ข่าว
'ดุสิตโพล'ชี้บทเรียนที่ดี 'คสช.บริหารประเทศ'

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง "บทเรียนทางการเมือง ที่คนไทยไม่เคยลืม" จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,476 คน ระหว่างวันที่ 1-7 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่าบทเรียนทางการเมือง “ดี ๆ” ที่คนไทยไม่เคยลืม ร้อยละ 84.55 ระบุ คสช.เข้ามาดูแลบริหารประเทศ ยุติความขัดแย้ง บ้านเมืองสงบ รองลงมาร้อยละ 76.42 ระบุการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยและการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ

ขณะที่บทเรียนทางการเมือง “ร้าย” ที่คนไทยไม่เคยลืม ร้อยละ 88.21 ระบุเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ขณะที่ร้อยละ 82.93 ระบุความขัดแย้งแตกแยกของประชาชน ปิดสนามบิน 2551 เผาเซ็นทรัลเวิลด์ 2553 ร้อยละ 79.88 การทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมือง ทุจริตจำนำข้าว และร้อยละ 77.85 ระบุการปฏิวัติ รัฐประหาร

เมื่อถามว่าบทเรียนทางการเมืองที่อยากให้ “คนไทยนำมาใช้ ณ วันนี้” ร้อยละ 86.79 ระบุคนในชาติต้องรักกัน มีความสามัคคีปรองดอง ร้อยละ 83.13 ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน มีความซื่อสัตย์สุจริต ขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคม และร้อยละ 70.33 ควรแสดงออกทางการเมืองอย่างถูกต้องและเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 69.92 เห็นว่า คนไทยลืมง่าย หน่ายเร็ว เช่น การทุจริตของนักการเมือง การเคลื่อนไหวชุมนุม คดีสำคัญ ๆ เหตุการณ์ไม่ดีต่าง ๆ เป็นต้น.

ในหลวง เสด็จฯ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา

เมื่อเวลา 15.36 น. วันที่ 9 มี.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินลงจากอาคารที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นเสด็จฯ ประทับรถตู้พระที่นั่ง ไปยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อทรงทอดพระเนตรโครงการส่วนพระองค์ และทรงติดตามความก้าวหน้าของ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ท่ามกลางพสกนิกรที่ทราบข่าวต่างเฝ้ารอรับเสด็จตลอดเส้นทางที่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่านภายในโรงพยาบาลศิริราช

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์เชิร์ตลายสกอตสีเหลืองแขนสั้น ทรงมีพระพักตร์ที่แจ่มใส ขณะที่รถตู้พระที่นั่งแล่นผ่าน พสกนิกรที่เฝ้ารอรับเสด็จต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแย้มพระสรวล พร้อมกับโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนที่มารอเฝ้ารับเสด็จ

จากนั้นเวลา 15.49 น. รถตู้พระที่นั่ง ถึงยังสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อเสด็จฯ ถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ยังโรงสีข้าวเพื่อทอดพระเนตรเครื่องสีข้าวใหม่ที่บริษัทเอกชน น้อมเกล้าฯ ถวายเมื่อปี พ.ศ. 2556 ก่อนเสด็จฯ ไปประทับที่บ้านพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถ และเสวยพระสุธารส ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับยังที่ประทับ ณ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช.


เด้งผู้การโคราชเซ่นพิษตั้งด่านขัดนโยบาย

เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก ผบช.ภ.3 ได้มีคำสั่งหนังสือด่วนที่ 426/2558 ให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน ลงวันที่ 11 มีนาคม 2558 ให้ พล.ต.ต.ฐากูร นัทธีศรี ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา และ พ.ต.อ.ปฏิยุทธ สิงห์สมโรจน์ ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 3 (ศปก.ภ.3) โดยขาดจากตำแหน่งและหน้าที่ทางสังกัดเดิม ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค.2558 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งแต่งตั้งให้ พ.ต.อ.วณัฐ อรรถกวิน รอง ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา รักษาราชการ ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา และ พ.ต.อ.บุญเลิศ ว่องวัจนะรอง ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา รักษาราชการ ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา

ด้าน พล.ต.ท.พิสัณห์ ผบช.ภ.3 เปิดเผยว่า การสั่งย้าย พล.ต.ต.ฐากูร และ พ.ต.อ.ปฏิยุทธ ให้มาช่วยราชการที่ ศปก.ภ.3 เนื่องจากพบว่ามีการตั้งด่านที่ไม่ถูกต้องตามนโยบาย ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ตนได้ให้นโยบายชัดเจน และมีการสั่งกำชับไปยังตำรวจภาค 3ทุกหน่วยในเรื่องการตั้งด่านตามถนนหนทาง ว่าให้เน้นเรื่องความมั่นคงมากกกว่าเรื่องการจราจร โดยกำชับว่าทุกครั้งที่ตั้งด่านต้องมีป้ายชื่อผู้รับผิดชอบด่าน พร้อมทั้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อติดให้เห็นเด่นชัดทุกครั้งอีกทั้งยังย้ำด้วยว่าการตั้งด่านอย่าให้ประชาชนเดือดร้อนการตั้งด่านต้องเน้นตรวจอาชญากรรมและความมั่นคงไม่ใช่ตั้งด่านเพื่อหวังค่าปรับจราจร

ดังเช่นที่เคยถูกกล่าวหาว่าตำรวจในพื้นที่ตั้งด่านจำนวนมาก เพื่อหวังรายได้จากค่าปรับซึ่งที่ผ่านมาเคยคาดโทษไปแล้วว่าใครไม่ทำตามนโยบายจะลงโทษและสั่งมาช่วยราชการที่ภาค 3

พล.ต.ท.พิสัณห์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.กัมปนาท ฐาตุจิรางค์กูล ผกก.สภ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา มาช่วยราชการที่ ศปก.ภ.3 โดยไม่มีกำหนดเช่นกัน พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงด้วย

เนื่องจากตนไปตรวจเยี่ยมที่โรงพักแล้วไม่อยู่ สอบถามก็อ้างว่าอยู่ที่่ กทม.แต่จากการสืบสวนทางลับพบว่าอยู่ที่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน และมักเดินทางไปที่นั่นบ่อยๆ ชอบทำกิจกรรมที่นั่น เมื่อตรวจสอบย้อนหลังก็พบว่า พ.ต.อ.กัมปนาท ไม่ค่อยอยู่โรงพัก แม้แต่ครั้งที่แขกคนสำคัญจากประเทศเพื่อนบ้านเดินทางเข้าพื้นที่ก็ไม่อยู่ต้อนรับตนจึงสั่งให้ช่วยราชการและให้ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ช่วงที่ไม่อยู่โรงพักไปไหน หากพบว่ามีความผิดจริงตามที่สืบสวนพบก็จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อไป.


ชาวพุทธโวย ร้านสุกี้ไต้หวันแต่งร้านด้วยเศียรพระ

เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ กรณีเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา แฟนเพจบีบีซีไทยได้นำเสนอภาพร้านอาหารแห่งหนึ่งในไต้หวัน ซึ่งใช้พระพุทธรูปในการแต่งร้านกว่า 200 เศียร ทำให้หลายคนมองว่า เป็นความไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากพระพุทธรูปเป็นสิ่งที่ชาวไทยเคารพ กราบไหว้ บูชาเสมือนเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า และอาจทำให้ศาสนาเสื่อมเสียจากการกระทำดังกล่าว ทั้งนี้ชาวพุทธที่อาศัยอยู่ที่กรุงไทเป ได้เข้าร้องเรียนกับทางองค์กรโนอิ้งบุดด้า เพื่อการปกป้องพระพุทธศาสนา (KnowingBuddha Organization- KBO) พร้อมทั้งเรียกร้องให้ชาวไทยพุทธทุกคน ร่วมรณรงค์ให้หยุดการกระทำอันเป็นการดูหมิ่นพุทธศาสนาและสุดสลดหดหู่ใจนี้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” ได้รับการเปิดเผยจาก อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล ปธ.องค์กรโนอิ้งบุดด้า ว่า ขณะนี้เตรียมยื่นหนังสือถึงสำนักพุทธศาสนาในไต้หวัน ให้หยุดยั้งกรณีร้านภัตตาคารสุกี้ในไทเปชื่อ “TienShui Yueh Hotpot” ใช้พระพุทธรูปกว่า 200 เศียรมาประดับทั่วร้าน เพื่อตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศคล้ายกับวัดพุทธ ซึ่งอ้างว่าให้ลูกค้าเกิดความสว่างและสงบขณะรับประทานอาหาร นอกจากนี้องค์กรฯ ยังส่งจดหมายประท้วงไปยังผู้บริหารร้านสุกี้อีกด้วย โดยขอให้ปลดเศียรพระออกทั้งหมด เพื่อเป็นการหยุดยั้งการกระทำที่ลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้

“ชาวพุทธผู้ศรัทธาต้องเข้าใจถึงคำว่า ปล่อยวาง มิใช่ปล่อยปละละเลย แต่ยังมีคนบางกลุ่มพยายามทำตนทวนกระแสว่า เป็นเพียงอิฐหินปูนทราย เป็นสิ่งที่น่าสลดใจมากที่ความฉาบฉวยและการปล่อยปละละเลยทำให้การลบหลู่รุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งนี้ทางองค์กรฯได้เริ่มทำการรณรงค์ผ่าน www.5000s.org เพื่อล่ารายชื่อสนับสนุนแสดงพลังของชาวพุทธโดยตั้งเป้าไว้ที่ 500 รายชื่อ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมลงรายชื่อเกือบ 200 รายชื่อแล้ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง” ปธ.องค์กรโนอิ้งบุดด้า กล่าว

ขณะที่ ดร.สมชาย สุรชาตี โฆษกสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว หรือมีองค์กรใดติดต่อเข้ามาร้องเรียน แต่หากมีทางสำนักพุทธศาสนาก็จะต้องดำเนินการส่งหนังสือไปยังกระทรวงต่างประเทศ เพื่อให้สถานทูตที่ประจำอยู่ในประเทศนั้น ๆ เป็นผู้ดำเนินการชี้แจงเหตุผล ของความไม่เหมาะสมทั้งหมด เนื่องจากสำนักพุทธศาสนาไม่มีองค์กรประจำอยู่ที่ต่างประเทศ


แชร์ป้ายไอเดียเก๋ 'รู้มาก-ดีแต่พูด-สุมไฟ' ลาออกซะ

เมื่อวันนี้ 11 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ที่องค์การบริหารส่วนตำบลกระแชง อ.สามโคก จ.ปทุมธานี มีการติดป้ายประกาศขอยกเลิกการว่าจ้างพนักงานจำนวนหลายอัตราไว้ที่ด้านหน้าสำนักงาน แต่ข้อความในป้ายกลับสร้างแปลกใจให้กับพนักงานและประชาชนที่ผ่านมาพบเห็น จึงรุดไปตรวจสอบ กระทั่งพบป้ายไวนิลขนาดกว้าง 70 ซม. ยาว 1 เมตร ติดเด่นหราอยู่ ซึ่งระบุว่า

"ประกาศ..อบต.มีความจำเป็นต้องยกเลิกจ้างพนักงานดังต่อไปนี้..1.แผนกพูดอย่างเดียว (แต่ไม่ทำ) 2.แผนกเดินเล่น (แต่ทำตัวเหมือนยุ่ง แต่ไม่ทำงาน) 3.แผนกรู้มากเกินไป (ทำตัวเหมือนรู้มาก คนนั้นควรทำอย่างนี้คนนี้ต้องทำอย่างนั้น) 4.แผนกเผือก (อยากรู้เรื่องชาวบ้านวิจารณ์ไปทั่ว อยากรู้ทุกเรื่องไม่รู้อย่างเดียวคือเรื่องตัวเอง) และ5.แผนกเบนซิน (ชอบใส่ความ จุดไฟเผาทำให้เพื่อนร่วมงานทะเลาะกัน หากผู้ใดรู้ตัวว่าอยู่ในแผนกต่างๆเหล่านี้ให้ไปเขียนใบลาออกที่บุคลากร" ซึ่งทำให้ผู้ที่สงสัยรู้สึกสนใจขึ้นมา ก่อนจะใช้สมาร์ทโฟนถ่ายบันทึกป้ายประกาศ พร้อมทั้งแชร์ส่งต่อไปในโลกออนไลน์จนแพร่หลาย

จากนั้นได้ติดต่อสอบถามถึงที่มาไปยัง นายไวพจน์ เอี่ยมสะอาด นายก อบต.กระแชง จนได้ความกระจ่างว่า เป็นไอเดียของตนเอง ซึ่งป้ายนี้ถูกติดไว้ที่ด้านหน้าและด้านหลังของสำนักงาน ไว้สำหรับให้พนักงานผ่านมาอ่านได้ทุกวัน เป็นกุศโลบาย เพื่อเตือนสติให้แต่ละคนพึงสำนึกเอาไว้ว่า เราเป็นข้าราชการพนักงานบ้านเมือง ต้องทำพฤติกรรมให้เป็นแบบอย่างแก่พี่น้องประชาชน ควรมีจริยธรรม คุณธรรม และจิตสำนึกต่อองค์กร รวมทั้งเพื่อนร่วมงานด้วย ไม่เช่นนั้นมันจะเกิดความแตกแยก ไร้สามัคคี แค่อยากให้ทำงานอย่างมีความสุขกันเท่านั้น แต่หากใครทำไม่ได้หรือรู้ว่าตนเองตรงกับข้อใดข้อหนึ่งก็เตรียมตัวโดนเลิกจ้างได้เลย เพราะงานที่นี่ไม่เหมาะสมกับคุณ แต่หลังจากติดมา 2 วัน ยังไม่มีพนักงานรายใดมาเขียนใบลาออกเลย

“อำนาจ” ชนะแต้ม “ซู ชิหมิง” ป้องแชมป์ไว้ได้

ศึกกำปั้นโลก “เดอะ โชว์ดาวน์ แอต แซนด์ส” ที่โคไท อารีน่า เวเนเชียน รีสอร์ท เขตปกครองพิเศษมาเก๊า สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยคู่เอก เป็นการป้องกันแชมป์สหพันธ์มวยนานาชาติ (ไอบีเอฟ) รุ่นฟลายเวต (112 ปอนด์) ระหว่าง “เจ้าเพชร” อำนาจ เกษตรพัฒนา เจ้าของตำแหน่งชาวไทย ซึ่งได้ค่าตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของวงการมวยโลกเมืองไทย 4 แสนเหรียญสหรัฐ (ราวๆ 12 ล้านบาท) พบกับ ซู ชิหมิง ซูเปอร์สตาร์ชาวจีน ได้ค่าตัวสูงสุด 7 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 21 ล้านบาท) ปรากฎว่า เมื่อชกกันครบ 12 ยก อำนาจ เป็นฝ่ายชนะคะแนน อย่างเป็นเอกฉันท์ 116-111 คะแนน ทั้งสามเสียง ป้องกันแชมป์โลกไว้ได้อย่างงดงาม ถือเป็นการพลิกความคาดหมายต่อเกจิทุกสำนัก ที่เชื่อว่าหากการชกครบยก นักชกไทยจะต้องเสียแชมป์โลกในเมืองจีน

ส่วนผลมวยประกอบรายการคู่อื่นๆ ที่น่าสนใจ มีดังนี้ ปฐมศึก เกษตรพัฒนา แพ้น็อก อิ๊ก หยาง นักชกชาวจีน ยก 6, ชิงชัย เกียรติประชา แพ้น็อก คุ๊ก คุน นักชกชาวมาเก๊า ยก 3, เร็ก โซว มวยสร้างจากฮ่องกง ชนะคะแนน ไมเคิล เอ็นริเกซ (ฟิลิปปินส์) ไปแบบหวุดหวิด และ เกล็น ทาเปีย (สหรัฐฯ) ชนะน็อก แดนเนียล ดอว์สัน (ออสเตรเลีย) ยก 3 คว้าแชมป์ WBO NABO รุ่นจูเนียร์มิดเดิ้ลเวต ไปครอง.