วันที่ 11 กันยายน 2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงการคัดเลือกประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ขณะนี้มีรายชื่อประธานฯและกรรมการร่างฯ ไว้ในใจแล้ว ซึ่งต้องนำไปหารือกับคณะทำงานและ คสช.ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ ส่วนโควต้าให้นักการเมืองเข้ามาร่วมในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศนั้น ต้องถามว่าจะมีใครเข้าร่วมหรือไม่ หากมีก็ขอให้เสนอมา ตนจะเป็นผู้พิจารณาด้วยตนเอง หากไม่เข้ามาก็ขออย่าวิจารณ์รัฐธรรมนูญ
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวนายเก่งการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.ดอนเมือง พรรคเพื่อไทย เข้าปรับทัศนคตินั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนมองว่ามีแนวโน้มในการสร้างความเข้าใจผิด ซึ่งในเรื่องนี้มีกฏหมายดูแลอยู่แล้ว ที่ผ่านมาปัญหาเกิดขึ้นเพราะคนไม่เคารพกฏหมาย ยืนยันตนใช้กฏหมายกับผู้กระทำผิดไม่ใช่กับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งกรณีของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้อภัยมาหลายครั้งแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นพิจารณาหากคุยไม่รู้เรื่องก็ต้องดำเนินคดีเพราะสิ่งทีทำนั้นผิดกฏหมาย แต่ที่ผ่านมาให้อภัยเนื่องจากความเมตตาเหมือนในเรื่องสามก๊ก หากใครที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดที่ผ่านมาไม่ควรให้คำแนะนำแต่ควรส่งเสริมตนในการแก้ไขปัญหา ข้อร้องอย่ามาต่อต้านให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด เพราะตนทำทุกอย่างให้ทุกคนและไม่เคยฝืนกระบวนการประชาธิปไตยในอนาคต พร้อมย้อนถามกลับว่าจะมารังเกียจตนได้อย่างไร ตนเข้ามาทำหน้าที่ได้ 2 ปีแล้ว
ทั้งนี้ เบื้องต้นได้มีการควบคุมตัวนายเก่งการุณ 7 วันตามกฏหมาย ข้อหาที่ทำให้เกิดความไม่สงบหลังจากนั้นจะอยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารทำหน้าที่แค่เชิญตัวมาเท่านั้น ขณะเดียวกันยืนยันว่าใช้กฏหมายตามปกติเพราะพิจารณาแล้วคำพูดมีความผิดจริง จึงขอให้ความเป็นธรรมกับคนทำงานบ้าง
วันที่ 10 กันยายน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กโต้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า
ผมได้รับทราบการแสดงความคิดเห็นของ ท่านนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ที่มีต่อ "โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล" และ "โครงการรถยนต์คันแรก" ด้วยความประหลาดใจในความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมากต่อ โครงการทั้งสอง ซึ่งผมคาดเดาว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะท่าน ได้รับฟังข้อมูลที่บิดเบือนจากทีมเศรษฐกิจชุดก่อน ที่ผมเคยให้ฉายาว่า
"รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง" ซึ่งก็เป็นชุดที่ถูกท่านปลดออกไปหมาดๆการถอดทีมเศรษฐกิจชุดก่อนออกไปนั้นน่ะถูกต้องแล้วครับ เพราะไม่มีฝีมือในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ให้ประเทศสามารถบรรลุวัตถุประสงค์หลักทางเศรษฐกิจ 3 ประการ อันได้แก่ (1) การเจริญเติบโต (2) ความมีเสถียรภาพของราคา และ (3) การกระจายรายได้ของประชาชน แล้วใช้วิธีแก้ตัว ด้วยการเอาแต่โยนความผิดให้รัฐบาลก่อน จนเกิดความเข้าใจผิดอย่างฝังใจมาจนถึงวันนี้
ผมจึงขอให้ความกระจ่าง ในทั้งสองประเด็น ดังนี้นะครับ "โครงการรับจำนำข้าวเปลือก" เป็นโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ที่มุ่งดูแลชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังที่กำลังผุกร่อนของชาติ โดยมีจำนวนชาวนาที่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมของโครงการฯ จำนวนถึงกว่า 3.7 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นประชากรกว่าร้อยละ 23 ของประชากรทั้งประเทศ การรับจำนำข้าวในราคาที่ถูกกล่าวหาว่าสูงเกินสมควรนั้น ถือว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต และรายได้สุทธิ ที่พวกเขาชาวนาผู้มีพระคุณของเราควรได้รับ
โครงการรับจำนำข้าวเปลือก เป็นโครงการที่ดี และมีความคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม...ภายใต้การบริหารการเงินและการคลังที่มีวินัยอย่างดี ทั้งในประเด็นระดับหนี้สาธารณะ และการบริหารงบประมาณของรัฐบาล
สำหรับ "โครงการรถคันแรก" นั้น ผมเคยอธิบายแล้วหลายครั้ง ทั้งในช่วงที่ยังอยู่ในหน้าที่ รัฐมนตรีคลัง และเมื่อหมดหน้าที่แล้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่เมื่อยังคงมีความเข้าใจผิดอยู่ ผมก็มีหน้าที่ต้องอธิบายอีกครั้ง
"โครงการรถคันแรก" นอกจากจะช่วยส่งเสริมโรงงานประกอบรถยนต์ ขนาดคันเล็กๆ ที่ประหยัดการใช้พลังงานให้ลงหลักปักฐานในประเทศไทย แทนที่จะยกขบวนไปอยู่ประเทศอื่นหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 แล้ว ยังช่วยให้ผู้คนจำนวนหนึ่งสามารถมีรถยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิตเป็นของตนเองได้ในราคาสุทธิที่ไม่สูงนัก ด้วยการที่รัฐ มอบคืนภาษีสรรพสามิต ที่ผู้ซื้อรถเป็นคันแรกของชีวิต และต้องเป็นรถขนาดเล็กสมแก่ฐานะอันไม่ฟุ่มเฟือยเท่านั้น ให้ได้รับคืนภาษีฯ ในจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท จากค่าภาษีฯ ที่ตนเองชำระไว้เต็มจำนวนเมื่อแรกซื้อ กลับคืนไปเมื่อถือครองใช้ประโยชน์ของรถครบหนึ่งปีเต็ม ไม่นำไปขายต่อให้กับคนอื่น
"หมอพรทิพย์" เผยหลังเป็นพยานขึ้นศาลจังหวัดเกาะสมุย คดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า ยัน DNA ที่ด้ามจอบไม่ตรงกับจำเลยพม่าทั้ง 2 คน ย้ำ แค่แจงข้อมูลตามที่ตรวจพบ ไม่ต้องการขัดแย้งใคร
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 11 ก.ย. 58 ภายหลังศาลจังหวัดเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้มีการนัดสืบพยานจำเลย เป็นนัดที่ 2 โดยทางทนายฝ่ายจำเลย สภาทนายความได้ มีการเบิกความสืบพยานฝ่ายจำเลย ซึ่งเป็น พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลังจากมีการสืบพยาน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ หลังจากที่มีการสืบพยานจำเลยปากนี้ตลอดทั้งวัน
ล่าสุดหลังเสร็จการสืบพยาน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ออกมาระบุถึงผลการตรวจวัตถุพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นจอบที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าเป็นอาวุธที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุ โดยที่ก่อนหน้านี้ ทางทีมทนายจำเลย ได้ร้องขอต่อศาลจังหวัดเกาะสมุย ให้มีการตรวจพยานหลักฐานซ้ำอีกครั้ง โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ส่งจอบและตัวอย่าง DNA จำนวน 3 ตัวอย่าง ให้กับทางทนายความ ฝ่ายจำเลย โดยมีตัวอย่าง DNA ของ นายซอลิน จำเลยที่ 1 นายเวพิว จำเลยที่ 2 และตัวอย่าง DNA ของ นายเมา เมา เพื่อนของจำเลยทั้ง 2 ซึ่งหลังจากที่ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นำจอบเล่มดังกล่าว เพื่อตรวจหา DNA ที่ด้ามจอบ ว่า ผลตรวจพบตัวอย่าง DNA จำนวน 2 ตัวอย่าง ซึ่งระบุได้ว่าเป็นของผู้ชาย แต่เมื่อนำตัวอย่างที่พบที่ด้ามจอบทั้ง 2 ตัวอย่าง ไปเปรียบเทียบกับตัวอย่าง DNA ของจำเลยทั้ง 2 คน รวมถึงของ นายเมา เมา ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งมาให้ กลับพบว่าไม่ตรงกับ DNA ของจำเลยทั้ง 2 จึงเชื่อได้ว่า DNA ที่ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจพบที่ด้ามจอบเป็นของบุคคลอื่น ไม่ใช่ของจำเลยทั้ง 2 คน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ทางสถาบันตรวจพบจะตรงกับที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ทราบ แต่ที่ออกมายืนยันแบบนี้ เพราะไม่อยากให้มีความขัดแย้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพียงแต่บอกว่าสิ่งที่สถาบันตรวจพบคืออะไร.
