เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 ศูนย์เอเชียนแปซิฟิคเฮลท์แคร์เวนเจอร์ เปิดอบรมให้ความเข้าใจเกี่ยวกับ “โอบามาร์แคร์” ให้กับสื่อมวลชนในชุมชนเอเชียน เพราะความถูกต้องของข้อมูลในการกระจายข่าวสารไปยังชุมชนต่างๆ
ประเด็นที่ให้ความสำคัญคือ คนที่อาศัยอย่างถูกต้องในกลุ่มดังต่อไปนี้จำเป็นต้องมีประกันสุขภาพ บุตรซิติเซ่นต์ 18 ปีขึ้นไป สามารถคุ้มครองพ่อแม่ซึ่งไร้เอกสารได้ นักเรียนต่างชาติ หากอยู่ในช่วงฝึกงาน และรับรายได้อย่างถูกต้อง สามารถซื้อประกันสุขภาพเพื่อคุ้มครองตนเองได้
บุคคลที่มี Medi-Cal, Medicare ประกันสุขภาพจากนายจ้าง หรือเข้าร่วมกับโครงการ Healthy Way LA ไม่จำเป็นต้องซื้อประกันสุขภาพซ้ำอีก โดยเฉพาะ Healthy Way LA จะทำการย้ายเข้าร่วมกับโปรแกรม Medi-Cal อัตโนมัติในปี 2014 โดยจะให้เลือกโปรแกรมที่เหมาะสมแบบ 60 วัน ก่อนจะถึงกำหนด โดยผู้เข้าร่วม Healthy Way LA ปัจจุบันมีอยู่ราว 30,000 คน ทั้งนี้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการกับ Covered CA จะไม่ต้องกังวลเกี่ยวโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ โดยเกณฑ์ของค่าประกันสุขภาพจะขึ้นอยู่กันอายุ และรหัสไปรษณีย์เท่านั้น และมีโปรแกรมการรักษาที่ครอบคลุมทุกโรค
ทั้งนี้หลังจากรัฐบาลกลางได้ออกกฎหมายเรื่องประกันสุขภาพ Patient Protection and Affordable Care Act หรือ Federal Affordable Care Act ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี 2014 นั้น รัฐบาลกลางได้มอบหมายให้องค์กร Covered California (Covered California Health Insurance Marketplace) หรือตลาดประกันสุขภาพ เป็นหน่วยงานดูแลเรื่องการซื้อประกันสุขภาพสำหรับผู้อาศัยในแคลิฟอร์เนีย ที่มีประชากรจำนวนกว่า 5.3 ล้านคน
The Affordable Care Act (ACA) นี้จะเริ่มต้นใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2014 โดยมีผลบังคับใช้ให้ประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ต้องมีประกันสุขภาพ ซึ่ง ACA จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้ที่ยังไม่มี “การประกันสุขภาพ” เป็นของตัวเอง ACA เป็นโปรแกรมการประกันสุขภาพของผู้มีรายได้ต่ำ เพื่อให้บุคคลเหล่านี้สามารถเข้ารับการรักษาโดยไม่ต้องคำนึงถึงค่ารักษาพยาบาลว่าจะสูงเกินไป ซึ่งคนที่มีสิทธิ์ในการซื้อ ACA จะต้องเป็นบุคคลที่ ไม่มีประกันสุขภาพจากการทำงาน MediCare Medi-Cal นักเรียนต่างชาติที่อยู่ภายใต้ใบอนุญาตการฝึกงานชั่วคราว (OPT) ถูกกฎหมาย รวมถึง Social Security Number และมีการแจ้งรายได้อย่างถูกต้อง แต่ไม่มีประกันสุขภาพจากที่ทำงาน หรือพ่อแม่ของบุตรที่เป็นซิติเซ่นต์อายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งไร้เอกสารก็สามารถเข้าร่วมโปรแกรมนี้ได้
ทั้งนี้ Covered California เป็นส่วนหนึ่งของตลาดการประกันสุขภาพของรัฐหรือการแลกเปลี่ยนการประกันสุขภาพซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับบุคคล และธุรกิจเล็กๆ โดย Covered California จะคอยให้คำแนะนำและจัดเตรียมรูปแบบประกันสุขภาพที่หลากหลายให้กับประชาชน ได้สามารถเลือกซื้อตรงกับความต้องการและเหมาะกับงบประมาณ โดยบุคคลหรือครอบครัวใดที่มีรายได้น้อยถึงรายได้ปานกลาง มีสิทธิ์ขอรับความช่วยเหลือในการลดค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพได้ (Federal Financial Assistance) จากทางรัฐบาลกลางได้ด้วย
นอกจากนี้ผู้ซื้อประกันยังสามารถได้รับประกันสุขภาพที่คุ้มครองตนเองและครอบครัว (กรณีบุตรเกิดในสหรัฐฯ โดยบิดา-มารดาเป็นผู้อพยพไม่มีเอกสาร) ถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะมีปัญหาด้านสุขภาพติดตัวมาก่อนก็ตาม (Pre-Existing Condition) ส่วนกลุ่มนักเรียนต่างชาติที่ไม่มีประกันสุขภาพกับทางโรงเรียน หากกำลังอยู่ในช่วงฝึกงาน ภายใต้ใบอนุญาตการฝึกงานชั่วคราว (OPT) ถูกกฎหมาย รวมถึง Social Security Number และมีการแจ้งรายได้อย่างถูกต้อง แต่ไม่มีประกันสุขภาพจากที่ทำงาน สามารถขอซื้อประกันสุขภาพจาก Covered California ได้เช่นกัน โดยกฎหมายสุขภาพใหม่นี้จะครอบคลุมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Care) และการตรวจสุขภาพ (Medical Screening) เช่น การตรวจเต้านมด้วยเอ็กซเรย์ (Mammograms) การตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopies) การฉีดวัคซีนเป็นต้น
สำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ให้ประกันสุขภาพแก่พนักงาน สามารถซื้อประกันสุขภาพได้ผ่านทาง Small Business Health Options Program หรือ SHOP ของ Covered California และมีสิทธิ์ได้รับการลดหย่อนภาษีสูงถึง 35% ในปี 2014 และลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 50% ในปี 2015
โดยในปี 2014 รัฐบาลกลางได้ออกกฎว่า ผู้ที่ไม่มีประกันสุขภาพจะต้องชำระค่าปรับ 1% ของรายได้ต่อปีต่อบุคคล หรือ $95 ขึ้นไป ในปี 2016 ค่าปรับจะปรับขึ้นเป็น 2.5% ของรายได้ต่อปีต่อบุคคล หรือ $695 ขึ้นไป ตามที่กฎหมายประกันสุขภาพกำหนด
โดยสามารถเริ่มซื้อประกันสุขภาพได้ตั้งแต่ตุลาคมที่ผ่านมา และได้ขยายไปจนถึงมีนาคม 2014 แต่สำหรับปีต่อไปจะกำหนดให้ซื้อได้ระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 7 ธันวาคมของทุกปีเท่านั้น
ในส่วนของศูนย์เอเชียนแปซิฟิคเฮลท์แคร์เวนเจอร์ยังคงให้บริการด้าน “Clinical Service” ต่อไปโดยมีการเปิดให้บริการตรวจสุขภาพในหลายๆ ด้าน เช่น การตรวจมะเร็ง การตรวจการตั้งครรภ์ รวมไปถึงการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของท่านอีกด้วย
อนึ่งศูนย์เอเชียนแปซิฟิคเฮลท์แคร์เวนเจอร์ หรือ APHCV คือศูนย์รักษาพยาบาลชุมชนในเขตลอสแอนเจลิส โดยมีล่ามบริการในภาษาต่างๆ เช่น ภาษาสเปน ตากาล็อค ไทย ฯลฯ โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากแผนประกันสุขภาพของท่าน และจัดหาผู้สนันสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับคนไข้ผู้ซึ่งต้องการความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลทางสุขภาพกายและจิตใจ
สำหรับท่านที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทั้งในเรื่อง “The Affordable Care Act” (ACA) หรือ โอบามาแคร์ และเรื่องการตรวจสุขภาพ สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ฯ สาขาใกล้บ้าน หรือต้องการติดต่อเจ้าหน้าที่คนไทยได้ที่ สุธาดา ทอปเปล ประจำสาขา Fountain Ave, Los Angeles ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.aphcv.org
ค่ำวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2556 ดร.วิชาวัฒน์ อิศรภักดี เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตันดี.ซี. เชิญผู้สื่อข่าวและชุมชนไทยในกรุงวอชิงตันดี.ซี. และปริมณฑล พบปะสังสรรค์ ในงานเลี้ยงรับรองครั้งแรกหลังจากที่เดินทางมารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา
ดร.วิชาวัฒน์ อิศรภักดี กล่าวถึง นโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้สถานเอกอัครราชทูตฯ (สอท.) ช่วยดูแลทุกข์สุขของพี่น้องชาวไทยในต่างประเทศ ขณะนี้ สอท. ได้ย้ายที่ทำการใหม่ให้บริการด้านกงสุลให้แก่ชาวไทยแล้วที่อาคาร สอท.เก่า เลขที่ 2300 Kalorama Rd., NW, Wasington, D.C. 20008 โดยชาวไทยจะไปขอทำวีซ่า ต่อหนังสือเดินทาง และนิติกรรมอื่นๆ ได้ที่นั่น นอกจากนี้แผนกกงสุลได้เปิดให้บริการต่ออายุบัตรประจำตัวประชาชน ให้แก่ผู้ที่บัตรหมดอายุโดยไม่คิดค่าธรรมเนียมใดๆ แต่ผู้ที่ยังไม่เคยมีบัตรประจำตัวต้องไปทำที่เมืองไทยก่อน ชาวไทยสามารถติดต่อทางกงสุลได้ที่ consulrar@thaiembdc.org โทร. (202) 640-5308
และเพื่อเป็นการทำความเข้าใจถึงปัญหาต่างๆ ของคนไทยให้มากขึ้น สอท. จะสนับสนุนสมาคมไทยในอเมริกา และสมาคม/ชมรมไทยในมลรัฐต่างๆ จึงได้จัด "งานสามัคคี 2013" ในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายนนี้ขึ้น เริ่มเวลา 9.00 น. - 18.00 น. โดยจะหารือเกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาวไทยที่นี่ อาทิ กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ลู่ทางการประกอบธุรกิจในสหรัฐฯ และการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและชุมชนไทย ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ จินตนา แวนโทร (240) 750-4100 หรือ อีเมล chintanabvann@gmail.com
ดร.วิชาวัฒน์ เผยอีกว่า สอท.จะทำกิจกรรมต่างๆ ดังที่เคยทำในอดีตอาทิ สอท. มีแผนที่จะจัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ศิลปะวัฒนธรรม อาหารและการท่องเที่ยวไทย ให้เป็นที่รู้จักแก่สารธารณชนสหรัฐฯ ทุกระดับอย่างกว้างขวาง เช่น การจัดงาน Thai Restaurant Week ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ Thai Embassy's Open House ประมาณช่วงเดือนพฤษภาคม Thai Village ช่วงเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม และ Thai Film Festival ร่วมกับ Freer Gallary สถาบัน Smithsonian ประมาณช่วงเดือนกันยายนของทุกปี จึงขอความร่วมมือสมาคม/ชุมชนไทย รวมถึงสื่อมวลชยไทยให้ความสนับสนุนด้านการเข้าร่วมและประชาสัมพันธ์งานด้านวัฒนธรรมต่างๆ ของสถานเอกอัครราชทูตฯ ด้วย
และในวันพุธที่ 4 ธันวาคมศกนี้ ระหว่างเวลา 18.30 น. - 20.00 น. จะจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สถานเอกอัครราชทูตฯ และขอเชิญพี่น้องชาวไทยร่วมถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในโอกาสนี้โดยพร้อมเพรียงกัน
ไทยจัดส่งยาราว 20 ล้าน-หมอช่วยปินส์-จีนถูกจวกช่วยน้อย ขณะที่ผบ.ตร.ท้องถิ่นที่ระบุผู้เสียชีวิต อาจถึงหมื่นศพ ถูกสั่งย้ายเข้ากรุงมะนิลา...
เมื่อ 15 พ.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยซุปเปอร์ไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน” ถล่มภาคกลางฟิลิปปินส์ตั้งแต่ 8 พ.ย.ว่า สำนักงานลดความเสี่ยงและจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ (เอ็นดีอาร์อาร์เอ็มซี) แถลงยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 3,621 คน เกินยอดที่ประธานาธิบดีเบนิกโน อาคิโนของฟิลิปปินส์ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อยู่ที่ 2,500 คน ผู้สูญหายมี 1,140 คน
แต่ยอดผู้เสียชีวิตยังคงสับสน เมื่อศาลากลางเมืองทาโคลบานขึ้นบอร์ดระบุยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 4,000 คน หรือมากกว่ายอด 2,000 คนที่เผยเมื่อ 1 วันก่อน และอีกหลายชั่วโมงต่อมา อัลเฟรด โรมวลเดซ นายกเทศมนตรีเมืองทาโคลบานได้แถลงขอโทษและว่า 4,000 คน เป็นยอดเสียชีวิตรวมทั่วภาคกลาง ส่วนหน่วยงานสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 4,460 คน แต่กำลังตรวจสอบให้แน่ชัดต่อไป
ส่วนเอลเมอร์ โซเรีย ผู้บัญชาการตำรวจท้องถิ่นที่ระบุคาดการณ์ผู้เสียชีวิตว่าอาจถึง 10,000 ศพ ที่ผู้นำอาคิโนระบุว่าพูดเกินจริงนั้น พบว่า ถูกสั่งย้ายเข้าสำนักงานตำรวจในกรุงมะนิลาแล้วเมื่อ 14 พ.ย. ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเพราะเผยยอดผู้เสียชีวิตโดยไม่ได้รับอนุญาต
ขณะที่ผู้ประสบภัยยังอยู่อย่างลำบาก ความช่วยเหลือมีทั้งได้รับน้อยและไปไม่ถึงมือ เพราะติดขัดเรื่องปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งการจัดส่ง ถนนหนทางใช้การไม่ได้ โดยนอกจากหน่วยกู้ภัยฟิลิปปินส์แล้ว นานาชาติกำลังเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยเช่นกันโดยมีสหรัฐฯเป็นหัวหอก เพราะมีอุปกรณ์และกำลังพลพร้อมกว่าประเทศอื่นๆ ส่วนอีกหลายชาติทยอยส่งทั้งเงิน ข้าวของและทีมกู้ภัยมาช่วยฟิลิปปินส์ด้วย
ด้านจีนที่มีข้อพิพาทพรมแดนทะเลจีนใต้กับฟิลิปปินส์ถูกวิจารณ์ว่าส่งความช่วยเหลือน้อยเกิน โดยครั้งแรกให้เงินช่วยฟิลิปปินส์แค่ 100,000 ดอลลาร์เมื่อถูกวิจารณ์จึงประกาศส่งของช่วยเหลือเพิ่มอีกรวมมูลค่า 1.64 ล้านดอลลาร์ แต่ก็เทียบไม่ได้กับสหรัฐฯที่ให้เงิน 20 ล้านดอลลาร์และช่วยเหลือด้านอื่นๆ และญี่ปุ่นให้ 30 ล้านดอลลาร์ เป็นต้น หรือแม้แต่อีเกีย บริษัทเฟอร์นิเจอร์ของสวีเดนและบริษัทโคคา-โคลายังช่วยเหลือเป็นมูลค่ามากกว่า แม้แต่สื่อจีนยังสนับสนุนให้ส่งเรือรบเข้าไปช่วยเหลือฟิลิปปินส์ เพื่อสู้กับอิทธิพลสหรัฐฯและญี่ปุ่น แม้ถ้าถูกปฏิเสธ จีนก็ไม่มีอะไรเสีย แต่เป็นการแสดงออกถึงความใจแคบของฟิลิปปินส์เอง
ในส่วนของไทย นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ในวันที่ 18 พ.ย. รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดส่งยารักษาโรคต่างๆ เช่น ยาปฏิชีวนะและอื่นๆ มูลค่าราว 20 ล้านบาท ไปให้ฟิลิปปินส์ และ สธ.ยังเตรียมทีมแพทย์ไว้ราว 40 คน เพื่อไปช่วยเหลือด้วย.
เทศกาลชอปปิงมาราทอนหลังวันขอบคุณพระเจ้าที่ตรงกับในวันพฤหัสบดี 28 พฤศจิกายนปีนี้ของชาวอเมริกันที่เรียกว่า “Black Friday” ที่ถือว่า เป็นจุดเริ่มต้นเทศกาลเลือกซื้อของขวัญวันคริสมาส ที่คนอเมริกันหลายล้านคนแห่กันไปรอคิวเพื่อจะได้ของราคาถูกนั้นดูหมือนจะมีความสำคัญน้อยลงไปทุกปี
ตามปฎิบัติแล้วเทศกาล “Black Friday” หรือลดราคาสินค้าถล่มทลายนั้นจะจัดขึ้นในวันถัดไปจากเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าในวันพฤหัสบดีซึ่งถือว่าเป็นวันครอบครัวของชาวอเมริกัน “ดูเหมือนว่าลูกค้าชาวอเมริกันนั้นเริ่มชอปเร็วขึ้น” เชลลี ยูการ์ เจ้าของห้างมอลแห่งหนึ่งในเมืองโรบินสัน รัฐเพนซิลเวอร์เนีย เผย “ดิฉันจำได้ว่าในปีที่ผ่านมา ในตลอดสัปดาห์ของวันขอบคุณพระเจ้านั้น ลูกค้านั้นแห่เข้าซื้อของขวัญวันคริสมาสตลอดสัปดาห์วันขอบคุณพระเจ้าในวันจันทร์ วันอังคาร และวันพุธ” ยูการ์เผย
โดยปีนี้มีเพียง 26 วันที่จะได้ชอปปิงสำหรับคริสมาสเท่านั้นเพราะวันขอบคุณพระเจ้าที่ตรงกับในวันพฤหัสบดี 28 พฤศจิกายน ในปีนี้ โดย Elaine Luther ศาสตราจารย์ทางด้านบริหารธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยพอยท์พาร์ค เผยว่า “มันมีความสำคัญที่เปลี่ยนไปตั้งแต่มีระยะเวลาที่สั้นลงจำนวน 6 วันหลังจากเสร็จจากการซื้อไก่งวง(เป็นประเพณีที่ต้องทำอาหารประเภทไก่งวงเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ และเป็นความนิยมที่จะต้องปรุงเองในครอบครัว และห้างร้านจะปิดเร็วกว่าปกติในวันก่อนจะถึงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า ) ซึ่งห้างร้านนั้นกลัวว่าจะขายได้น้อยลง และนั่นหมายถึงยอดขายที่ลดลงไป 10% ซึ่งนั่นสำคัญมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่บรรดาธุรกิจต้องขบคิดว่าต้องทำอย่างไร”
และเป็นเหตุผลทำไมว่าในปีนี้ ห้างใหญ่ๆในสหรัฐฯจึงเปิดการขายขึ้นในวันพฤหัสบดีซึ่งเป็นวันขอบคุณพระเจ้าแทน และเริ่มเรียกว่า “Brown Thursday” เช่น ทางห้างวอลมาร์ตจึงประกาศปรัลลดราคาทีวีจอแบน คอมพิวเตอร์แทบเล็ต และสินค้าต่างๆอีกกว่า 300 รายการทางออนไลน์ ลงอีกถึง1 ใน 3 จนถึงครึ่งนึงของราคาขายปกติหลายสัปดาห์ก่อนหน้าวัน Black Friday ซึ่งเป้าหมายเพื่อให้กลุ่มลูกค้าชาวอเมริกันนั้นจับจ่ายก่อนหน้าที่จะถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน และนอกจากนี้ ทางห้างเคมาร์ตได้ประกาศที่จะเปิดให้ลูกค้าชาวอเมริกันได้ชอปมาราทอนเริ่มตั้งแต่หลังจากทานอาหารวันขอบคุณพระเจ้าเสร็จ โดยเริ่มเปิดประตูให้ชอปได้ตั้งแต่เวลา 18.00น.ในวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน จนกระทั่งถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน ในเวลา 23.00 น. ซึ่งเป็นเวลายาวนานกว่า 41 ชม. ในการเลือกซื้อสินค้าลดราคาอย่างจุใจ
แต่ทว่ามีชาวอเมริกันหลายรายไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องรีบร้อน เพราะที่ผ่านมามีเหตุการณ์อุบัติเหตุมากมายในเทศกาลชอปปิงนี้ ยังไม่รวมถึงที่ต้องเบียดเสียดยัดเยียดผู้คนจำนวนมาก รวมถึงการต้องต่อแถวยืนรอเป็นเวลาหลายชั่วโมงกว่าจะได้เข้าไปเลือกซื้อ และยังไม่รวมต้องปวดหัวกับการยืนรอต่อคิวชำระค่าสินค้าอีกด้วย เพราะในปัจุบันการเลือกซื้อทางออนไลน์เป็นอีกทางเลือกที่ชาวอเมริกันนิยมใช้มากกว่าจะต้องเดินทางไปที่ร้านด้วยตนเอง ซึ่งแต่ละร้านนั้นอยู่ห่างไกลและต้องเสียทั้งเวลา รวมไปถึงค่าน้ำมัน และอื่นๆอีกโดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ โดยชาวอเมริกันส่วนใหญ่มีแผนจะใช้เงินน้อยลงในการชอปปิงวันBlack Friday “เราจับจ่ายตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้น“Black Friday”จึงถือว่าไม่สำคัญสักเท่าไร” โฮลี คริสเนอร์เผย โดยในสุดสัปดาห์วันBlack Fridayในปี 2012 สามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ 59 พันล้านดอลลาร์