ข่าว
สาวขับรถฟอร์จูนเนอร์ชนเบนซ์ ชดใช้ค่าเสียหายให้คู่กรณีทั้งหมด

เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 60 ที่สถานีตำรวจภูธรธัญบุรี ต.รังสิต อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จากกรณีรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ ขับชนรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ และเป็นเหตุให้รถคันอื่นที่ขับอยู่บนถนนถูกชนได้รับความเสียหายอีก 3 คัน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายราย เหตุเกิดบริเวณถนนรังสิต-นครนายก มุ่งหน้ารังสิต คลองสี่ ต.บึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

น.ส.อทิชา ทองนันไชย อายุ 38 ปี คนขับรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ได้ส่งทนายความและญาติเดินมาที่ สภ.ธัญบุรี เพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาล และค่าเสียหายให้แก่คนเจ็บทั้งหมด พร้อมทั้งค่าซ่อมรถซึ่งเมื่อทุกคนเดินทางมาถึงก็ได้เข้าไปที่ห้องของ พ.ต.ท.บุญยิ่ง บัณฑิตไทย หัวหน้าพนักงานสอบสวน สภ.ธัญบุรี เพื่อพูดคุยและตกลงค่าเสียหายกัน

ด้าน พ.ต.อ.ธีรวัจน์ ขจรเกียรติภาส ผกก.สภ.ธัญบุรี กล่าวว่า วันนี้พนักงานสอบสวนได้นัดคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นตัวแทนของฝ่ายคนขับรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ รวมทั้งคู่กรณีซึ่งมีทั้งผู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นรถโตโยต้าอแวนซ่า รถยนต์มาสด้า ซึ่งเป็นรถของผู้เสียหายก็ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน โดยทางฝ่ายคนขับรถฟอร์จูนเนอร์ได้ชดใช้ค่าเสียหายจากการที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งค่าสินไหมทดแทนให้แก่คู่กรณี ทั้งคนขับรถมาสด้าและคนขับรถโตโยต้าอแวนซ่าที่เกิดการเฉี่ยวชนกันในวันเกิดเหตุและมีการชดใช้ค่าเสียหายไปแล้วทั้งหมด

ในส่วนการชดใช้ค่าเสียหายนั้นก็เป็นในส่วนของคนเกือบทั้งหมด ได้แก่คนที่นั่งมากับรถโตโยต้าอแวนซ่า จำนวน 5 คน และคนขับรถ Mazda 1 คน นอกจากนี้ยังมีรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้าซิตี้ ที่วันนี้ไม่ได้มาเจรจากับทางตัวแทนคนขับรถฟอร์จูนเนอร์ โดยพนักงานสอบสวนก็จะได้นัดมาเจรจาอีกครั้งในวันถัดไป ส่วนของการซ่อมรถยนต์ของผู้เสียหายทั้งหมดนั้นทางตัวแทนประกันของรถแต่ละคันจะนำรถของลูกค้าตนเองไปซ่อมที่อู่ และมาเรียกเก็บค่าเสียหายกับทางประกันของรถฟอร์จูนเนอร์ซึ่งเป็นรถต้นเหตุในการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้

อัยการฟ้อง”เบนซ์-บอย” สมคบทำผิดค้ายาเสพติด

เมื่อเวลา14.30น.วันที่ 26 พฤษภาคม นายพิทักษ์ อบสุวรรณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดียาเสพติด เปิดเผยว่า ขณะนี้ คณะทำงานอัยการสำนักงานคดียาเสพติด กำลังตรวจเอกสารหลักฐานทั้งหมดให้ครบถ้วนเพื่อจะยื่นฟ้องคดีที่ ป.ป.ส.กล่าวหา นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง นักแข่งรถชื่อดัง , นายสรรเสริญหรือแน็ต รสานนท์ , น.ส.อังสุพรหรืออุ้ม อินา ข้อหาสนับสนุนหรือช่วยเหลือหรือสมคบค้ายาเสพติด ตาม พ.ร.บ.มาตรการและปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 6 และ มาตรา 8 ภายในเย็นวันเดียวกันนี้ ( 26 พฤษภาคม) เวลา 16.00 น.

ซึ่งขณะนี้คณะทำงานก็เตรียมร่างฟ้องแล้ว โดยนายอัครกิตติ์จะครบฝากขังครั้งสุดท้ายปลายสัปดาห์นี้ ดังนั้นอัยการก็จะยื่นคำฟ้องต่อศาลอาญา ภายในวันทำการที่ 26 พฤษภาคมนี้ เพราะเท่ากับนายอัครกิตติ์ยังอยู่ในอำนาจการควบคุมศาล เมื่อหลักฐานพอฟ้องก็ดำเนินการ ไม่อยากให้ผู้ต้องหาพ้นระยะเวลาฝากขังเพราะไม่เช่นนั้นจะต้องใช้เวลาติดตามตัวมาฟ้องภายหลัง โดยข้อกล่าวสนับสนุนกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดก็มีโทษหนัก อัยการก็พยายามทำให้ครบถ้วนทันเวลาหลังจากที่เพิ่งได้รับสำนวนมามานาน ซึ่งอัยการก็ประสานข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ปส.ด้วยเพื่อให้ทุกอย่างครบถ้วน ทั้งนี้หากอัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาภายในวันนี้แล้ว คาดว่าศาลจะนัดสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเดิมศาลก็นัดนายอัครกิตติ์ให้มารายงานตัวชั้นฝากขังอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าการฟ้องคดีจะฟ้องแยก หรือรวมกับสำนวนคดีฟอกเงินที่ พนักงานสอบสวน ปส. สรุปสำนวนควรฟ้อง นายณัฐพลหรือบอย นาคคำ เครือข่ายไซซะนะ , นายอัครกิตติ์หรือเบนซ์ เรซซิ่ง , นายสรรเสริญหรือแน็ต , น.ส.อังสุพรหรืออุ้ม และน.ส.ณปภา หรือแพท ตันตระกูล นักแสดงซึ่งเป็นภรรยานายอัครกิตติ์ ผู้ต้องหาที่ 1-5 ในความผิดข้อหาฟอกเงิน และสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินฯ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 นายพิทักษ์ กล่าวว่า เป็นไปได้ที่อาจจะแยกสำนวนฟ้องกันก่อน ซึ่งหากฟ้องแล้วสามารถไปขอศาลรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันได้

ด้านนายสิทธิโชค ตรีเนตร ทนายความเบนซ์ เรซซิ่ง กล่าวว่า ในวันที่ 29 พฤษภาคม เบนซ์ จะเดินทางไปตั้งแต่ช่วงเช้าตามนัดรายงานตัว หากอัยการยื่นฟ้องคดีตาม พ.ร.บ.มาตรการและปราบปรามยาฯ ก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการโดยจะเตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวนหนึ่งไปด้วยเพื่อจะยื่นประกันตัวชั้นฟ้องคดี หากศาลจะพิจารณาเรียกหลักทรัพย์เพิ่มจากเดิมที่ได้ประกันตัวชั้นฝากขัง 500,000 บาทก็พร้อม


บิ๊กตู่ ลั่น 3 ปี คสช.ไม่ล้มเหลว อย่าถือลต.คือประชาธิปไตย

เมื่อเวลา 20.15 น. วันที่ 26 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า คสช.เข้ามาทำงานครบ 3 ปี ภายใต้ความไร้เสถียรภาพภายในประเทศ ผนวกกับความไม่มั่นคงของโลก ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน เป็นแรงกดดันให้กับเจ้าหน้าที่ และปัญหาปากท้องซ้ำเติมมา ทำการบริหารงานยุ่งยากมากกว่าในสถานการณ์ปกติ รัฐบาลนี้ อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง และเป็นความหวังของคนไทยส่วนใหญ่ทั้งประเทศ ในการแก้ปัญหาที่หมักหมมมานานในอดีต การปฏิรูปประเทศ และการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นการวางรากฐานในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ความมั่นคง เศรษฐกิจ กระบวนการยุติธรรม มีผลกระทบทั้งสิ้น เป็นอุปสรรคกีดขวางการทำงานรัฐบาล และคสช.แต่ก็ไม่ได้นำไปสู่ความล้มเหลวแต่อย่างใด ระดับความเข้าใจ ไว้ใจ ความร่วมมือประชาชน จะเป็นตัวชี้วัดได้อย่างแท้จริง และเมื่อสุขภาพกายและใจดีเข้มแข็งแล้ว จะเป็นภูมิต้านทานปราศจากเชื้อโรค