CBS. Los Angeles สื่อที่มีอิทธิพลที่สุดของอเมริกา ทำการรวบรวมแหล่งขายสินค้าอาหาร แต่ละชาติที่ดีที่สุดใน Los Angeles ให้การยกย่อง ตลาด LAX-C เป็นตลาดไทยที่ดีและมีคุณภาพที่สุดของคนไทยใน Los Angeles
จากการรวบรวมและค้นหาตลาดจำหน่ายสินค้านานาชาติ ซึ่งมีตลาดขายอาหาร อิสราเอลไปจนถึงอาหารเม๊กซิกัน แล๊ค-ซี ซุเปอร์มาร์เก็ต ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอาหารสดและอาหารกระป๋อง ในบริเวณไชน่าทาวน์ ของ แอลเอ. ได้รับการยกย่องให้เป็นตลาดที่ดีที่สุดของคนไทยในแคลิฟอร์เนีย
ผู้สื่อข่าว CBS กล่าวว่า LAX-C เปรียบเหมือน Costco เวอร์ชั่นไทย โดยมีเหตุผลที่ดีว่ามีสินค้าประเภทอาหารทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ ครบเกือบทุกชนิด ตั้งแต่แชมพูสระผมไปจนถึงข้าวเกรียบกุ้งคาลบี้ สินค้าต่างๆ ถูกจัดไว้ในที่ทางอย่างมีระเบียบ ต้องใช้รถฟอร์คลิฟท์ มาช่วยในการจัดวางเรียงซ้อนกันไปตามช่องทางเดินต่างๆ แต่เป็นที่สะดวกสำหรับลูกค้าที่จะเลือกซื้อสินค้าแต่ละประเภท อาหารสดและอาหารทะเล เช่น เนื้อ หมู ไก่ กุ้ง ปลาสด จะถูกแยกไว้แผนกหนึ่ง อาหารแช่แข็ง เพื่อรักษาคุณภาพให้คงทนจะเรียงรายกันไว้ในตู้แช่แข็ง อย่างเป็นระเบียบ
บริเวณด้านหลังของตลาด จะมีสินค้าและเตรื่องตบแต่งร้านอาหารไทย ขนาดใหญ่ ที่บรรจุผลิตภัณฑ์ ของ OTOP จากประเทศไทยมาวางไว้จำหน่าย เรียกได้ว่า ถ้ามาตลาดแล๊ค-ซี เพียงแห่งเดียว ก็จะซื้อของได้ครบทุกอย่างที่ต้องการ
ผู้สื่อข่าว CBS ได้สอบถามความเป็นมาของตลาดแล๊ค-ซี จากนายนิด ศิริกุล ผู้จัดการใหญ่ บริษัท แล๊ค- ซี ได้ความว่า แล๊ค-ซี ซุเปอร์มาร์เก็ต ก่อตั้งมาได้เกือบ 40 ปีแล้ว โดยเริ่มต้นจากเป็นบริษัทขายส่งสินค้าอาหารชื่อ A.C.PRODUCTS บนถนน Avalon ในลอสแอนเจลิส ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่ถนน 5 ตัดกับ Alameda Ave ในชื่อ บริษัท L.A.GROUP พร้อมทั้งเปิดตลาด LA. ซุเปอร์มาร์เก็ต บนถนน Spring st. ในไชน่าทาวน์
ใน คศ.1995 (เมื่อ 20 ปีที่แล้ว) ได้เปิดเป็นตลาดแล๊ค-ซี ซุเปอร์มาร์เก็ต เลขที่ 1100 North Main st.Los Angeles CA.90012 ซึ่งเป็นที่ตั้งถึงปัจจุบันนี้ โดยเปิดบริการ ขายสินค้าในราคาขายส่ง ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าตลาดทั่วไป จึงได้รับความนิยมจากเจ้าของร้านอาหารไทย จีน เขมร และเวียตนาม มาซื้อสินค้าจากตลาดแห่งนี้
ใครที่สนใจในสินค้าอาหารไทยต่างๆ โทรศัพท์สอบถามได้จากเจ้าหน้าที่ ที่หมายเลข (323-343-9000) เปิดบริการทุกวัน วันจันทร์ถึงวันเสาร์เวลา 08.00 น. - 20.00 น. วันอาทิตย์ เปิดบริการ 08.00 น. - 17.00 น.
นายนิด กล่าวต่อไปว่า ทีบริเวณตลาดแล๊ค-ซี ยังประกอบไปด้วย ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดรสเลิศ ชื่อ E-Z FRESH ร้านกาแฟแบบอเมริกัน ชื่อร้าน CHIMNEY และ ร้านจำหน่ายขนมไทยทุกชนิด ชื่อร้านทองหล่อ
หญิงชาวจีน ต้องสงสัยแอบสับเปลี่ยนเพชร ในงานที่เมืองทองธานี สารภาพกลืนเพชร 6 กะรัต ค่าประมาณ 10 ล้านบาท ลงท้อง หลังผลเอกซเรย์พบวัตถุบริเวณลำไส้ใหญ่ จนท.ให้กินยาถ่าย ...
จากกรณี นายเหอยิง กับนางเจียง ซูเหลียง นักท่องเที่ยว สัญชาติจีน เดินทางไปงาน “บางกอก เจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์” ที่เมืองทองธานี จ.นนทบุรี และขอดูเพชรจากร้านที่ออกบูธ ก่อนอาศัยช่วงพนักงานเผลอสับเปลี่ยนเพชร ส่งเพชรปลอมคืนให้พนักงานขาย จากนั้นเดินทางไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องออกนอกประเทศ แต่ถูกเจ้าหน้าที่สกัดจับได้ แต่ให้การปฏิเสธ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และจากการตรวจค้น ก็ไม่พบเพชรที่หายไป แต่พนักงานของร้านชี้ตัวยืนยัน พร้อมกับมีภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ได้ ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด จึงขออนุมัติหมายจับ นำตัวไปสอบสวนต่อ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมาวันที่ 11 กันยายน พ.ต.ท.มานะ เทียนเมืองปัก หัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สภ.ปากเกร็ด นำตัวนายเหอยิง และนางเจียง มาสอบปากคำอีกครั้ง โดยมีการติดต่อล่ามช่วยแปลภาษาจีน เบื้องต้น ทั้งสองให้การว่า เดินทางมาจากมณฑลหูหนาน ประเทศจีน โดยไม่รู้จักกันมาก่อน แต่มาเจอ และรู้จักกันภายในงานแฟร์ดังกล่าว ยืนยันว่าไม่ได้เอาเพชรไป เพียงแต่ขอดูเท่านั้น โดยใช้เวลาสอบประมาณ 2 ชม. จากนั้น เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวทั้ง 2 คน เดินทางไปยังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อตรวจหาดีเอ็นเอจากเพชรปลอม และนำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง ก่อนจะนำเข้าเครื่องตรวจเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ซึ่งจากการตรวจสอบแผ่นฟิล์ม พบว่ามีวัตถุรูปทรงคล้ายเพชร อยู่ในระบบช่องทางเดินอาหารของนางเจียง จึงพาตัวทั้งสองคนกลับไปที่ สภ.ปากเกร็ด เพื่อเตรียมการถ่ายยา และรอตรวจอุจจาระ เพื่อตรวจหาเพชร พร้อมประสานให้ผู้จัดงานนำเครื่องมือตรวจสอบเพชรไปตรวจพิสูจน์อีกครั้ง
กระทั่งเวลาประมาณ 22.00 น. พนักงานสอบสวนได้นำตัวนางเจียง ไปสอบปากคำเพิ่มเติม และนางเจียงได้ยอมรับสารภาพว่า ได้กลืนเพชรลงไปในท้อง ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นำยาถ่ายมาให้กิน เพื่อให้นางเจียงถ่ายออกมา ก่อนส่งตัวทั้งคู่ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.
“การอุ้มบุญ” ในประเทศแถบเอเชีย โดยเฉพาะจีนและไต้หวัน ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรง เพราะขัดแย้งต่อศีลธรรมดีงามและวัฒนธรรมของชาวตะวันออก คนเชื้อสายจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าร่างกายของผู้หญิงไม่ใช่สิ่งที่พึงซื้อขายกันได้ แต่เมืองไทยยังไม่มีกฎหมายชัดเจนเรื่องนี้ การอุ้มบุญในประเทศไทยจึงได้รับความนิยมเติบโตรวดเร็ว ก่อนจะเกิดเรื่องใหญ่โตจนต้องซาๆกันไป
สำหรับคู่สามีภรรยาชาวจีน การจะสร้างครอบครัวอบอุ่นได้ หลังแต่งงานแล้วจะต้องมีลูกไว้สืบสกุลเท่านั้น สะใภ้บ้านไหนไม่มีหลานให้อากงอาม่าอุ้ม ถือว่าบกพร่องอย่างแรง สมัยก่อนเวลาดูตัวเลือกคู่ให้ลูกชาย คนจีนจะเน้นเรื่องความพร้อมของผู้หญิงในการเป็นแม่ ลูกสาวบ้านไหนมดลูกฝ่อไม่แข็งแรงมีลูกไม่ได้ ก็ขายออกยาก
นอกจากเถ้าแก่ชาวจีนจะแห่กันไปซื้อที่ทางและอสังหาฯในอเมริกาอย่างคึกคัก เพราะมีเงินถุงเงินถัง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ชาวจีนยังนิยมเดินทางไปอเมริกาเพื่อใช้บริการอุ้มบุญซะด้วย!! โดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น มันนี่ รายงานเจาะลึกว่า กระแสนิยมนี้เกิดขึ้นแบบปากต่อปากในหมู่เศรษฐีชาวจีน โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีนี้ คนจีนแห่กันไปอุ้มบุญในอเมริกาอย่างล้นทะลัก เนื่องจากกฎหมายอเมริกาเปิดเสรีสำหรับเรื่องนี้ แถมยังมีวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทันสมัย ปลอดภัยเชื่อถือได้ แม้แต่คู่รักเกย์ชาวจีน ก็เห่อการอุ้มบุญในอเมริกาเช่นกันผลพลอยได้ที่เหมือนแจ๊กพอตก็คือ เด็กอุ้มบุญที่เกิดจากการฝากท้องหญิงอเมริกัน จะได้ซิติเซ่นเป็นพลเมืองอเมริกันอย่างอัตโนมัติ และตามกฎหมายอเมริกา พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้ก็จะมีสิทธิ์ได้รับกรีนการ์ดทันทีเมื่อเด็กอายุครบ 21 ปีเต็ม
“จอห์น เวลท์แมน” ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเซอร์เคิล เซอร์โรเกซี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้คร่ำหวอดการให้บริการอุ้มบุญของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเมืองบอสตัน บอกเล่าถึงปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นว่า นิสัยของคนจีน เมื่อเห็นอะไรฮิตก็จะแห่ตามๆกันจนกลายเป็นแฟชั่น ซึ่งพฤติกรรมนี้กำลังระบาดหนักมาถึงการอุ้มบุญในอเมริกา โดยกระบวนการอุ้มบุญแต่ละครั้งจะอาศัยเวลาราว 15 เดือน สนนราคาค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 130,000-150,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยราว 4.55-5.25 ล้านบาท โดยคู่สามีภรรยา เสียเวลาบินไปอเมริกาแค่ไม่กี่ครั้ง ก็จะได้สมหวังมีทายาทไว้สืบสกุล เฉพาะสถาบันแห่งนี้ได้ให้บริการอุ้มบุญแก่คู่สามีภรรยาชาวจีนไปแล้วหลายร้อยคู่ และทุกวันนี้ 40% ของลูกค้าก็ล้วนแต่เป็นคนจีนถ้าขืนแจ้งรัฐบาลจีนตรงๆว่าจะไปอุ้มบุญในอเมริกา ก็คงอดได้วีซ่ากันพอดี คู่สามีภรรยาชาวจีนจึงนิยมขอวีซ่าท่องเที่ยวธรรมดาๆ ซึ่งปกติแล้วสามารถใช้บริการทางการแพทย์ในอเมริกาได้ด้วย หลายคู่รักชาวจีนยังนิยมไปอุ้มบุญกันที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เพราะกฎหมายรัฐนี้เจ๋งเป้ง ให้อภิสิทธิ์พ่อแม่ของเด็กอุ้มบุญเหนือกว่ารัฐอื่นๆ อันดับแรกเลยคือ พ่อแม่แท้ๆของเด็กสามารถเซ็นชื่อรับรองบุตรในใบเกิดได้ทันที แต่ถ้าเป็นรัฐอื่นๆอาจยุ่งยากซับซ้อนกว่านี้มาก เรื่องนี้สำคัญจริงๆ เพราะเป็นตัวบ่งบอกสิทธิการเป็น พ่อแม่ของเด็กอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่ออุ้มลูกกลับเมืองจีน จะได้ไม่มีปัญหาเอกสารยุ่งยากตามมาภายหลัง
ยิ่งรัฐบาลจีนเร่งมือกวาดล้างธุรกิจการอุ้มบุญอย่างผิดกฎหมายมากเท่าไหร่ คนจีนก็จะยิ่งแห่ไปใช้บริการในอเมริกามากเท่านั้น พ่อแม่ชาวจีนที่มีลูกสมใจจากการอุ้มบุญ ต่างยอมรับว่าชีวิตของพวกเขามีความสุขขึ้นเยอะ เพราะได้โซ่ทองคล้องใจ มาช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ครอบครัว