28 ม.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Air Busan Airbus plane catches fire at S.Korea's Busan airport, no casualties ระบุว่า เครื่องบินแอร์บัส ของสายการบินแอร์ปูซานของเกาหลีใต้ เกิดเหตุไฟไหม้ที่สนามบินนานาชาติกิมแฮ ทางตอนใต้ของประเทศ ขณะเตรียมออกเดินทางไปยังฮ่องกง โดยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงในปูซาน เปิดเผยว่า ผู้โดยสาร 169 คนและลูกเรือ 7 คน ได้รับการอพยพออกไปแล้ว โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 1 คนถูกนำส่งโรงพยาบาล ด้านสำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้ รายงานว่า ไฟไหม้เริ่มจากหางเครื่องบิน
เหตุระทึกขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นในรอบ 1 เดือน หลังเกิดอุบัติเหตุทางอากาศครั้งร้ายแรงที่สุดบนแผ่นดินเกาหลีใต้ เมื่อเครื่องบินของสายการบินเจจูแอร์ ซึ่งบินมาจากกรุงเทพฯ ประสบเหตุตกบนรันเวย์ของสนามบินมูอันขณะลงจอดฉุกเฉิน ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือ 179 รายเสียชีวิต จากทั้งหมด 181 ราย เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2567
ตามข้อมูลของ FlightRadar24 สายการบินราคาประหยัดแอร์ปูซานเป็นส่วนหนึ่งของสายการบินเอเชียน่าแอร์ไลน์ของเกาหลีใต้ ซึ่งถูกซื้อกิจการโดยสายการบินโคเรียนแอร์เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 โดยเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นรุ่นแอร์บัส A321 โดยบริษัทแอร์บัส ทราบถึงรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วและกำลังประสานงานกับแอร์ปูซาน
30 ม.ค. 2568 ในการเสวนาหัวข้อ “จุฬาฯ ระดมคิด พลิกวิกฤต PM2.5” ที่เรือนจุฬานฤมิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา ในช่วงท้ายของงาน รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมในประเด็นฝุ่น PM2.5 ว่า ย้อนไปในปี 2563 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยจัดเสวนาเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ในขณะที่สังคมไทยยังไม่ค่อยมีข้อมูลมากนัก ซึ่งก็ทำให้สื่อสารข้อมูลออกไปในวงกว้างว่าฝุ่น PM2.5 มีอันตรายอย่างไร และเกิดสิ่งที่เรียกร้องหลายอย่าง
ซึ่งจากวันนั้นถึงวันนี้ มองเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นโดยเฉพาะค่าเกณฑ์มาตรฐาน ที่ปรับลงจาก 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลงมาเป็น 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กระตุ้นให้สังคมรู้ตัวเร็วขึ้น ได้เห็นภาคประชาสังคม ประชาชนทั่วไปและสื่อมวลชนตื่นตัวมากขึ้น แต่ที่น่าเสียดายคือภาครัฐยังเหมือนเดิม กล่าวคือ หากกระแสไม่เกิดก็จะไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร เช่น เรามีคำว่าฤดูฝุ่น พอถึงปลายปีกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเตรียมตัวแล้ว พอถึงช่วงต้นปีภาคเหนือก็เตรียมตัว
แต่สังเกตได้ว่าภาครัฐไม่เตรียมตัวล่วงหน้า โดยแต่ละหน่วยงานก็รับผิดชอบไปตามวาระแห่งชาติ ไม่เห็นว่าในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่ฝุ่นเริ่มสูงขึ้นแล้วจะมีการออกมาเตือนจนกระทั่งถึงจุดวิกฤต และที่น่าแปลกใจมากสำหรับปีนี้ ตนเห็นว่ากลไกวาระแห่งชาติที่สำคัญอย่างคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไม่ทำงาน โดยเมื่อค่าฝุ่นถึงจุดวิกฤต เช่น แตะระดับ 70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร คณะกรรมการที่มีรองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบ และมีกรมควบคุมมลพิษเป็นเลขา ต้องตั้งทีม ระดมนักวิชาการ วางแผนและสั่งการ
“ท้องฟ้ามันไม่มีเขตจังหวัด ไม่มีเขตอำเภอ แต่ถึงเวลาสั่งการคือแต่ละจังหวัดรับผิดชอบไป แต่ละอำเภอรับผิดชอบไป ที่จริงมันต้องทั้งประเทศ จะเห็นว่าแต่ละกระทรวงก็รับผิดชอบแยกกันไป จนเราก็เห็นสิ่งเดิมๆ ยังเห็นรถน้ำออกมาวิ่งพ่นฉีดน้ำไล่ฝุ่นเหมือนเดิมทุกปี ทั้งที่วิชาการก็พูดแล้ว สื่อโซเชียลก็แซวแล้วแซวอีกก็ยังเห็นอยู่ มันคงมีความผิดพลาดอะไรบางอย่างเกิดขึ้น” รศ.ดร.เจษฎา กล่าว
รศ.ดร.เจษฎา กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการพยากรณ์ ตนรู้ว่าเราสามารถพยากรณ์ล่วงหน้า 7 วันได้ชัดเจน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝุ่นหนาแต่ไม่มีมาตรการอะไรเลย แต่สัปดาห์นี้รู้ล่วงหน้าว่าเดี๋ยวมวลอากาศเย็นจะมาแล้วฝุ่นจะหายไปกลับสั่งปิดสถานศึกษา ซึ่งแม้ผู้มีอำนาจจะบอกว่าแนะนำไม่ได้สั่ง แต่ในทางราชการแนะนำก็คือสั่ง ซึ่งหากจะสั่งเหตุใดไม่สั่งบนความเป็นวิทยาศาสตร์
และโดยส่วนตัว ตนก็ไม่เห็นด้วยกับการสั่งปิดสถานศึกษา เพราะเป็นการผลักภาระให้นักเรียน-นักศึกษาไปอยู่ที่บ้านซึ่งไม่มีเครื่องฟอกอากาศ อย่าได้นำคนในเมืองจำนวนน้อยๆ มาเป็นเกณฑ์ เมื่อไม่มีเขาก็ใช้ชีวิตทั่วๆ ไป แล้วฝุ่นไม่ว่าที่สถานศึกษาหรือที่บ้านก็เท่าๆ กัน ซึ่งจริงๆ แล้วสถานศึกษาต้องทำพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้เรียน เหตุใดเราจึงไม่ทำให้ห้องเรียนทุกห้องเป็นห้องเรียนปลอดฝุ่น
“ทำไมเราไม่ทำให้พื้นที่สถานที่ราชการ สถานที่ต่างๆ เป็นสถานที่ที่ปลอดฝุ่น เราไม่ทำ เราผลักภาระออกไป แล้วแถมยังมีโครงการแปลกๆ เช่น เอาเงินไปขึ้นรถไฟฟ้าฟรี รถเมล์ฟรี ซึ่งผมก็บ่นหนักมากเลยว่ามันช่วยจริงหรือเปล่า? เพราะผมขับรถยนต์ก็ไม่สามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้” รศ.ดร.เจษฎา กล่าว
29 ม.ค. 2568 ศ.นพ ประกิต วาทีสาธกกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการจัดหารายได้เพื่อใช้เป็นงบประมาณ ( Committee on Ways and Means) ของวุฒิสภา โดยวุฒิสมาชิก Sherwin Gatchalian ประเทศฟิลิปปินส์ เผยแพร่ข้อมูลเมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมาว่า รายได้ภาษียาสูบของฟิลิปปินส์ที่เท่ากับ 179.49 พันล้านเปโซ (104,100 ล้านบาท) ในปี 2564 ลดลงเหลือ 134.91 พันล้านเป็นโซ (78,200ล้านบาท) ในปี 2566 หรือเท่ากับลดลง 24.8%
ในขณะที่ฟิลิปปินส์มีนักสูบหน้าใหม่ตั้งแต่อายุ 10 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น 9.5 ล้านคน โดยเป็นวัยรุ่นมากถึง 1 ล้าน และอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจาก 14% ในปี 2564 เป็น 18.9% ในปี 2566 ซึ่งวุฒิสมาชิก เชอร์วิน กัตชาเลียน (Sherwin Gatchalian) ได้ระบุว่า รายได้ภาษีที่ลดลงทั้งๆ ที่จำนวนผู้สูบบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น มาจากการระบาดของบุหรี่ผิดกฎหมาย ทั้งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า สว.ท่านนี้เสนอให้รัฐบาลขึ้นภาษีบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิดและอุดช่องโหว่ที่ทำให้มียาสูบผิดกฎหมาย เพื่อรัฐจะมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น และคนสูบบุหรี่ลดลง
“ฟิลิปปินส์ให้บุหรี่ไฟฟ้าขายได้ถูกกฎหมาย และปรับปรุงกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในปี 2565 ด้วยการลดอายุคนซื้อบุหรี่ไฟฟ้าจากเดิม 21 ปี ลดเป็น 18 ปี ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าขายได้ถูกหมาย ทั้งชนิดที่ใช้ความร้อน (Heated Tobacco Products) และชนิดที่ใช้น้ำยา จากการวิ่งเต้นอย่างหนักของธุรกิจบุหรี่ ด้วยข้ออ้างที่ว่าเพื่อรัฐบาลจะมีรายได้จากภาษีบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา” ศ.นพ.ประกิต กล่าว
ศ.นพ.ประกิต กล่าวต่อว่า สำหรับไทย สภาผู้แทนราษฎรจะมีการประชุมเพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษากฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าฯ ที่จะเสนอทางเลือกนโยบายกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในไทย 3 แนวทาง คือ 1.ให้คงกฎหมายห้ามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด 2.เปิดให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าชนิดที่ใช้ความร้อนอย่างถูกกฎหมาย 3.เปิดให้บุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิดขายได้ถูกกฎหมาย ด้วยข้ออ้างว่า เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชน ขณะที่รัฐบาลจะมีรายได้จากภาษีบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
“ผมอยากให้ สส. รวมทั้งท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรัฐบาล ได้รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์เกี่ยวกับนโยบายบุหรี่ไฟฟ้า เพราะหากสภาผู้แทนราษฎร ใครจะรับประกันว่า หากยกเลิกกฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้าตามข้อ 2 และข้อ 3 สิ่งที่จะเกิดขึ้นในไทย จะไม่เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วในฟิลิปปินส์ และใครจะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น จากรายได้ภาษีที่ลดลง และจำนวนนักสูบหน้าใหม่ที่เป็นเด็กและเยาวชนจะเพิ่มขึ้น อย่างที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ในขณะนี้” ศ.นพ.ประกิต กล่าว
28 ม.ค. 2568 สำนักข่าวออนไลน์ Yahoo Finance ในเครือ Yahoo สหรัฐอเมริกา รายงานข่าว Thailand’s Car Sales Plunge to 14-Year Low as Banks Curb Loans โดยอ้างรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ซึ่งระบุว่า สมญานาม “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ของประเทศไทยได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากสถิติยอดขายรถยนต์ภายในประเทศที่ร่วงต่ำสุดในรอบ 14 ปี เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และการคัดกรองก่อนปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น
รายงานข่าวอ้างการเปิดเผยของ สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ (Surapong Paisitpattanapong) โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศ ณ ปี 2567 ลดลงร้อยละ 26 เหลือ 572,675 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนับตั้งแต่ปี 2552 โดยยอดขายในเดือน ธ.ค. 2567 ลดลงร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เหลือ 54,016 คัน
“อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งคือความลังเลของบริษัทไฟแนนซ์ในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ เนื่องจากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อรถยนต์ทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณร้อยละ 70 ตลอดทั้งปี” สุรพงษ์ กล่าว
อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ตกต่ำเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งภาคการผลิตของประเทศไทยมากที่สุด โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานลดลงเหลือประมาณร้อยละ 58 ในเดือน พ.ย. 2567 รัฐบาลได้เปิดเผยมาตรการบรรเทาหนี้มากมาย รวมถึงมาตรการสำหรับผู้ที่กำลังดิ้นรนเพื่อชำระหนี้สินเชื่อรถยนต์ ซึ่งไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 86 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
นิวยอร์ก/วอชิงตัน (รอยเตอร์ส/ซีเอ็นเอ็น/บีบีซี นิวส์) - แอปพลิเคชั่น AI ต้นทุนต่ำที่ชื่อ Deepseek ของจีน เปิดตัวและได้รับความนิยมสูง ยอดดาวน์โหลดพุ่งทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก จนเขย่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ นักลงทุนแห่เทขายหุ้นบริษัทเทคโนโลยี ด้านประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ชูนโยบายส่งเสริม AI ยิ้มสู้บอกเป็นเรื่องที่ดี และสหรัฐฯ ควรดูเป็นแบบอย่าง
สื่อต่างประเทศรายงานว่า แอปพลิเคชั่นปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ต้นทุนต่ำสัญชาติจีนที่ชื่อ Deepseek เป็นของบริษัทสตาร์ทอัพในเมืองหางโจวของจีน มียอดดาวน์โหลดสูงมากในสหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะสามารถใช้งานได้ฟรี และมีประสิทธิภาพสูงเทียบเคียงกับรายใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำด้าน AI ในขณะนี้ แม้ว่าใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีและต้นทุนที่ต่ำกว่าเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ (ราว 220 ล้านบาท) ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ใช้เงินพัฒนาเทคโนโลยี AI ไปแล้วมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 170,000 ล้านบาท) บรรดานักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญ มองกันว่า จีนพัฒนาเทคโนโลยีนี้ออกมาได้ดีกว่า รวดเร็วกว่า และต้นทุนต่ำกว่าสหรัฐฯ อย่างมาก ทั้งที่สหรัฐฯ พยายามกีดกันการส่งออกเทคโนโลยีชิพล้ำสมัยสำหรับใช้พัฒนาระบบเอไอไปยังจีน
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นกำลังส่งผลกระทบต่อบรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำต่างๆ หุ้นของหลายบริษัทหล่นฮวบ โดยเฉพาะ เอ็นวิเดีย (Nvidia) บริษัทผู้ผลิตชิพรายใหญ่ ถูกเทขายหนักจนสูญเสียมูลค่าไปแล้วเกือบ 600,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 20 ล้านล้านบาท เป็นการ
ดิ่งลงของมูลค่าหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันเดียวสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกับหุ้นของบริษัทชั้นนำอื่นๆรวมถึง OpenAI, กูเกิ้ล และเมตา เจ้าของแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก ก็ปรับลดลง ทำให้ดัชนีนาสแด็ค หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปิดตลาดลดลงมากกว่า 3% แล้วยังต้องรอดูว่าจะกระทบกับผลประกอบการของเมตา รวมไปถึงไมโครซอฟท์หรือไม่ เพราะทั้งสองมีกำหนดออกรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้
สำหรับประธานาธิบดี โดนัลด์ทรัมป์ ที่ได้เปิดตัวแผนลงทุนมูลค่ามหาศาลถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ AI ในสหรัฐ โดยมีซอฟต์แบงก์ ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น และ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT เป็นผู้นำ กล่าวหลังได้รายงานตลาดหุ้นว่า การที่ Deepseek บริษัทของจีน มี AI ที่เร็วกว่าและถูกกว่า ซึ่งทำให้ผูัคนได้ใช้ AI ที่ได้ผลเหมือนกันแต่ไม่ต้องจ่ายเงินมากนั้น เป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่าในการปฏิบัติตามเพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายมหาศาลก็สามารถสร้างผลงานที่ดีได้เช่นกัน และว่า Deepseek เป็นเครื่องกระตุ้นบริษัทอเมริกันให้เร่งพัฒนาและเร่งมือในการแข่งขัน เพราะสหรัฐมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำอยู่มากมาย
สำหรับ Deepseek เป็นสตาร์ทอัพขนาดเล็กในเมืองหางโจว ที่ก่อตั้งในปี 2023 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ไป่ตู้ (Baidu) ยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องมือสืบค้นข้อมูลของจีนเปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่ตัวแรกของประเทศจีน แอปพลิเคชั่น แอปฯ Deepseek ขับเคลื่อนด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ Deepseek-V3 แบบโอเพ่นซอร์ส ลักษณะการใช้งานเป็นแชทบอท หน้าตาคล้าย ChatGPT, Gemini และอีกหลายแชทบอทเอไอที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ ใช้ซักถาม ตอบปัญหา หรือช่วยสร้างสรรค์เรียบเรียงข้อมูลต่างๆ
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012