ำและน้ำแข็งอาจจะอยู่ในรูปแบบของหมู่ไฮดรอกซิล (hydroxyl group) มากกว่า

การศึกษาที่เผยแพร่ลงในวารสารเนเจอร์ แอสโทรโนมี (Nature Astronomy) เมื่อไม่นานนี้ แสดงให้เห็นว่าโมเลกุลน้ำในตัวอย่างดินดวงจันทร์นั้นมีน้ำหนักมากถึงราวร้อยละ 41 ของมวลทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ถึงการตรวจจับโมเลกุลน้ำภายในเรโกลิธ (regolith) บนดวงจันทร์ได้โดยตรงเป็นครั้งแรก และช่วยไขกระจ่างถึงการมีโมเลกุลน้ำและแอมโมเนียม (ammonium) อยู่จริงบนพื้นผิวดวงจันทร์

การศึกษาเผยว่าโครงสร้างและองค์ประกอบของแร่ธาตุดังกล่าวคล้ายคลึงกับแร่ธาตุที่เคยพบใกล้ภูเขาไฟบนโลกอย่างมาก ซึ่งสามารถตัดความเป็นไปได้ว่าสิ่งปนเปื้อนหรือไอเสียจากจรวดบนพื้นผิวดวงจันทร์เป็นต้นกำเนิดของสารประกอบที่มีโมเลกุลของน้ำอยู่นี้

การค้นพบครั้งนี้เผยถึงรูปแบบความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่บนพื้นผิวดวงจันทร์จะมีโมเลกุลของน้ำอยู่ นั่นคือการอยู่ในรูปแบบของเกลือไฮเดรต (hydrated salts) ซึ่งแร่ธาตุที่มีโมเลกุลของน้ำประกอบเหล่านี้มีความเสถียรมากในบริเวณพื้นที่สูงของดวงจันทร์ ถึงแม้ในพื้นที่นั้นมีแสงแดดส่องถึงก็ตาม

คณะนักวิจัยกล่าวว่าการค้นพบครั้งนี้เปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการพัฒนาและการใช้ทรัพยากรน้ำบนดวงจันทร์เพิ่มเติมในอนาคต

ทั้งนี้ จีนตั้งเป้าจะสร้างแบบจำลองพื้นฐานของสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติภายในปี 2035 ซึ่งการใช้ทรัพยากรจากบนดวงจันทร์จะช่วยวางรากฐานสำหรับการก่อสร้างสถานีบนดวงจันทร์ได้ในระยะยาว

พบนักบินรอดชีวิต 1 ราย เผยอายุเครื่องบินตกในเนปาลใช้งานมาแล้ว 20 ปี

24 ก.ค.67 ความคืบหน้าเครื่องบินเล็กตกและเกิดไฟลุกไหม้ขณะกำลังจะบินขึ้นจากสนามบินในกรุงกาฐมาณฑุ นครหลวงของเนปาล ในวันนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 18 ราย ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุด ตำรวจเนเปลเผยแพร่ภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นว่า นักบินของเครื่องบินเล็กที่เกิดอุบัติเหตุตกในวันนี้กำลังได้รับความช่วยเหลือออกมาจากซากของเครื่องบินที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 18 รายและมีนักบินเป็นผู้รอดชีวิตเพียงรายเดียว

เจ้าหน้าที่กล่าวว่า เครื่องบินเล็กลำดังกล่าวตกและเกิดไฟลุกไหม้ในขณะที่กำลังจะบินขึ้นจากสนามบินในกรุงกาฐมาณฑุ ของเนปาล เครื่องบินลำนี้มีลูกเรือ 2 คนและช่าง 17 คน กำลังเดินทางไปยังเมืองโปขรา เพื่อนำเครื่องบินเข้าตรวจเช็คซ่อมบำรุงตามปกติ ภาพที่เผยแพร่ออกมายังแสดงให้เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่รายล้อมเครื่องบินที่ไหม้จนแทบไม่เห็นรูปร่างของเครื่องบิน

สื่อมวลชนรายงานว่า เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นของสายการบินเซาร์ยา แอร์ไลน์ ที่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศในเนปาล ด้วยเครื่องบินบอมบาดิเอร์ ซีอาร์เจ-200 จำนวน 2 ลำ ซึ่งมีอายุการใช้งานมายาวนานประมาณ 20 ปีแล้ว