ในช่วงเปลี่ยนผ่านการปฏิรูปประเทศเช่นนี้ เราต้องการมีความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งโดยเนื้อแท้ เราไม่ควรจะถือเอาว่า การเลือกตั้ง คือ ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ หรือไม่สนใจแต่เพียงการมีอำนาจอธิปไตย จากฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ แต่หากเราไม่มีการตรวจสอบ ถ่วงดุลกันไม่ได้ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องปลูกฝังสิ่งเหล่านั้น เร่งสร้างบรรทัดฐานใหม่ ทั้งนี้ อยากให้ช่วยกันทบทวน ลองขบคิดดูว่า สิ่งที่บางคนคิดดังๆ ออกสื่อนั้นอยู่บนพื้นฐานหลักการและเหตุผล ที่ถูกที่ควรหรือไม่ เช่น คนมักพูดติดปากว่า รัฐบาลและคสช.จำกัดเสรีภาพ คงต้องทำความเข้าใจกันใหม่ให้ถ่องแท้ อันนี้คงจะไม่ไปพูดถึงการละเมิดสถาบันซึ่งยังมีอยู่ ที่บุคคลธรรมดาก็ยังมีกฎหมายการฟ้องหมิ่นประมาท แต่เราก็ยังต้องดูแลสถาบันที่เคารพศรัทธาของคนไทย กฎหมายฉบับนั้น มีไว้เพื่อปกป้องสถาบัน แล้วพระองค์ท่านก็ปกป้องพระองค์เองไม่ได้ สถาบันก็มีแต่พระเมตตามาโดยตลอด มีการลดโทษให้ มีการนิรโทษให้ตลอดมา ท่านปกป้องพระองค์เองไม่ได้ วันนี้เป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยทุกคน อย่าปล่อยให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ อย่าแชร์ อย่าแพร่ ซึ่งผิดกฎหมายมาแล้วก็เป็นปัญหาอีก

"รัฐบาลและคสช.ยืนยันประชาธิปไตยไทย ต้องไม่เป็นประชาธิปไตยที่ล้มเหลว ต้องเป็นประชาธิปไตยยึดมั่นหลักธรรมาภิบาล และอยากฝาก 4 คำถาม ขอความเห็นประชาชน และนำมาพิจารณาแนวทางการทำงานต่อไป คือ 1. ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 2. หากไม่ได้ จะทำอย่างไร 3. การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง และ 4. ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร ขอให้ส่งคำตอบ และความคิดเห็น มาทางศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด แล้วให้กระทรวงมหาดไทย รวบรวมส่งมา ตนยินดีรับฟัง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว...


“โกตี๋” ซัด รบ.ก่อเหตุหวังยื้ออำนาจ ชี้ตนทำคงระเบิดทำเนียบหรือบ้าน

(26 พ.ค.) น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กในชื่อ Wassana Nanuam ระบุถึงคำพูดของ “นายพล พ.” ที่คาดว่าน่าจะเป็น พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตที่ปรึกษานายกฯ สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังที่มีกระแสข่าว 3 นายพล พ.-ช.-ส.โยงบึ้ม เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยเนื้อหาระบุว่า “ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุเลวร้ายในโรงพยาบาล เพราะทหารถูกสอนมาไม่สู้กันในพื้นที่กาชาด โรงพยาบาล ไม่ทำอะไรบ้าๆ ตนไม่เลวชาติ ขนาดนั้นหรอก และยังมีการตัดพ้อด้วยว่า หาใครรับผิดชอบไม่ได้ก็โยนมาที่ตนทุกที ทั้งที่อยู่เงียบๆ เลี้ยงหลานตามประสาคนแก่ ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับใคร แล้วจะทำไปเพื่ออะไร”

ด้านนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี กล่าวในรายการยูทูป Thais Voice ของนายจอม เพชรประดับ ระบุว่า เหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของคนบางกลุ่มที่ทำกันเอง ถ้าพวกตนทำได้คงไม่ระเบิดโรงพยาบาล แต่จะระเบิดทำเนียบรัฐบาลหรือบ้านของคนในรัฐบาลแทน ถ้าพวกตนทำจะไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อน และยังระบุอีกว่าการส่งหน่วยรบพิเศษเบเร่ต์แดง 20 นายเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มีพวกตนหนึ่งในนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องความลับไม่มี

