ข่าว
นายกฯ สั่งตั้ง “ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ” สะท้อนความจริงใจรัฐบาล

นายกฯ สั่งตั้ง “ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ” ร่วมกับรัฐมนตรี สมาคมด้านเศรษฐกิจ และภาคเอกชนและนักธุรกิจชั้นนำ สะท้อนตั้งใจจริง วิเคราะห์ เสนอแนะ มาตรการบริหารเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน

วันที่ 13 ส.ค. นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง “ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ” จากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้แทนจากสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทยและนักธุรกิจชั้นนำ ร่วมเป็นกรรมการ

มีอำนาจหน้าที่สำคัญในการจัดทำข้อเสนอและกรอบแนวทางการดำเนินมาตรการเศรษฐกิจทั้งระยะเร่งด่วน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อยกระดับศักยภาพและวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตหลังโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สิ้นสุดลง รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สร้างความรู้และความเข้าใจ โดยอาจมีผู้เหมาะสมทำหน้าที่ผู้ชี้แจงและประชาสัมพันธ์ ในนามของศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ ตามที่ประธานกรรมการมอบหมายด้วย “ภายใต้ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ”

นอกจากคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจฯ ยังให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจ ที่มี นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร เป็นประธานกรรมการ ผอ.สำนักงบประมาณ ปลัดกระทรวง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ โดยมีคณะอนุกรรมการอีก 3 ชุด ได้แก่ (1) คณะอนุกรรมการวิเคราะห์และเสนอแนะมาตรการบริหารเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้ง SMEs (2) คณะอนุกรรมการวิเคราะห์และเสนอแนะมาตรการบริหารเศรษฐกิจ และส่งเสริมการลงทุนในระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อยกระดับศักยภาพและวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตภายหลังจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สิ้นสุดลง

และ(3) คณะอนุกรรมการวิเคราะห์และสนับสนุนข้อมูลเศรษฐกิจรายสาขา เพื่อสนับสนุนด้านข้อมูลและรายละเอียดข้อเสนอแนะมาตรการเศรษฐกิจในสาขาต่างๆ ด้วย “เป็นการสะท้อนความตั้งใจจริงของรัฐบาล ที่มุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจภาพรวมและเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนเร่งรัด จึงได้ผนึกกำลังเป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน” รองโฆษกฯ กล่าว

ถวายเป็นพระราชกุศล

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2563 นายมังกร ประทุมแก้ว กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และถวายเพลพระสงฆ์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ วัดพุทธจักรมงคลรัตนาราม เมืองเอสคอนดิโด รัฐแคลิฟอร์เนีย

นอกจากนี้ สถานกงสุลใหญ่ฯ ยังจัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความดีด้วยหัวใจ” แจกหน้ากากอนามัย ข้าวสารและอาหารแห้งแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 พร้อมทั้งเปิดให้บริการกงสุลสัญจร รับคำร้องทำหนังสือเดินทาง นิติกรณ์ ทะเบียนราษฎร์ และบัตรประชาชน รวมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการเดินทางกลับประเทศไทยแก่ประชาชนที่อยู่อาศัยในเมืองซานดิเอโก เมืองเอสคอนดิโดและเมืองใกล้เคียงด้วย


ผู้โดยสาร 5 เที่ยวบิน 979 คน กลับถึงไทยแล้ว ตรวจพบมีไข้สูง 10 ราย

ผู้โดยสารชาวไทยและต่างชาติ จำนวน 979 คนเดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ อุซเบกิสถาน ไต้หวัน และญี่ปุ่น พบมีไข้สูง 10 ราย ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลทันที

โดยเที่ยวบินแรก จากประเทศอุซเบกิสถาน โดยสายการบิน อุซเบกิสถาน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ HY 3609 เครื่องลงเวลา 02.40 น. ผู้โดยสารจำนวน 109 คน เป็นคนไทย จำนวน 102 คน ชาวต่างชาติจำนวน 7 คน เจ้าหน้าที่ทำการตรวจคัดกรองแล้ว ไม่พบผู้โดยสารคนไทยที่มีไข้สูง เจ้าหน้าที่นำขึ้นรถบัสเพื่อดำเนินการกักตัว 14 วัน ตามมาตรการของรัฐ จำนวน 102 คน ที่โรงแรมเดอะ ภัทรา พระราม 9 โรงแรม ซิตรัส แกรนด์ พัทยา โดยมีผู้โดยสารเข้ากักตัวทางเลือก จำนวน 7 คน ที่โรงแรมในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ

เที่ยวบินที่ 2 จาก ไต้หวัน โดยสายการบิน อีวีเอแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ BR 201 เครื่องลงเวลา 12.45 น. ผู้โดยสารจำนวน 205 คน เป็นคนไทย จำนวน 48 คน ชาวต่างประเทศจำนวน 157 คน เจ้าหน้าที่ทำการตรวจคัดกรองแล้ว พบผู้โดยสารคนไทยที่มีไข้สูง จำนวน 2 คน เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคนำส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนที่เหลือเจ้าหน้าที่นำขึ้นรถบัสเพื่อดำเนินการกักตัวทางเลือก 14 วัน ตามมาตรการของรัฐ จำนวน 42 คน ที่โรงแรม ซิตรัส แกรนด์ พัทยา โดยมีผู้โดยสารเข้ากักตัวทางเลือก จำนวน 161 คน ที่โรงแรมในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ

เที่ยวบินที่ 3 จากประเทศญี่ปุ่น โดยสายการบิน ออลนิปปอนด์แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ NH 847 เครื่องลงเวลา 14.35 น. ผู้โดยสารจำนวน 197 คน เป็นคนไทยจำนวน 195 คน ชาวต่างชาติ จำนวน 2 คน เจ้าหน้าที่ทำการตรวจคัดกรองแล้ว พบผู้โดยสารคนไทยที่มีไข้สูง จำนวน 6 คน ป่วยโรคประจำตัว จำนวน 1 คน เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคนำส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนที่เหลือเจ้าหน้าที่นำขึ้นรถบัสเพื่อดำเนินการกักตัว 14 วัน ตามมาตรการของรัฐ จำนวน 179 คน ที่โรงแรม ชลจันทร์ พัทยา โดยมีผู้โดยสารเข้ากักตัวทางเลือกจำนวน 11 คน ที่โรงแรมในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ

เที่ยวบินที่ 4 จากประเทศญี่ปุ่น โดยสายการบิน การบินไทย เที่ยวบินที่ TG 643 เครื่องลงเวลา 15.55 น. ผู้โดยสารจำนวน 169 คน เป็นคนไทยจำนวน 1 คน ชาวต่างชาติ จำนวน 168 คน เจ้าหน้าที่นำขึ้นรถบัสเพื่อดำเนินการกักตัวทางเลือก จำนวน 14 วัน จำนวน 169 คน ที่โรงแรมในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ

เที่ยวบินที่ 5 จากประเทศเกาหลีใต้ โดยสายการบินโคเรียนแอร์ เที่ยวบินที่ KE 651 เครื่องลงเวลา 21.05 น. จำนวนผู้โดยสาร 299 คน มีหมายจับจำนวน 1 คน เป็นคนไทย จำนวน 200 คน ชาวต่างชาติ จำนวน 99 คน เจ้าหน้าที่ทำการตรวจคัดกรองแล้ว พบผู้โดยสารคนไทยที่มีไข้สูง จำนวน 2 คน ป่วยโรคประจำตัว จำนวน 7 คน ติดตาม จำนวน 1 คน เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคนำส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนที่เหลือ เข้ากักตัวทางเลือก 14 วัน ตามมาตรการของรัฐ จำนวน 186 คน และผู้โดยสารเข้ากักตัวทางเลือกจำนวน 101 คน ที่โรงแรมในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ

รวมผู้โดยสารทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศเกาหลีใต้ อุซเบกิสถาน ไต้หวัน และญี่ปุ่น และไต้หวัน ถึงไทย จำนวน 979 คน มีหมายจับจำนวน 1 คน เจ้าหน้าที่ทำการตรวจคัดกรองแล้ว พบผู้โดยสารคนไทยที่มีไข้สูงจำนวน 10 คน เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคนำส่งโรงพยาบาลทันที


โจ ไบเดน ควงคู่ คาเมลา แฮร์ริส ขึ้นเวทีหาเสียงด้วยกันครั้งแรก ถล่มทรัมป์

โจ ไบเดน และคาเมลา แฮร์ริส ขึ้นเวทีหาเสียงด้วยกันเป็นครั้งแรก ถล่มทรัมป์ หลังเลือก ส.ว.หญิงเก่งรัฐแคลิฟอร์เนียผู้นี้เป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพ.ย.

เมื่อ 13 ส.ค. 63 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงาน นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จากพรรคเดโมแครต พร้อมกับนางคาเมลา แฮร์ริส เริ่มต้นการหาเสียงร่วมกันเป็นครั้งแรกทันที หลังจาก นางแฮร์ริส วุฒิสมาชิกหญิงคนเก่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้รับเลือกจากนายไบเดน ให้มาเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีเมื่อ 11 ส.ค. ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่จะต้องแข่งขันชิงชัยกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกันอีกสมัย ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย. นี้

นายไบเดน วัย 77 ปี และนางแฮร์ริส วัย 55 ปี ได้ขึ้นเวทีหาเสียงร่วมกันเป็นครั้งแรกที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ เมื่อ 12 ส.ค.63 ตามเวลาท้องถิ่น โดยไม่มีการเปิดให้ประชาชนทั่วไปมารับฟังการหาเสียงแต่อย่างใด เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดรุนแรงในประเทศ ทว่า นายไบเดน และนางแฮร์ริส ได้ก้าวสู่เวทีหาเสียงด้วยการสวมหน้ากากป้องกันเชื้อมรณะ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์รุนแรงในปัจจุบันที่สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญอยู่ รวมทั้งขอให้นักข่าวที่มารับฟังการหาเสียง มีการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและติดเชื้อโควิด-19 ด้วย

นายไบเดน ได้กล่าวเปิดตัวแนะนำ นางแฮร์ริส ส.ว.รัฐแคลิฟอร์เนีย คือ ผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้รับเลือกให้เป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีโดยพรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ‘การเลือกแฮร์ริส เป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดี เพราะเราต้องการให้การเลือกตั้งในเดือนพ.ย.นี้ เป็นการตัดสินใจอนาคตของอเมริกาในระยะยาวมากๆ’ นายไบเดน กล่าว พร้อมกับชี้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เริ่มโจมตีคาเมลาแล้ว แต่สำหรับเขานั้น ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจในการโอดครวญเหล่านั้นของทรัมป์ เพราะทรัมป์มีปัญหากับผู้หญิงเก่ง ที่มีความแข็งแกร่ง

ด้าน นางแฮร์ริส ในฐานะคู่ชิงรองประธานาธิบดีของนายไบเดน ได้ประกาศด้วยความมั่นใจว่า ‘ดิฉันพร้อมที่จะทำงาน’ เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เป็นผลลัพธ์ต่อเนื่องตามมาของอเมริกาอย่างแท้จริงในทุกๆ เรื่องที่เราเป็นห่วง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สาธารณสุข เด็กๆ รวมทั้งการจะให้เป็นประเทศแบบไหนที่พวกเราอาศัยอยู่

ขณะเดียวกัน นางแฮร์ริส ยังได้โจมตีรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างดุเดือดทันที จากการจัดการสถานการณ์โควิด-19 ผิดพลาด จนทำให้นอกจากจะมีชาวอเมริกันติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมากแล้ว สหรัฐฯ ยังต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ The Great Depression หรือเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปในช่วงปลายปี 1929

ที่มา : BBC, The Sun


“WeChat” ปัดไม่ได้รับผลกระทบ หากทรัมป์แบนแอปฯ ในสหรัฐฯ

หลังจากที่ทรัมป์เตรียมแบน “WeChat” และ “TikTok” ในอีก 45 วัน ทาง “WeChat” ก็ได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขว่าพวกเขาแทบไม่ได้รับผลกระทบหากทรัมป์แบนแอปฯ จริง

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า บริษัท เทนเซ็นต์ (Tencent) บริษัทวิดีโอเกมยักษ์ใหญ่ และเป็นเจ้าของแอปพลิเคชันพูดคุย “วีแชต” (WeChat) ได้ออกมาเปิดเผยรายได้ในช่วงไตรมาสที่สอง เมื่อช่วงวันพุธที่ 12 สิงหาคมว่า บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 โดยทางเทนเซ็นต์ยังได้กล่าวว่าพวกเขาได้ตรวจสอบคำสั่งพิเศษ “ห้ามบุคคลหรือบริษัทอเมริกันทำธุรกรรมใดๆ กับบริษัทเทนเซ็นต์” ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งในคำสั่งระบุว่าข้อบังคับนี้จะมีผลแค่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และพวกเขาไม่เห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการทำธุรกิจของพวกเขาในประเทศจีน เนื่องจากผู้ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นมีแค่ร้อยละ 2 ของผู้ใช้กว่าพันล้านคน

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายได้แสดงความกังวลว่าผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากคำสั่งครั้งนี้อาจจะไม่ใช่ทางแอปฯ “วีแชต” แต่เป็นบริษัทแอปเปิ้ล (Apple) ที่มีตลาดขนาดใหญ่ในประเทศจีน และหากชาวจีนไม่สามารถใช้แอปฯ “วีแชต” ได้จะทำให้พวกเขาหันไปซื้อโทรศัพท์รุ่นอื่นแทน โดยจากการคำนวณของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก คาดเดาว่าตลาดจีนทำเงินให้กับแอปเปิ้ลเป็นเงินมากกว่า 44,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือราวๆ ล้านล้านบาท

ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ก่อน นายทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษประธานาธิบดี ห้ามบุคคลหรือบริษัทอเมริกันทำธุรกรรมใดๆ กับบริษัท ไบต์แดนซ์ (ByteDance) ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของ ติ๊กต็อก (TikTok) และบริษัท เทนเซ็นต์ เจ้าของแอปพลิเคชัน “WeChat” จากจีน โดยคำสั่งดังกล่าวจะมีผลภายในระยะเวลา 45 วัน เว้นเสียแต่ทั้งสองบริษัทจีน จะขายกิจการให้กับบริษัทอื่น

โดยสาเหตุที่นายทรัมป์ได้ประกาศสั่งปิดแอปฯ จีนในสหรัฐฯ เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์มองว่าแอปพลิเคชันทั้งสอง เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจากกังวลว่าผู้ให้บริการอาจนำข้อมูลผู้ใช้ไปมอบให้กับรัฐบาลจีน เพื่อใช้ในการสอดแนมหรือข่มขู่เจ้าของข้อมูล ในขณะที่บริษัทแม่ของติ๊กต๊อกได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด

ฝนหนักถล่มกรุง ทำรถติดมหากาฬ ช่วงเวลาเลิกงาน

ฝนห่าใหญ่ถล่มกรุง ช่วงเย็นหลังเลิกงาน ทำเอาจราจรติดขัดเป็นอัมพาต น้ำท่วมเป็นจุดๆเ ดือดร้อนไปทั่ว ศูนย์ควบคุมระบบป้องกันน้ำท่วม กทม.ระบุมีฝนตกต่อเนื่อง ปริมาณฝนตกสะสมสูงสุดวัดได้ที่เขตคลองสามวา 55 มม. เขตพญาไท 50.5 มม. และเขตจตุจักร 49.5 มม.

สำหรับบรรยากาศสภาพการจราจรในเส้นทางต่างๆ หลังมีฝนตกลงมาอย่างหนักในหลายพื้นที่ทั่ว กทม. หลังเลิกงานสร้างความโกลาหลอลหม่านแก่บรรดาชาวออฟฟิศ ทั้งที่ถนนรัชดาฯ ฝั่งขาเข้า มีน้ำท่วมขังบนผิววการจราจร ช่องทางเลนซ้ายสูงเสมอฟุตปาท ตั้งแต่ซอยรัชดาภิเษก 36 จนถึงสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการค้าใหม่ ทำให้รถเคลื่อนตัวช้า ส่วนถนนลาดพร้าวขาเข้ามีปริมาณรถสะสมเคลื่อนตัวช้า เนื่องจากมีน้ำขังบนพื้นผิวจราจรเป็นช่วงๆ

ด้านถนนพหลโยธินขาออกมีปริมาณน้ำสูงขึ้นไปบนถนนฟุตบาท รถเล็กต้องเบี่ยงใช้ช่องทางขวาสุด

ได้ช่องทางเดียว ตั้งแต่ช่วงแยกเสนานิคมจนถึงหน้ากรมพัฒนาที่ดิน ทำให้มีรถสะสมเคลื่อนตัวช้าสลับหยุดนิ่งเป็นเวลานานกว่า 1 ชม. หัวแถวอยู่แยกเสนานิคม ท้ายแถวยาวเลยห้าแยกลาดพร้าวจนถึงสวนจตุจักร ระยะทางยาวกว่า 3 กิโลเมตร ทำให้การจราจรบนถนนรัชดาฯ ขาออก มีรถสะสมติดพันหัวแถวแยกรัชโยธิน ท้ายแถวศาล อาญา อย่างไรก็ตาม หลังฝนตกปริมาณน้ำขังได้ลดลงแต่การจราจรยังคงติดขัดอย่างหนัก

ส่วนที่ซอยโชคชัย 4 แขวงสะพานสอง เขตวังทองหลาง กทม. หลังฝนตกนาน 1 ชม. บริเวณปากทางเข้าตลาดโชคชัย 4 มีน้ำท่วมขังเสมอฟุตบาทเป็นระยะทางยาวประมาณ 100 เมตร ทำให้ประชาชนผู้สัญจรมีความลำบาก เนื่องจากเป็นถนน 2 เลน รถวิ่งสวน ทำให้รถเคลื่อนตัวช้าทั้งฝั่งขาเข้าและฝั่งขาออก ประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของในตลาดโชคชัย ต้องเดินลุยน้ำเข้าออกตลาดอย่างทุลักทุเลสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก