ข่าว
แรงรักแรงแค้น...ไหนว่ารักเรามาก มันต้องทำกันขนาดนี้เลยหรอ ? ?

สาวสวยโพสต์ภาพถูกทำร้ายร่างกายโดยชายหนุ่มอดีตแฟนเก่า ตัดพ้อ “นี่หรอวะที่บอกรักกูมาก รักเตี้ยๆ อย่าบังคับฝืนใจกูเลย” ด้านอดีตแฟนยอมรับผิด ทั้งถามกลับชาวโซเชียล “ถ้ายุงไม่กัด คุณจะตีมันไหม”

วันนี้ (2 มี.ค. 60 ) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Jarupak Ridtidach ได้แชร์ภาพถูกทำร้ายร่างกายโดยอดีตแฟนเก่า โดยได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ความ...ของไอ้ซี ดนุเดช ชาตรีวงศ์ ทำกูขนาดนี้ไอ้... ไปตายไป กูบอกแล้วว่ากูไม่ได้รักมึงแล้ว ไม่เอามึงแล้ว แต่มึงยังรังควานกู ไอ้เหี้ย ทั้งเตะกู ต่อยกู เอาหัวโขกฝา ตีนถีบหน้ากู ลองเป็นญาติพี่น้องมึงบ้างไหมไอ้... กูจะให้เพื่อนกูลากคอมึง มึงกับกูจะได้เห็นดีกัน กูจะไม่ยอมให้มึงมาทำร้ายกุแบบนี้อีกแล้ว ฝืนใจกูมากขนาดไหนแล้วไอ้... จำใส่หัวไว้ นี่หรอวะที่บอกรักกูมาก อย่าบังคับฝืนใจกูเลย แล้วก็ขอบคุนเพื่อนที่ทิ้งกูด้วย ขอบคุณจริงๆ อี... เฟสไอ้...นี่ ดูไว้หน้าตัวเมีย Danudach Chatreewong” ทางด้านชายหนุ่มซึ่งเป็นอดีตแฟนเก่าได้ออกมาเคลื่อนไหวเช่นกันโดยยอมรับผิด และรู้สึกเสียใจกับการกระทำโดยได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองชื่อ Danudach Chatreewong ว่า “กูทำอะไรลงไป นิสัยกูเปลี่ยนไปหรือใครทำให้กูเป็นแบบนี้ ผมเสียใจคับแม่ทีผมทำอะไรโดยไม่คิดแบบนี้ ผมสมควรแล้วที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้ แต่เค้าทำร้ายจิตใจผมเหมือนผมไม่มีความรู้สึก ผมรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำแต่มันสุดแล้วจิงๆ ใครไม่เป็นผมไม่เข้าใจหรอกวินาทีนั้นความรู้สึกยังไงแล้วก็อย่าได้แต่วิจารณ์ผมต่างๆ นานา ดูประวัติกันทั้งสองฝ่ายแล้วค่อยมาสรุปว่าผมเลว (คนอย่างผมไม่เคยทำใครก่อน) ฝากถึงแฟนใหม่มันด้วยน่ะอย่าเป็นนักเลงคีย์บอร์ด”

โดยชาวโซเชี่ยลส่วนใหญ่ได้ประณามการการทำเกินกว่าเหตุของทางชายหนุ่มว่าทำเกินกว่าเหตุหรือป่าวแต่ก็มีอีกกระแสที่บอกว่าเป็นเรื่องของคน 2 คน สุดท้ายคงต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนตัดสิน

แจ้งข้อหา 'เบนซ์' ฟอกเงิน กว่า 100 ล.

ความคืบหน้าการสอบสวนคดีครอบครองรถยนต์ลัมโบร์กินี รุ่นกัลลาโด ของนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง สามีแพท ณปภา ตันตระกูล นักแสดงชื่อดัง หลังตำรวจพบข้อมูลเชื่อมโยงกับ นายณัฐพล นาคคำ หรือบอย ผู้ต้องหาคดียาเสพติด เครือข่ายนายไซซะนะ แก้วพิมพา ผู้ต้องหาคดียาเสพติดชาวลาวคนสำคัญ

ล่าสุดวันที่ 3 มี.ค. พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้นำพยานหลักฐานไปขออนุมัติศาลออกหมายจับ นายเบนซ์ และนายบอย ต่อศาลอาญารัชดาภิเษก หลังการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า พฤติการณ์เข้าข่ายความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และฟอกเงิน โดยศาลพิจารณาแล้วอนุมัติหมายจับนายบอย ในฐานความผิดตามคำร้อง ซึ่งพนักงานสอบสวนเตรียมเข้าแจ้งข้อหาและอายัดตัวดำเนินคดี ที่เรือนจำกลางคลองเปรม

ส่วนนายเบนซ์ ศาลพิจารณาแล้วพบว่า ตำรวจและเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้ออกหมายเรียกให้เข้ามาให้ข้อมูลหลายครั้ง และได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก เห็นว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี จึงให้ออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาตามขั้นตอน โดยจะออกหมายเรียกให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ในวันจันทร์ที่ 6 มี.ค. เวลา 09.30 น. ในข้อหาร่วมกันกระทำความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และฟอกเงิน

ทั้งนี้หากนายเบนซ์เดินทางมาในวันดังกล่าว พนักงานสอบสวนจะสอบปากคำ จากนั้นจะนำตัวไปส่งฟ้องและฝากขังที่ศาล ส่วนการขอปล่อยตัวชั่วคราวนั้น ให้เป็นดุลยพินิจของศาล แต่หากไม่เดินทางมาตามที่นัดหมาย จะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 และออกหมายจับตามขั้นตอนต่อไป

นอกจากนี้ในการสอบสวนยังพบหลักฐานที่ชัดเจนจากสถาบันการเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. พยานบุคคลและพยานแวดล้อมเกี่ยวกับเส้นทางการเงินและการทำธุรกรรมทางการเงินต้องสงสัย ซึ่งพบว่าบัญชีธนาคารของนายเบนซ์ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้านบาท ในลักษณะเข้ามาแล้วก็ออกไป ทำให้สวนทางกับข้อมูลที่นายเบนซ์แจ้งว่า ต้องผ่อนรถลัมโบร์กินีเป็นเงินเดือนละกว่า 3 แสนบาท ซึ่งนายบอยได้กลับคำให้การยอมรับว่าให้นายเบนซ์ยืมเงินไปซื้อรถหรูคันดังกล่าว พฤติการณ์จึงเข้าข่ายฟอกเงิน และมีความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อให้สามารถเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดได้

ด้าน นายศรัญ ฤกษ์อัตการ ทนายความของเบนซ์ เรซซิ่ง เปิดเผยว่า ยังไม่ได้รับการประสานเรื่องออกหมายเรียกจากตำรวจปราบปรามบาเสพติด เพื่อให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา แต่หากมีหมายเรียกจริงก็พร้อมนำนายอัครกิตติ์ เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกไม่หลบหนีไปไหน เพราะที่ผ่านมาก็ให้ความร่วมมือกับตำรวจมาโดยตลอด แต่ขอให้ทางตำรวจประสานให้ชัดเจนเพื่อจะได้เตรียมหลักทรัพย์ในการยื่นประกันตัวตามขั้นตอนของกฎหมาย.


คุมตัว ‘พล.ต.อ.จุมพล’ แถลงคดีรุกป่า ‘ศรีวราห์’ เผยยังไม่แจ้งข้อหา ม.112

จากกรณีสำนักพระราชวัง มีคำสั่งไล่ออก พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ฝ่ายความมั่นคงและกิจกรรมพิเศษ ออกจากราชการ ฐานประพฤติชั่วร้ายแรง ใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการในทางที่ไม่ถูกต้อง เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์นั้น

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 2 มีนาคม ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. พร้อม พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบช.ส.4 พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รองผบช.ภ.1 พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รองผบก.น.1 พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบก.ป. เดินทางมายังบก.ป.เพื่อรอรับตัวพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย อดีตรองผบ.ตร.และข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ฝ่ายความมั่นคงและกิจกรรมพิเศษ ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง หลังตกเป็นผู้ต้องหารุกพื้นที่ป่าสงวนในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ที่สร้างบ้านพักตากอากาศบริเวณป่าบ้านสุขสมบูรณ์ หมู่2 ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา บนเนื้อที่กว่า 13 ไร่

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า วันนี้รับตัว พล.ต.อ.จุมพล มาก่อนจะดำเนินการตามขั้นตอน ได้แก่การตรวจร่างกายจากแพทย์รพ.ตร.ก่อนจะนำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อสอบสวนเบื้องต้น แจ้งข้อหา พิมพ์ลายนิ้วมือ ทำประวัติ และนำฝากขังที่ศาลจังหวัดนครราชสีมาต่อไป เบื้องต้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากการกระทำความผิดนั้นเป็นการขัดคำสั่งคสช. ทั้งนี้การสอบปากคำพล.ต.อ.จุมพลในครั้งนี้ถือเป็นการสอบปากคำครั้งแรก

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ต้องสอบปากคำก่อนว่ากรณีดังกล่าวพาดพิงไปถึงบุคคลใดอีกหรือไม่ ซึ่งขณะนี้พบผู้กระทำความผิดเพียง 5 ราย ได้แก่ นางฐนกร มั่นหมาย (ภรรยาจุมพล) พล.ต.ต.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รอง ผบ ช.ภ.5 นางชญานิศฐ์ พิสิษฏ์วานิช ปลัดอบต.ไทยสามัคคี (ภรรยาพงษ์เดช) นาย มานพ ปลอดโคกสูง (เป็นญาติภรรยา พงศ์เดช) และพล.ต.อ.จุมพล ยังไม่พบบุคคลที่ต้องออกหมายจับเพิ่มเติม แต่หากพบก็จะดำเนินคดีทันที ส่วนจะต้องนำตัวพล.ต.อ.จุมพลไปชี้จุดหรือไม่นั้น ขอพิจารณาข้อมูลอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า พล.ต.อ.จุมพลยังไม่ถูกแจ้งข้อหาม.112 แต่อย่างใด และพล.ต.อ.จุมพลมีสิทธิตามกฎหมายทุกอย่างทั้งขอทนายความ มีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ แต่พยานหลักฐานทั้งเอกสาร พยานบุคคล พยานวัตถุแน่นหนาและชัดเจนในการดำเนินคดี ส่วนรายละเอียดในการสอบปากคำบุคคลที่เข้ามอบตัวนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ อยู่ในสำนวน

ต่อมาเวลา 11.35 น.ตำรวจนำตัวพล.ต.อ.จุมพล มายังบก.ป.เพื่อมอบให้กับพนักงานสอบสวนดำเนินการ โดยพล.ต.อ.จุมพล อยู่ในสภาพอิดโรย ศีรษะโล้น สวมเสื้อโปโลสีเทา กางเกงยีนส์ และใช้มือปิดบังใบหน้าตลอดเวลา

เวลา 13.00น. ที่กองบินตำรวจ ดอนเมือง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เดินทางมารอคณะของพล.ต.อ.ศรีวราห์ เพื่อสอบถามพูดคุยด้านคดี ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดยพล.ต.อ.ศรีวราห์ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. และพล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ จะคุมตัวพล.ต.อ.จุมพล จากบก.ป.เพื่อไปนำตัวฝากขังต่อศาลจังหวัดนครราชสีมา โดยจะนำตัวขึ้นเครื่องบินฟอกเกอร์กองบินตำรวจ และให้พล.ต.อ.จุมพล นั่งบนเครื่องที่นั่ง 5 d f ไปลงที่กองบิน 1กองทัพอากาศ อ.เมืองนครราชสีมา ใช้เวลาบินประมาณ 30นาที ก่อน นำตัวขึ้นรถยนต์ไปยังศาลจังหวัดนครราชสีมาต่อไป

เวลา 14.30น. ที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา พล.ต.อ.ศรีวราห์ พล.ต.ท.ฐิติราช พล.ต.ต.สุทิน พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.ส.4คุมตัว พล.ต.อ.จุมพล มาขออำนาจศาลฝากขัง พร้อมคัดค้านการประกันตัว และขอคุมตัวกลับไปสอบสวนเพิ่มเติม ที่กทม.

สำหรับพฤติการณ์ถือครองดินนั้นในปี 2551 นางชญานิศฐ์ พิศิษฐวานิช (พรหมมิจิตร) ซึ่งเป็นปลัดอบต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงเกิดเหตุ เป็นแฟนกับ พ.ต.ท.พงษ์เดช พรหมมิจิตร ยศขณะนั้น ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ต่อมาในปี 2554 ทั้งคู่ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้พล.ต.ท.จุมพล มั่นหมาย (ยศขณะนั้น)ซึ่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 และเริ่มก่อสร้างอาคารบ้านพักและปรับภูมิทัศน์เพื่ออยู่อาศัย ยึดถือครองทำประโยชน์พักผ่อนในช่วงวันหยุดและจัดงานเลี้ยงในเทศกาลต่างๆโดยมอบหมาย นางติ๋ม อุทัศน์ คอยดูแลทำความสะอาดให้ค่าจ้างเดือนละ 7,000 บาท โดยในการครองเสียค่าบำรุงท้องที่นั้นมีนางชญานิศฐ์ เป็นผู้ทำการแทน กระทั่งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและยึดที่ดินแปลง เนื้อที่ 13 ไร่ 1งาน 75 ตารางวา ดำเนินคดีตามกฎหมาย คดีที่ 43 /2560 สภ.วังน้ำเขียว


ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำคุก ’ธาริต-ชาญเชาวน์’ คนละ 2 ปี

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ และนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เดินทางมายังศาลอาญาเพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พันเอก ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นโจทก์ฟ้อง ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

กรณีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ถึง 8 ตุลาคม 2555 นายธาริต และนายชาญเชาว์ ขณะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ทำหนังสือโยกย้ายพันเอก ปิยะวัฒก์ จากตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ดีเอสไอ ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี ซึ่งมีระดับต่ำกว่าเดิม

สำหรับคดีนี้ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้อง แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้รับไว้พิจารณา และศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุก นายธาริต 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ยกฟ้องนายชาญเชาว์ จำเลยที่ 2 เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานนำสืบว่า มีเจตนากลั่นแกล้งให้เกิดความเสียหายเกี่ยวกับคำสั่งย้าย พันเอก ปิยะวัฒก์

ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายธาริตได้ทำบันทึกเสนอย้ายโจทก์ โดยมีนายชาญเชาวน์ เป็นผู้ลงนาม เห็นชอบ ซึ่งโจทก์ได้นำสืบว่าตัวเองได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีสำคัญหลายเรื่อง และมีความเห็นขัดแย้งกับนายธาริต หลายเรื่อง ซึ่งนายธาริต ไม่ได้ส่งเรื่องย้ายโจทก์ไปยังคณะกรรมการคดีพิเศษให้พิจารณาก่อน จึงส่อเจตนาว่าปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์

ส่วนนายชาญเชาวน์ ศาลเห็นว่าอาศัยโอกาสที่ตัวเองรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรมเดินทางไปราชการลงนามเห็นชอบคำสั่งย้ายดังกล่าวแทน ซึ่งควรรอให้ปลัดยุติธรรมเดินทางกลับมาเป็นผู้ลงนามเอง เนื่องจากการโยกย้ายข้าราชการเป็นเรื่องสำคัญ และโจทก์ยังมีความขัดแย้งกับนายธาริตด้วย

ศาลจึงพิพากษาแก้ให้จำคุกนายธาริต และนายชาญเชาวน์ คนละ 2 ปี แต่ทั้งสองคนรับราชการทำคุณงามความดีและไม่เคยต้องโทษจำคุก จึงให้รอลงอาญา 2 ปีภายหลังนายชาญเชาวน์ยืนยันว่า การโยกย้ายดังกล่าวเป็นไปด้วยความรอบคอบ แต่ตัวเองเป็นบุคคลที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมเคารพคำพิพากษาของศาล และจากนี้จะหารือก่อนว่าจะยื่นฎีกาหรือไม่ ด้านพันเอก ปิยะวัฒก์ ระบุว่า พอใจในผลคำพิพากษา เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้บังคับบัญชากระทำ แม้ศาลจะรอลงอาญาจำเลยทั้งสองคน แต่ก็ถือว่าเป็นบรรทัดฐานในการโยกย้ายข้าราชการต่อไป


‘หลังสวน’ แซง ‘เพลินจิต’ ที่ดินตารางวาละ 5 ล้าน

“ชายนิด อรรถญาณสกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ระบุว่า ในวงการมีการเบนช์มาร์ก (ราคาเทียบเคียง) ดีลซื้อขายที่ดินปาร์คนายเลิศเมื่อปี 2559 ตอนนั้นดูเหมือนราคาตลาดพร้อมใจกันขยับขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อตารางวา ในทำเลย่านซีบีดีหรือศูนย์กลางธุรกิจ กรุงเทพฯ

มาต้นปีนี้ ดีลการซื้อขายที่ดินที่เหลือของสถานทูตอังกฤษอีก 25 ไร่ ย่านเพลินจิต กำลังถูกจับตามองว่าราคาจะไปจบที่เท่าไหร่ เท่าที่ทราบ อาจอยู่ที่ 2.2 ล้านบาทต่อตารางวา เนื่องจากเจ้าของที่ดินเมื่อเห็นราคาแปลงใดขยับขึ้นแล้วก็จะหยิบมาเป็น “ราคาตั้งขาย” โดยอัตโนมัติ

ซึ่งที่ดินที่ราคาสูงมากๆ จนหลายแปลงจับไม่ลง จุดโฟกัสคือแนวรถไฟฟ้าในรัศมี 500 เมตรจากสถานี บริเวณดังกล่าวจะมีราคาพุ่งตลอด เฉลี่ยปีละ 10-20%

ขณะที่จากข้อมูลสำรวจของ “สุรเชษฐ กองชีพ” รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทำเลซีบีดีของกรุงเทพฯ ได้แก่ “เพลินจิต-วิทยุ-ชิดลม” นับเป็นโซนที่มีการปิดดีลซื้อขายที่น่าสนใจมากที่สุด โดยมีการประเมินจาก “โซน” ที่มีการซื้อขายจริง จะเห็นว่า “ราคา” ได้ปรับขึ้นมาถึง 2 เท่าตัวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

และล่าสุด แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการพัฒนาที่ดินระบุว่า “ทำเลหลังสวน” ซึ่งเหลือที่ดินกรรมสิทธิ์จำนวนน้อยมากนั้น มีการตั้งราคาขายไว้สูงมากถึง 5 ล้านบาทต่อตารางวา ซึ่งผู้ถือครองกรรมสิทธิ์เป็น “แลนด์ลอร์ด” ตระกูลใหญ่ (ขอสงวนชื่อตามมารยาท) และทำเลในย่านนั้นจะเปลี่ยนมือหรือเป็นที่ดินเช่าเป็นส่วนใหญ่ โดยบอกขายยกแปลงในราคา 5,000 ล้านบาท เป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างขนาด 2 ไร่ครึ่ง หรือ 1,000 ตารางวา เท่ากับตารางวาละ 5 ล้านบาท

‘พุทธะอิสระ’เหน็บแรง ‘เจ้าคุณโชว์-เจ้าคุณพิพิธ’

พระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และแกนนำ กปปส. โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก เรามาดูท่านเจ้าคุณท่านใหม่ สนองพระเดชพระคุณ ฯพณฯ นายกฯได้ถึงใจจริงๆ พักนี้ได้ยินข่าวว่าเจ้าคุณใหม่เด็กปั้นของรัฐบาล คสช. ที่ภูมิใจนำเสนอให้ทรงสถาปนาแต่งตั้ง ต่างพากันดาหน้า ออกมาสมนาคุณรัฐบาลที่เป็นผู้มีคุณของพวกเขากันอย่างพร้อมพรั่ง ตัวอย่างเช่น เจ้าคุณโชว์ ทัสนีโย หรือพระสุธีวีรบัณฑิต ก็ออกมาตั้งคำถามเชิงข่มขู่รัฐบาล และ ผอ.สำนักพุทธคนใหม่ โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า

“อยากตั้งคำถาม (ผอ.สำนักพุทธคนใหม่) ว่ามาเพื่อดำเนินการสนับสนุนการแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ในการเข้ามาดูแลทรัพย์สินของคณะสงฆ์ ตามคำสั่งของรัฐบาลหรือไม่” “หากเป็นเช่นนั้นจริง เท่ากับว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่ทำลายพระพุทธศาสนาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน” “หากมาเพื่อเอาเงินของพระพุทธศาสนา คิดหรือว่าจะอยู่ได้” ชื่นใจไหมล่ะลุงตู่ เจ้าคุณใหม่ที่ลุงตู่เป็นผู้นำชื่อทูลเกล้าฯเพื่อทรงสถาปนาได้แสดงการสมนาคุณลุงตู่ได้น่าประทับใจไหม แซวกันพอหอมปากหอมคอแล้วเรามาลองช่วยลุงตู่แกตอบคำถามของเจ้าคุณใหม่กันหน่อยดีไหม แกถามว่า “คิดหรือว่าจะอยู่ได้”

พุทธะอิสระขออนุญาตลุงตู่ตอบแทนนะจ๊ะ อยากบอกกับเจ้าคุณใหม่ว่า เราคอยมาดูกันว่ารัฐบาลลุงตู่จะอยู่ได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ พวกคนขี้โกง ขี้โกหก ย่ำยีพระธรรมวินัย และดูหมิ่นสถาบันดูจะอยู่ไม่ได้ดอกนะจ๊ะ นอกจากเจ้าคุณโชว์จะออกมาสมนาคุณรัฐบาลอย่างถึงอกถึงใจแล้ว ยังมีเจ้าคุณแห่งวัดสุทัศนเจ้าเก่า ที่ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ในยุครัฐบาลลุงตู่อีกคน ออกมาแสดงความคิดเห็นด้วยอารมณ์ประมาณว่าอยากสมนาคุณลุงตู่อีกคน คือ เจ้าคุณพิพิธ หรือตอนนี้ได้ทินนามใหม่ว่าพระเทพปฏิภาณวาที อุตส่าห์ออกมาโหนกระแสมาตรา 44 ค้นลัทธิกบฏผีบุญด้วยการร่ายกลอนยาวแสดงวาทศิลป์ สมนาคุณรัฐบาล ประมาณว่า ท็อบบู๊ต รถถัง กำลังรังแกพระสงฆ์ อะไรทำนองนั้น

พุทธะอิสระระบุอีกว่า “พุทธะอิสระในฐานะคนที่คุ้นเคยกับเจ้าคุณหลงพี่ ไม่รู้ว่าจะเรียกถูกหรือเปล่า หากผิดก็ขออภัย ในฐานะที่เคยขึ้นศาลแพ่งด้วยกันมา หลงพี่คงจะยังจำได้ว่าข้อตกลงที่พุทะอิสระถอนฟ้องให้หลงพี่ ดูจะมีเรื่องสำรวมปากอยู่ด้วย และในข้อตกลงนั้น ถ้าหลงพี่ผิดข้อตกลง อายุขัยของคดีก็จะย้อนกลับขึ้นมาใหม่ทันที หลงน้องจึงอยากขอเตือนหลงพี่ด้วยความปรารถนาดีว่า ไม่พูด ก็ไม่มีใครเขารู้ว่าเราโง่หรือฉลาด ไม่ทำ ก็ไม่ชื่อว่าประจานตัวเองว่าดีหรือชั่ว ไม่คิด ก็ไม่ต้องสุขไม่ต้องทุกข์ พุทธะอิสระยังไม่อยากเจอหลงพี่บนศาลอีกนะคร้าบ ข้อที่ควรสังเกตคนพวกนี้ไม่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ความชั่วร้ายที่ลัทธิกบฏผีบุญย่ำยีพระธรรมวินัย และเป็นต้นเหตุให้คนต้องตายเลย หรือเขาจะเป็น “อ้วกเอียวอัน”