“ในวันเกิดเหตุ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รักษาพยาบาลอยู่ที่ย่านสุขุมวิท ทั้งที่รักษาฟรีได้ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า งานนี้บอกได้เลยว่าพวกมันวางกันเอง เพราะขณะที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เสนอหน้าจะไปขอเก็บภาพจากกล้องวงจรปิด โดนทหารชี้หน้าบอกว่ามึงอย่าเสือก นั่นหมายความว่าทหารบกเก็บกล้องไปหมดเลย คือทุกอย่างเขารีบเก็บหลักฐานทั้งหมดเลย ถามหน่อยตรงนั้นที่ทหารบกทั้งหมด นายพันนายพลทั้งนั้น ตาสีตาสาไม่สามารถทำได้” นายวุฒิพงศ์กล่าว

นายวุฒิพงศ์กล่าวว่า ที่เป็นการทำกันเองเพราะไฟลนก้น การจะอยู่อำนาจต่อไม่จำเป็นต้องวางระเบิดก็ได้ เพราะประชาชนยังไม่พร้อม แต่ที่ทำแบบนี้เอาความเจ็บป่วยหรือความสะใจเป็นข้ออ้างที่อยู่ในอำนาจต่อ มันทุเรศมากๆ และยังจัดฉากไม่เนียน วันนี้เหตุการณ์ต่างๆ โยนขี้ให้ตน ให้พวกตนพอดี พวกนี้มันปัญญาอ่อน คนเสื้อแดงวันนี้จะหายใจสะดวกก็ลำบาก อย่าว่าแต่ระเบิดเลย ไม้จิ้มฟันก็ถูกจับแล้ว ฉะนั้นไม่มีใครใหญ่เท่า


จับ ’หมอสุพัฒน์’ หนีโทษประหาร คดีฆ่าแรงงานพม่า ส่งขังคุกทันที

เมื่อเวลา 16.30 วันที่ 25 พ.ค.60 พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ที่ปรึกษา สบ.10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.กฤษณะ ศิริปิยะวัฒน์ รอง ผบช.ภ.7 พร้อมด้วย พ.ต.อ.บัญญัติ เพียรสวัสดิ์ รอง ผบก.ภ.จว.จังหวัดเพชรบุรี หัวหน้าชุดปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จ.เพชรบุรี ควบคุมตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ อดีตอายุรแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ต้องหาหลบหนีหมายศาลจังหวัดเพชรบุรี ในคดีฆ่าผู้อื่น ลักทรัพย์ และค้ามนุษย์ โทษสูงสุดประหารชีวิต และหลบหนีไปซ่อนตัวในประเทศเมียนมา เป็นเวลานานกว่า 2 ปี กระทั่งถูกติดตามจับกุมตัว เดินทางมายังกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี

พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ เปิดเผยว่า สำหรับคดีของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เกิดขึ้นปลายปี 2555 เมื่อนายสว่าง หรือค่อม นุ่มจุ้ย เจ้าของไร่สับปะรดใน จ.เพชรบุรี และ น.ส.วิมล นุ่มจุ้ย บุตรสาว เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองนนทบุรีว่าพบรถกระบะโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ สีเทา ของนายสามารถกับ น.ส.อรสา บุตรชายและสะใภ้ ที่หายไปทั้งคนทั้งรถนานกว่า 3 ปี ซุกซ่อนอยู่ที่บ้านร้างของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ที่ จ.นนทบุรี โดยผู้ให้เบาะแสการพบรถคือนายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชายของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และเชื่อว่านายสามารถและนางสาวอรสาถูกฆ่าเสียชีวิตแล้วทั้งสองคน

ต่อมามีการสืบสวนขยายผลไปค้นบ้านพักในไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ที่บ้านท่ามะริด ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี และคลินิกของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ในกรุงเทพฯ พบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ทั้งยังพบแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองในไร่ซึ่งถูกทารุณและแรงงานชาวพม่าหลายคนทํางานโดยมิได้รับค่าตอบแทน ต่อมามีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ 3 โครงที่ไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ก่อนจะมีการตรวจพิสูจน์ทางดีเอ็นเอ พบว่าเป็นโครงกระดูกของนายอิต้า แรงงานเมียนมาที่ถูก พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ สังหารและบุตรชายทั้งสองมีส่วนรู้เห็น เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2547 เนื่องจากไม่พอใจที่นายอิต้าสนิทสนมกับ น.ส.วิลสา จันทรบัญชร ภรรยาคนที่ 3 ของตน

พนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี ได้สั่งฟ้อง พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ 3 คดี 1.คดีลักทรัพย์และรับของโจร ศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี 2.คดีรับคนงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน, ให้ที่พักพิงซ่อนเร้นแก่คนงานต่างด้าวเพื่อให้พ้นการจับกุม และข้อหาค้ามนุษย์ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง จำคุก 8 ปี 33 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายรวม 1 ล้านบาท ส่วนคดีที่ 3. ร่วมกันฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ฯลฯ ศาลพิพากษาประหารชีวิต พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และนายเอกผู้เป็นบุตรชายคนโตข้อหาร่วมกันฆ่าแรงงานชาวเมียนมาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันปิดบังซ่อนเร้นศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย และการกระทำใดใดแก่ศพก่อนมีการชันสูตรพลิกศพเพื่ออำพรางคดี

ส่วนนายอัคร บุตรชายอีกคนที่ร่วมก่อคดีขณะเกิดเหตุอายุ 19 ปีเศษ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่งพิพากษาลงโทษจำคุก 25 ปี 3 เดือน ระหว่างพิจารณาคดี พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้หลบหนีระหว่างช่วงประกันตัวชั้นอุทธรณ์ในคดีค้ามนุษย์ และไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฆ่าผู้อื่น จนศาลต้องอ่านคำพิพากษาลับหลัง

ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2559 พ.ต.อ.บัญญัติ พ.ต.ต.ธรรมวุฒิ วิเชียรมณีโชติ ร.ต.ต.ยวดศักดิ์ ไทยสงฆ์ ตร.ภ.จว.เพชรบุรี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศเมียนมา (พม่า) สามารถจับกุม พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตเมืองเมาะละเหมี่ยน ประเทศเมียนมา ใกล้เขตแนวตะเข็บชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก พร้อมธนบัตรไทยและธนบัตรเมียนมา มูลค่ารวมหลายล้านบาท

หลังจับกุมตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองมะละแหม่งแจ้งข้อหา พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ หลบหนี เข้าประเทศเมียนมาโดยผิดกฎหมาย และใช้บัตรประชาชนชาวเมียนมาปลอม จึงควบคุมตัวไว้เพื่อดำเนินคดี และต้องโทษจำคุกที่ประเทศเมียนมานานกว่า 5 เดือน กระทั่งพ้นโทษเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา และต่อมาวันที่ 25 พ.ค.(วันนี้) ทางการเมียนมาได้ ผลักดัน พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ออกนอกประเทศโดย พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ที่ปรึกษา สบ.10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พ.ต.อ.บัญญัติ เพียรสวัสดิ์ รอง ผบก.ภ.จว.จังหวัดเพชรบุรี ได้เดินทางไป ตม.ตาก ทำเรื่องรับตัวผู้ร้ายข้ามแดน และนำขึ้นเครื่องบินตำรวจมาลงที่สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเดินทางโดยรถตำรวจควบคุมตัวพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ มาแถลงข่าว ที่ ภ.จว.เพชรบุรีดังกล่าว

ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ส่งศาลจังหวัดเพชรบุรี และส่งฝากขังในเรือนจำกลางเพชรบุรีทันที.

นาโตวงแตก ‘ทรัมป์’ ทวงหนี้ชาติสมาชิก ไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อป้องกันประเทศตัวเอง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา สร้างความผิดหวังให้กับพันธมิตรในองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือ นาโต เนื่องจากทรัมป์ไม่ยอมประกาศเรื่องการจะปฏิบัติตามมาตรา 5 ของนาโต ที่ระบุว่าหากประเทศสมาชิกนาโตประเทศใดถูกโจมตีจากประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกนาโต บรรดาประเทศสมาชิกนาโตทั้งหมดจะต้องถือว่าอยู่ในสถานะสงครามกับประเทศที่ทำการโจมตี ในเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม แต่กลับต่อว่าว่ายังมีสมาชิกของนาโต 23 ประเทศจาก 28 ประเทศ ไม่ยอมจ่ายเงินในจำนวนที่สมควรจะจ่ายเพื่อเป็นการป้องกันประเทศของตัวเอง

ทรัมป์กล่าวว่า แม้ประเทศเหล่านี้จะจ่ายเงินตามคำสัญญาเมื่อปี 2557 ที่ว่าจะจ่ายเงินค่าป้องกันประเทศเป็นจำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ก็ยังคงไม่เพียงพอสำหรับงานของนาโต และไม่เป็นธรรมกับชาวอเมริกันและผู้เสียภาษีในสหรัฐ ขณะที่ประเทศเหล่านี้กลับยังติดหนี้จำนวนมหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา