วันที่ 5 พ.ค. ร.ท หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การประชุมสภาที่ผ่านมา จากการที่นาย บุญยอด สุขถิ่นไทย แสดงสัญญลักษณ์ของนาซี คือ การแสดงท่าเคารพของทหารนาซีต่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และได้เปล่งวาจา ไฮล์ ฮิตเลอร์ ต่อหน้าบัลลังก์ของประธานรัฐสภา ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการทำร้ายจิตใจและกระทบความรู้สึกของมิตรประเทศชาวต่างชาติ ที่มีประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะชาวยุโรป ชาวอเมริกัน และ มีชาวยิวไม่ต่ำกว่า 6 ล้านคน เสียชีวิตจากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือ The Holocaust ดังนั้น พฤติกรรมของ นายบุญยอด จึงอาจเป็นการตอกย้ำและรื้อฟื้นความทรงจำที่เจ็บปวดของญาติพี่น้องของเหยื่ิอผู้เคราะห์ร้ายจากระบอบนาซีฮิตเลอร์อย่างไม่น่าให้อภัย
“นายบุญยอดคงไม่ทราบว่าการทำท่าแสดงความเคารพฮิตเล่อร์ ซึ่งฝรั่งเรียกว่า"ซาลุท ฮิตเลอร์ และการเปล่งถ้อยคำ ไฮล์ ฮิตเลอร์ เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศต้นกำเนิดของระบอบนาซี คือ ประเทศเยอรมนี โดยเมื่อสองปีก่อน หนังสือพิมพ์ เดอะโลคอล (the local) ระบุว่าศาลสูงสุดของเยอรมนี ได้พิพากษาจำคุกชายชาวเยอรมันผู้หนึ่งเป็นเวลา 2 เดือน เนื่องจากแสดงท่าเคารพฮิตเล่อร์ ทักทายคนที่เดินผ่านไปมาตามท้องถนน” ร.ท.หญิงสุณินากล่าว และว่าโดยศาลเห็นว่า แม้ชายผู้นั้นจะไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง แต่การทำท่าซาลุท ฮิตเลอร์ เป็นสัญลักษณ์ของความเลวร้าย ที่ต้องขจัดให้หมดไปจากประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้มีองค์การทางสังคมและการเมือง 2 แห่ง พยายามเรียกร้องให้การแสดงท่าเคารพฮิตเลอร์และสัญญลักษณ์อื่นของนาซี เป็นสิ่งผิดกฏหมายในสวิสเซอร์แลนด์
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยว่า ที่น่าสนใจ คือ องค์ประกอบของสัญญลักษณ์นาซีที่ ผิดกฎหมาย มี 3 อย่าง 1. การแสดงท่าทางทำความเคารพฮิตเล่อร์ แบบที่ นายบุญยอด ทำในสภา 2. การใช้เครื่องหมาย สวัสติกะ เป็นสัญญลักษณ์ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ และ 3.การเปล่งวาจา ไฮล์ ฮิตเล่อร์ แบบที่ นายบุญยอด กระทำต่อประธานรัฐสภา ซึ่งเคยเกิดปัญหาในไทยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง เมื่อปี 2550 และ 2554 นอกจากนี้ นายบุญยอด คงไม่ทราบอีกด้วยว่า หลังจากที่เจ้าชาย แฮรี่ แห่งอังกฤษ ทรงสวมเสื้อผ้าที่ติดเครื่องหมายนาซี ไปร่วมงานเลี้ยงส่วนพระองค์กับพระสหายในมหาวิทยาลัย หลังจากนั้น เจ้าชายแฮรี่ ยังต้องทรงออกแถลงการณ์ขอโทษประชาชนชาวอังกฤษทั่วประเทศผ่านทางสถานีโทรทัศน์บีบีซี เพราะเป็นสิ่งที่กระทบจิตใจญาติผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง
“พฤติกรรมของนายบุญยอดสะท้อนให้เห็นว่าการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โลกของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ จนกระทั่งแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ได้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภาไทยในสายตาชาวโลก และเหตุการณ์อันน่าอัปยศดังกล่าว ก็เกิดขึ้นในระหว่างที่รัฐสภาไทยกำลังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐสภาโลก หรือ AIPA Caucus ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งส่งผลกระทบต่อความพยายามของรัฐสภาไทยที่ต้องการยกระดับการเมืองไทยให้ได้มาตรฐานทัดเทียมกับอารยประเทศซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถยอมรับได้และขอเรียกร้องให้นาย บุญยอด สุขถิ่นไทย แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก”ร.ท.หญิงสุณินา กล่าว
ศาลฎีกานักการเมืองฯ สั่ง "สมศักดิ์" เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ชี้เหตุจงใจปกปิดทรัพย์สินและหนี้สินฯ นับแต่ 2 ธ.ค.2551 พร้อมจำคุก 6 ปี ปรับ 1 หมื่น ด้าน“ปปช.” หอบสำนวนฟ้อง “ศุภชัย โพธิ์สุ” ผิด 157 นัดฟังคำสั่ง 1 มิ.ย.นี้
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวงศาลฎีกา เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 4 พ.ค. นายมานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีพาณิชย์ในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดี หมายเลขดำที่ อม.4/2554 พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ออกนั่งบังลังก์อ่านคำพิพากษาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ผู้ร้อง ยื่นคำร้องกล่าวหา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา อดีตรมว.เกษตรและสหกรณ์ ผู้คัดค้าน จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ กรณีที่ผู้คัดค้านที่ดำรงตำแหนง ส.ส.,รมช.ศึกษาธิการ, รมว.ศึกษาธิการ,รมว.เกษตรและสหกรณ์ รวม 8 ครั้ง ซึ่งมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.2540 ก่อนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 11 ต.ค.2540 จนถึงปัจจุบันรวม 21 บัญชี
โดยผู้ร้องตรวจสอบพบว่ามีเงินของผู้คัดค้านจำนวน 28 ล้านบาทกระจายตามบัญชีต่างๆดังกล่าว แต่ผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นต่อ ปปช. ผู้ร้อง รวมทั้งยังมี ที่มีชื่อผู้อื่นถือกรรมสิทธิ์ แต่จากหลักฐานทางการไต่สวนพบว่าบ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้คัดค้าน การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ม.263 และขอให้ศาลฎีกาฯลงโทษตาม พรบ.ว่าการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 ม.119 และมีคำสั่งห้ามผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลฎีกาฯมีคำสั่ง
โดยนายสมศักดิ์เดินทางมาพร้อมทีมทนายความเพื่อฟังคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ยังไม่ขาดอายุความผู้ร้องมีอำนาจฟ้อง ขณะที่ข้อเท็จจริงปรากฏตามทางไต่สวนและการตรวจเส้นทางทางการเงินพบว่า บัญชีเงินฝากธนาคารที่ผู้คัดค้านระบุว่า เป็นเงินที่ได้จากการทำธุรกิจประกอบขายข้าวของโรงสีข้าวหจก.วิเศษชัยชาญเจริญกิจ ของครอบครัวนางระวิวรรณ ภรรยาผู้คัดค้าน โดยภรรยาไม่มีอำนาจเบิกถอนเงิน เพียงแต่พี่ชาย 2 คน ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงสีมอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้เปิดบัญชีเท่านั้น แต่จากเส้นทางการเมืองพบว่านางระวิวรรณ ภรรยาผู้คัดค้าน ได้เบิกเงินไปซื้อหุ้นของธนาคารกสิกรไทยกว่า 14 ล้านบาท
ส่วนที่อ้างว่าเงินบางบัญชีได้จากการชำระหนี้นอกระบบก็ใม่ปรากฏหลักฐานและไม่มีพยานบุคคลมาเบิกความยืนยัน จึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเมื่อปี 2539 ได้รับเงิน 20 ล้านบาท มาจากการสนับสนุนของพรรคชาติไทย เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยได้นำเข้าบัญชีเงินฝากของโรงสีเพื่อช่วยในการประกอบธุรกิจนั้น กลับปรากฏว่าการเปิดบัญชีเป็นประเภทฝากประจำ 3 เดือน ซึ่งผิดวิสัยของการเปิดบัญชีในการทำธุรกิจที่ใช้ประเภทสะสมทรัพย์หรือเผื่อเรียก เพื่อเบิกถอนนำไปใช้ได้ทันที แต่ปรากฏว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝาก 3 เดือนก็ได้มีการถอนเงินรวมทั้งดอกเบี้ยไปใช้ และก่อนที่จะมีการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเพียง 9 วัน ได้มีการถอนชื่อนางระวิวรรณที่มีชื่อรวมในบัญชีเดียวกับพี่ชาย
ส่วนบ้านพักเลขที่ 5/5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง พร้อมที่ดินมูลค่า 15 ล้าน ที่พี่ชายของนางระวิวรรณ เบิกความอ้างว่าใช้เงินของโรงสีใช้ซื้อและสร้างบ้าน เมื่อตรวจสอบการเบิกถอนเงินในบัญชีไม่พบว่าเงินที่ใช้จ่ายในการสร้างบ้านไม่ใช่เงินจากการขายข้าวของโรงสี แต่เป็นเงินของผู้คัดค้านและนางระวิวรรณนำไปใส่ในบัญชีที่หมุนเวียนในโรงสีตามที่ได้วินิจฉัยมา อีกทั้งในการยื่นคำร้องปลูกสร้างบ้านครั้งแรก ผู้คัดค้านใช้ให้พี่ชายของภรรยาไปยื่นขอจากเทศบาลเพื่อก่อสร้างโดยใช้ชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้ขอ ต่อมาเมื่อสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นพี่ชายของภรรยาเป็นผู้ขอ และเมื่อมีการก่อสร้างเสร็จปรากฎว่าผู้คัดค้านและภรรยาได้ใช้ประโยชน์ของตันเอง ขณะที่พี่น้องคนอื่นของภรรยาได้แยกย้ายไปอยู่ที่อื่น
องค์คณะจึงมีมติเอกฉันท์ เห็นว่า ผู้คัดค้านจงใจปกปิดข้อเท็จจริงต่อการยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) พิพากษาห้ามนายสมศักดิ์ ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2551 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคชาติไทย มีผลให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคและส.ส.พ้นจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง และให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาทตามพรบ.ว่าด้วยปปช. พ.ศ. 2542 มาตรา 119 แต่ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี นับตั้งแต่วันฟังคำพิพากษา
ภายหลัง นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า น้อมรับคำพิพากษาเป็นนักการเมืองก็ต้องยอมรับกติกา ส่วนที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี จะพ้นกำหนดในวันที่ 2 ธ.ค.2556 นั้นตนจะกลับมาทำงานทางการเมืองต่อ โดยจากนี้จะกลับไปทำการชี้แจงกับประชาชน เนื่องจากในชั้นปปช.ได้ชี้แจงน้อยไป เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นการทุจริตคอรัปชั่น แต่เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนในการยื่นรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินฯ ซึ่งนายบรรหาร ศิลปะอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยก็เข้าใจเรื่องนี้
นายสมศักดิ์ ยังยืนยันว่า เงิน 20 ล้านที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาติไทย เพื่อใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ในอดีตมีการใช้เงิน 30-40 ล้านบาท เพื่อทุ่มซื้อตัวผู้สมัครให้ได้เก้าอี้ส.ส. 1 ที่นั่ง โดยเหตุการณ์ลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญปี 40 ที่กฎหมายกกต.จะบังคับใช้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายในวันเดียวกันนี้ ปปช. ได้นำสำนวนสอบสวนและความเห็นชี้มูลความผิดนายศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์
กระทำผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานกระทำการฝ่าฝืน พรบ.การเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัคร และมาตรา 137 กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้ตัวเอง หรือพรรคการเมืองใด ด้วยวิธีการการจัดทำ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด มายื่นฟ้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีกระทำการโน้มน้าวให้ประชาชนที่มาเข้าร่วมพิธีเปิด การฝึกอบรมของกรมพัฒนาที่ดิน ที่โรงแรมริมปาว จ.กาฬสินธุ์ ลงคะแนนเลือกผู้สมัครสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งศาลรับคำร้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อม.1 / 2555 และนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่วันที่ 1 มิ.ย.55 โดยหลังจากนี้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะคัดเลือกผู้พิพากษาตั้งแต่ระดับผู้พิพากษาศาลฎีกาขึ้นไปจำนวน 9 คนมาเป็นองค์คณะต่อไป
ขณะเดียวกันนายสมาน ภุมมะกาญจนะ อดีตรมช.อุตสาหกรรม ส.ส.ปราจีนบุรี หลายสมัย ได้เสียชีวิตลงแล้ววัย 76 ปี ด้วยโรคหัวใจ
'เพื่อไทย'ปัด 'พจมาน' สั่งตั้งวอร์รูมช่วย 'ยิ่งลักษณ์'ในศึกซักฟอก วอน'ปชป.'ทบทวนตั้งเวทีการเมืองนอกสภาค้านแก้'รธน.'พร้อมแจงปรับ'ครม.'แค่ข่าวลือ รับของแพงจริงแต่ยังไม่ถึงขั้น รบ.ทำงานล้มเหลว
4 พ.ค.55 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งให้มีการตั้งวอร์รูมเพื่อเตรียมรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านที่จะพุ่งเป้ามาที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่พรรคเพื่อไทยก็มีความพร้อมอยู่แล้วหากพรรคฝ่ายค้านใช้ช่องทางสภาฯ ในการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าพรรคพร้อมที่จะชี้แจงความจริงกับประชาชน ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมากล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลัวมากที่สุดก็คือการอภิปรายนั้น นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง นักการเมืองทุกคนที่อาสามารับใช้ประชาชนนั้น พร้อมที่จะรับการตรวจสอบจากประชาชนโดยผ่านตัวแทนของประชาชนคือฝ่ายค้าน ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยและน.ส.ยิ่งลักษณ์พร้อมที่จะให้มีการตรวจสอบ แต่ไม่อยากให้มีการขยายผลจนนำไปสู่เกมการเมือง อย่างไรก็ตาม คุณหญิงพจมานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เป็นคนที่พรรคเพื่อไทยให้ความเคารพ
พท. วอนปชป.ทบทวนตั้งเวทีการเมืองนอกสภาค้านแก้รธน.
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญตลอด 11 วัน 11 คืนที่ผ่านมาว่า พรรคประชาธิปัตย์พยายามเตะถ่วงและยื้อเวลาในการแปรญัตติวาระที่ 2 โดยอภิปรายพาดพิงทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องประท้วง อย่างไรก็ตาม เสียงของสมาชิกรัฐสภาก็โหวตมาจนถึงมาตรา 291/10 แล้ว สำหรับกรณีที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่าจะมีการจัดตั้งเวทีภูมิภาคเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนและชี้แจงถึงอันตรายของการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลนั้น ตนมองว่าเมื่อสู้ในสภาฯ ไม่ได้จึงออกมาขับเคลื่อนตั้งเวทีนอกสภาฯ ซึ่งพรรคเพื่อไทยมองว่าสามารถทำได้แต่ไม่อยากให้เป็นไปในลักษณะของการปลุกระดมประชาชนเพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะการตั้งเวทีครั้งนี้อาจจะทำให้ประชาชนเกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองและเกิดการเผชิญหน้ารอบใหม่ได้
"การตั้งเวทีการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเป็นแค่เกมการเมืองในการที่จะทำลายรัฐบาลและความน่าเชื่อถือของรัฐสภา ตนเห็นว่าน่าจะมีการทบทวนหรือไม่ควรที่จะให้เกิดขึ้น เพราะจะกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคารพเสียงข้างมาก ไม่เคารพเสียงประชาชน ทำให้คนภาคใต้รู้สึกขัดแย้งต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนอยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และนายบัญญัติพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ เพราะหากเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกพรรคประชาธิปัตย์จะต้องรับผิดชอบ" นายพร้อมพงศ์ กล่าว
แจงปรับ'ครม.'แค่ข่าวลือ รับของแพงจริงแต่ยังไม่ถึงขั้น รบ.ทำงานล้มเหลว
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีการปรับครม.ยิ่งลักษณ์3ว่า ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เป็นแค่ข่าวปล่อย ทั้งนี้ ภายในพรรคยังไม่มีการพูดคุยเรื่องปรับครม. ส่วนกรณีที่มีการโยงสมาชิกบ้านเลขที่ 111 มาเข้าร่วมในครม.ด้วยนั้น เป็นแค่การแสดงความคิดเห็นจากส่วนต่างๆ ที่มีการคาดการณ์กันไปเท่านั้น ทั้งนี้ การปรับครม.เป็นเรื่องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จะพิจารณา ซึ่งหากมีขึ้นก็จะเป็นไปเพื่อตอบโจทย์ของพี่น้องประชาชนในการแก้ปัญหาและขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้น ไม่ใช่การปรับเพื่อทดแทนหรือตอบแทนบุญคุณของใครคนใดคนหนึ่งหรือปรับเพื่อสมาชิกพรรครวมทั้งประโยชน์ของพรรค อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าการปรับครม.ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ควรรอการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน สินค้าราคาแพง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลให้เสร็จสิ้นก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนไม่ได้จึงอาจจะต้องมีการปรับครม.โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านเศรษฐกิจใช่หรือไม่ นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและครม.กำลังดำเนินการแก้ไขอยู่แล้วในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าสินค้าอาจจะราคาแพงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นความล้มเหลวของรัฐบาล และภายในพรรคก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันเรื่องปรับครม.แล้วคนนอกพรรคจะรู้ได้อย่างไร ยิ่งคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมือง มีความชัดเจนไม่ว่าจะทำอะไร การปรับครม.ขณะนี้ยังเป็นแค่การปล่อยข่าวเพื่อหวังประโยชน์ในการปรับครม.หรือไม่ก็ต้องการให้รัฐบาลเกิดความปั่นป่วน แต่หากปรับครม.ก็เป็นไปเพื่อความเหมาะสมและตอบโจทย์ประชาชนให้ได้ ไม่ใช่สมบัติผลัดกันชม แต่เป็นการปรับคนให้ถูกกับงานตามหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ก็อาจจะยังไม่ดีเท่าไหร่
ส่วนพรรคให้เวลารัฐมนตรีทำงานเท่าไหร่ในการผลักดันนโยบายของรัฐบาลที่เหมือนว่ายังไม่ค่อยคืบหน้านั้น นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ช่วงนี้ตามหน้าสื่อมีแต่ข่าวแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาอยู่ที่การประชาสัมพันธ์ของรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ออกมาค่อนข้างน้อยหรืออ่อนประชาสัมพันธ์ แต่นโยบายได้มีการผลักดันไปค่อนข้างมากแล้ว