ข่าว
อเมริกาเปิดพรมแดนรับต่างชาติฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 8 พ.ย. นี้

15 ตุลาคม พ.ศ. 2564: ทำเนียบขาวประกาศว่า สหรัฐอเมริกาจะเริ่มอนุญาตให้นักเดินทางชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว เดินทางเข้าประเทศได้ทั้งทางบกและทางอากาศตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน เป็นต้นไป

เอเอฟพีรายงานว่า สหรัฐฯ ปิดพรมแดนเพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนามาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 โดยงดรับนักเดินทางจากหลายประเทศ อาทิ ประเทศในสหภาพยุโรป, อังกฤษ, จีน, อินเดีย และบราซิล ทั้งยังห้ามการเดินทางข้ามแดนทางบกจากเม็กซิโกและแคนาดาด้วย

คำประกาศของเควิน มูนอซ โฆษกทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม กล่าวว่า รัฐบาลตัดสินใจผ่อนคลายข้อจำกัดนี้โดยเป็นไปตามคำแนะนำด้านสาธารณสุข, ความเข้มงวด และความสม่ำเสมอ โดยกำหนดเปิดรับบนักเดินทางชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบแล้วจะมีผลทั้งกับการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศ และการเดินทางทางบก ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564

ทำเนียบขาวยังไม่เผยรายละเอียดทางเทคนิคและทางลอจิสติกส์ทั้งหมดตามนโยบายใหม่นี้ แต่เจ้าหน้าที่เคยกล่าวกันไว้ก่อนหน้านี้ว่า ผู้โดยสารทางอากาศที่ฉีดวัคซีนแล้วจะต้องทดสอบการติดเชื้อภายใน 3 วันก่อนออกเดินทาง และสายการบินต้องมีระบบติดตามการสัมผัสโรค

หน่วยงานด้านสุขภาพของสหรัฐฯ กล่าวว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนทุกชนิดที่ผ่านการอนุมัติของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (ซีดีซี) และองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) จะได้รับการยอมรับให้เดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ทางอากาศ

วัคซีนโควิด-19 ที่ผ่านการอนุมัติของซีดีซีและดับเบิลยูเอชโอถึงขณะนี้ได้แก่ วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า, จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน, โมเดอร์นา, ไฟเซอร์-ไบออนเทค, ซิโนฟาร์ม และซิโนแวค

ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แหล่งข่าวในทำเนียบขาวเคยเปิดเผยว่า การเปิดพรมแดนทางบกของสหรัฐฯ จะแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกบังคับให้ต้องฉีดวัคซีนสำหรับการเดินทางที่ไม่จำเป็น เช่น การเยี่ยมครอบครัวและการท่องเที่ยว แต่นักเดินทางที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนสามารถเข้าได้หากเป็นการเดินทางที่จำเป็น ส่วนระยะที่สองจะเริ่มต้นเดือนมกราคม 2565 บังคับให้นักเดินทางข้ามแดนทางบกทุกคนต้องฉีดวัคซีน ไม่ว่ามาด้วยเหตุผลใดก็ตาม

อย.สหรัฐฯ หนุนฉีดโมเดอร์นาเป็นวัคซีนกระตุ้นให้ผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง

15 ต.ค. 2564 : เอฟดีเอ ลงมติเป็นเอกฉันท์สนับสนุนฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเข็มที่สามให้ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปรวมถึงกลุ่มเสี่ยง แม้ข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเข็มที่สามนั้นยังไม่ครอบคลุมมากพอ

เว็บไซต์ แชนแนลนิวส์เอเชียรายงานว่า องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ เอฟดีเอ แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากบริษัทโมเดอร์นา เป็นวัคซีนกระตุ้นให้แก่ชาวอเมริกันที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีอาการป่วยรุนแรง และผู้ทำงานที่มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส

โดยคณะกรรมการที่ปรึกษาวัคซีนและผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่เกี่ยวข้องของเอฟดีเอ ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ 19 ต่อ 0 เพื่อสนับสนุนให้มีการใช้วัคซีนโมเดอร์นา เป็นวัคซีนกระตุ้น ขณะที่ข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ยังคงไม่ครอบคลุมมากพอ เนื่องจากแต่ละบุคคลนั้นมีปริมาณแอนติบอดีไม่เท่ากัน แม้ว่าเอกสารของ เอฟดีเอ จะชี้ว่า การฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเข็มที่สามนั้นสามารถเพิ่มปริมาณแอนติบอดี้ที่ช่วยป้องกันโรคได้ก็ตาม

ด้านโมเดอร์นาได้ยื่นขออนุมัติฉีดเข็มที่ 3 ในขนาด 50 ไมโครกรัม ต่างจากวัคซีนไฟเซอร์ที่ใช้ 30 ไมโครกรัม ซึ่งวัคซีนโมเดอร์นาเข็มที่สามนั้นจะฉีดหลังจากได้รับวัคซีนครบสองเข็มเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน

ทั้งนี้ หน่วยงานสาธารณสุข ได้รับแรงกดดันให้อนุมัติการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หลังจากที่ทำเนียบขาวประกาศเมื่อเดือนสิงหาคมว่า เตรียมเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนกระตุ้น ซึ่งอยู่ระหว่างการรออนุมัติจาก เอฟดีเอ และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ

ที่มา: CNA

สุดเหี้ยม ระเบิดถล่มมัสยิดในอัฟกานิสถาน ตายเจ็บเกลื่อนกว่า 30 ศพ

เมื่อ 15 ต.ค. 64 สำนักข่าวบีบีซี รายงานเกิดเหตุระเบิดสะเทือนขวัญ โจมตีมัสยิดนิกายชีอะห์ บีบี ฟาติมา ในเมืองกันดาฮาร์ ทางภาคใต้ของอัฟกานิสถาน ในวันนี้ ซึ่งมีชาวมุสลิมจำนวนมากพากันมาประกอบพิธีละหมาดในวันศุกร์ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตสลดกว่า 30 ศพ และบาดเจ็บอย่างน้อย 90 คน ขณะที่มัสยิดได้รับความเสียหายอย่างหนัก กระจกหน้าต่างแตกกระจาย

พยานที่เห็นเหตุการณ์หลายคนเปิดเผยกับสื่อท้องถิ่นในอัฟกานิสถานว่า มีคนร้าย 3 คนได้จุดชนวนระเบิดที่บริเวณประตูใหญ่ทางเข้ามัสยิด และภายในมัสยิดบีบี ฟาติมา ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากมาประกอบพิธีละหมาดในวันศุกร์ โดยเหตุระเบิดสะเทือนขวัญ ทำให้มีผู้คนบาดเจ็บเกือบ 100 ทำให้ต้องใช้รถพยาบาลนับ 15 คัน เร่งลำเลียงผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน

ด้านรัฐบาลตาลีบันซึ่งปกครองอัฟกานิสถาน ได้ส่งทหารชุดปฏิบัติการพิเศษมาคุ้มกันมัสยิด หลังเกิดเหตุระเบิดสะเทือนขวัญ และขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มติดอาวุธกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ โดยเมืองกันดาฮาร์ เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ในอัฟกานิสถาน และถือเป็นเมืองที่เป็นต้นกำเนิดจิตวิญญาณของกลุ่มตาลีบัน จึงทำให้ตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มไอซิส-เค ซึ่งคาดว่าอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุรุนแรงในเมืองกันดาฮาร์


5 ชาติอาเซียนกร้าวใส่เมียนมา ไม่เชิญ “มินอ่องลาย” ร่วมถกสุดยอด

สำนักข่าวรอยเตอร์ : รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม รัฐมนตรีต่างประเทศจาก สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จัดประชุมทางไกลเพื่อหารือถึงกรณีที่ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง ลาย หัวหน้าคณะรัฐประหารเมียนมา ยืนกรานปฏิเสธไม่ให้ นายเอรีวัน ยูโซฟ รัฐมนตรีต่างประเทศบรูไนคนที่ 2 ในฐานะ ทูตพิเศษของอาเซียน เข้าพบหารือกับนาง ออง ซาน ซู จี แกนนำคนสำคัญของรัฐบาลที่ถูกรัฐประหาร เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยอ้างว่า นางซู จี เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาสำคัญหลายคดี

การปฏิเสธดังกล่าว ขัดแย้งกับมติของอาเซียนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งมีตัวแทนของเมียนมาร่วมอยู่ในการลงมติด้วย ทั้งนี้ภายใต้ความตกลง 5 ข้อจากที่ประชุมอาเซียนดังกล่าว นอกเหนือจากการให้ยุติความรุนแรงในทันทีแล้ว ยังมีข้อตกลงให้ผู้แทนพิเศษของอาเซียนเข้าพบหารือกับทุกฝ่ายเพื่อส่งเสริมให้เกิดกระบวนการสานสนทนาขึ้น, รวมทั้งต้องอนุญาตให้มีการเข้าถึงความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมและการยุติการเป็นปฏิปักษ์ซึ่งกันและกันอีกด้วย

การหารือทางไกลครั้งนี้มีขึ้นโดยไม่มีกำหนดการล่วงหน้า หลังจากสมาชิกหลายชาติแสดงท่าทีเห็นพ้องกับการไม่เชิญ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง ลาย เข้าร่วมในการประชุมสุดยอดประจำปีของอาเซียน ซึ่งกำหนดจะมีขึ้นในรูปแบบเสมือนจริงในระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ ตามความเห็นของบรูไน ซึ่งเป็นเจ้าภาพหมุนเวียนของอาเซียนในปีนี้ เพื่อแสดงความไม่พอใจที่แผน 5 ประการของอาเซียนไม่มีผลคืบหน้าใดๆ นับแต่ชาติสมาชิกมีมติเห็นชอบเป็นต้นมา

ก่อนหน้านี้มีรายงานของอัลจาซีรา ระบุว่า บรูไน ในฐานะประธานอาเซียน ถึงกับทำหนังสือแจ้งต่อ นายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้เลื่อนการประชุมยูเอ็น-อาเซียน ซึ่งเป็นการประชุมทางไกลเสมือนจริงที่กำหนดขึ้นในวันที่ 8 ตุลาคม ออกไปก่อน เนื่องจากในที่ประชุมมี นายวันนา หม่อง ลวิน รัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลทหารเมียนมารวมอยู่ด้วย ทำให้เกรงกันว่า จะกลายเป็นการให้การยอมรับรัฐบาลทหารเมียนมาโดยพฤตินัยไป

ในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศของ มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ต่างแสดงออกชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง ลาย เข้าร่วมอยู่ในการประชุมสุดยอดที่จะมีขึ้นในปลายเดือนนี้ และต้องการใช้การประชุมครั้งนี้ ผลักดันให้ชาติสมาชิกอื่นๆ ที่เหลือเห็นพ้องเพื่อให้เป็นมติของอาเซียนอย่างเป็นทางการ

นาย ทีโอโดโร ล็อคซิน รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์ ให้ความเห็นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม เห็นด้วยกับการกันผู้นำเมียนมาออกจากการประชุมสุดยอด โดยชี้ว่าจะทำให้ความน่าเชื่อถือของอาเซียนหายไปในทันทีหากยังคงยอมรับให้ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาเข้าประชุม อาเซียนจะกลายเป็นกลุ่มประเทศที่คำพูดแต่ละคำไร้ความหมาย ไร้คุณค่า ไม่มีใครในโลกยึดถือไปในที่สุด

ในขณะที่นายไซฟุดดิน อับดุลเลาะห์ รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ก็ยืนยันในการให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ต้องการให้ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ถ้าหากแผนสันติภาพ 5 ประการของอาเซียนยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ


จีนเตรียมส่ง ‘เสินโจว-13’ พร้อมนักบินอวกาศ เดินหน้าสร้างสถานีอวกาศ 6 เดือน

15 ตุลาคม 2564 สำนักข่าวซินหัวรายงาน องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน (CMSA) เปิดเผยว่าจะส่งยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมเสินโจว-13 (Shenzhou-13) ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ จากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ในเวลา 00.23 น. ของวันเสาร์ (16 ต.ค.) ตามเวลาปักกิ่ง

หลินซีเฉียง รองผู้อำนวยการองค์การฯ แถลงข่าวที่ศูนย์ปล่อยดาวเทียมฯ ว่ายานลำดังกล่าวพร้อมนักบินอวกาศ 3 คน ได้แก่ ไจ๋จื้อกัง หวังย่าผิง และเย่กวงฟู่ จะเดินทางสู่อวกาศเพื่อการก่อสร้างสถานีอวกาศของจีน โดยมีไจ๋เป็นผู้บัญชาการ และนักบินอวกาศทั้ง 3 คน จะอาศัยอยู่ในอวกาศเป็นเวลาประมาณ 6 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมาของนักบินอวกาศจีน

หลินเปิดเผยว่า ไจ๋เป็นนักบินอวกาศจีนคนแรกที่เดินสำรวจอวกาศในภารกิจเสินโจว-7 เมื่อปี 2008 ส่วนหวัง ผู้ร่วมปฏิบัติภารกิจเสินโจว-10 เมื่อปี 2013 จะเป็นนักบินอวกาศหญิงของจีนคนแรกที่ได้เยือนสถานีอวกาศจีนและปฏิบัติกิจกรรมนอกยานอวกาศ ขณะที่เย่เป็นนักบินอวกาศหน้าใหม่ที่จะได้ขึ้นสู่ห้วงอวกาศเป็นครั้งแรก

หลินระบุว่า หลังเข้าสู่วงโคจร ยานอวกาศเสินโจว-13 จะทำการนัดพบแบบอัตโนมัติอย่างรวดเร็วและเชื่อมต่อกับท่าเทียบในแนวรัศมีของโมดูลเทียนเหอหรือโมดูลหลักของสถานีอวกาศจีน ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมต่อกันระหว่างโมดูลหลัก ยานบรรทุกสัมภาระเทียนโจว-2 (Tianzhou-2) และยานบรรทุกสัมภาระเทียนโจว-3 (Tianzhou-3) โดยทีมนักบินอวกาศจะประจำการอยู่ในโมดูลหลักเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อปฏิบัติงานและใช้ชีวิตตามตารางเวลาที่เหมือนกันกับบนโลก

อนึ่ง จรวดขนส่งลองมาร์ช-2เอฟ (Longmarch-2F) ซึ่งเติมเชื้อเพลิงจนเต็มแล้ว จะทำหน้าที่ขนส่งยานเสินโจว-13 ขึ้นสู่อวกาศ

อังกฤษช็อก มือมีดกระหน่ำแทง ส.ส.พรรครัฐบาลเสียชีวิต

15 ตุลาคม พ.ศ. 2564 : เซอร์เดวิด เอเมสส์ ส.ส.พรรครัฐบาลนายกฯ บอริส จอห์นสัน โดนชายคนหนึ่ง กระหน่ำแทงหลายครั้งระหว่างการพบปะประชาชนในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษเมื่อช่วงเที่ยงวันศุกร์ ตำรวจจับผู้ต้องสงสัยไว้ได้ ส่วนเอเมสส์เสียชีวิตในเวลาต่อมา

เอเอฟพีรายงานอ้างข่าวจากสกายนิวส์ และบีบีซี ที่เป็นสื่ออังกฤษว่า ตำรวจอังกฤษไม่ได้ระบุชื่อเหยื่อที่โดนแทง แต่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุการแทงกันในเวลาราว 12.05 น.เศษ ของวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคมตามเวลาท้องถิ่น (18.05 น.วันเดียวกันของไทย) มีชายคนหนึ่งโดนจับกุมหลังจากนั้น และตำรวจไม่ได้ติดตามหาบุคคลอื่นเพิ่มเติม

สกายนิวส์ และบีบีซีระบุว่า เหยื่อที่โดนแทงคือ เซอร์เดวิด เอเมสส์ ส.ส.พรรคอนุรักษนิยมวัย 69 ปี ขณะนั้นเขากำลังจัดงานพบปะประจำสัปดาห์กับประชาชนในเขตเลือกตั้งของเขา ที่โบสถ์เบลแฟร์สเมโทดิสต์ในเมืองลีห์-ออน-ซี ต่อมาสื่ออังกฤษรายงานอ้างคำแถลงของตำรวจว่าเขาเสียชีวิตแล้ว

จอห์น แลมบ์ สมาชิกสภาท้องถิ่นและอดีตนายกเทศมนตรีเซาท์เอนด์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย กล่าวกับหนังสือพิมพ์เซาท์เอนด์เอคโคว่า เท่าที่ทราบคือเอเมสส์โดนแทงหลายครั้ง เขายังอยู่ที่โบสถ์ ตำรวจไม่อนุญาตให้เข้าไปดูเขา แต่สภาพดูร้ายแรงมาก

อดีตนายกฯ เดวิด คาเมรอน จากพรรคอนุรักษนิยม กล่าวว่า ข่าวนี้น่าตกใจและน่ากังวลมาก ส่วนเคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำพรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายค้าน กล่าวว่าเป็นข่าวที่น่ากลัวและน่าช็อกอย่างยิ่ง

ที่ผ่านมามี ส.ส.อังกฤษโดนทำร้ายร่างกายระหว่างการพบปะกับประชาชนแบบนี้แล้วหลายราย รวมถึง โจ ค็อกซ์ ส.ส.หญิงจากพรรคแรงงานที่โดนแทงเสียชีวิตเมื่อปี 2559 ช่วงก่อนการลงประชามติเบร็กซิต

ส.ส.สตีเฟน ทิมส์ จากพรรคแรงงานเช่นกัน โดนแทงหลายแผลระหว่างร่วมงานหนึ่งเมื่อปี 2553 เขาบาดเจ็บสาหัสแต่รอดชีวิตและยังคงทำหน้าที่ ส.ส.ได้ ทิมส์กล่าวว่าเขาตกใจกับเหตุการณ์ครั้งล่าสุดนี้

เมื่อเดือนมกราคม 2543 ชายคนหนึ่งใช้กระบี่ทำร้าย ส.ส.ไนเจล โจนส์ จากพรรคเสรีประชาธิปไตย ได้รับบาดเจ็บ และสังหารผู้ช่วยของเขา ที่เขตเลือกตั้งในเมืองเชลต์นัมทางตะวันตกของอังกฤษ