สำนักงานลอตเตอรี่รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ แจ้งว่า รางวัลแจ็กพอตของลอตเตอรี่พาวเวอร์บอลมูลค่า 1,080 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36,720 ล้านบาท เป็นของผู้ซื้อคนหนึ่งที่อยู่ในนครลอสแอนเจลิส
เจ้าของสลากที่ถูกรางวัลแจ็กพอต 1,080 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36,720 ล้านบาท จากการจับรางวัลลอตเตอรี่พาวเวอร์บอล เมื่อคืนวันพุธ ซึ่งถูกจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อในนครลอสแอนเจลิส ยังไม่ออกมารับรางวัล ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรางวัลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพาวเวอร์บอล โดยหมายเลขที่ถูกรางวัลคือ 7, 13, 10, 24, 11 และหมายเลขพาวเวอร์บอลคือ 24
เจ้าของลอตเตอรี่นำโชค มีตัวเลือกระหว่างการรับรางวัลรายปีที่จ่ายเป็นงวดๆ จำนวน 29 ปี มูลค่า 1,080 ล้านดอลลาร์ หรือเงินก้อน 558.1 ล้านดอลลาร์ หรือราว 18,975 ล้านบาท ก่อนหักภาษี
ผลรางวัลครั้งนี้ นับเป็นแจ็กพอตลอตเตอรี่ที่มีเงินรางวัลมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐฯ และเป็นแจ็กพอตพาวเวอร์บอลที่มีเงินรางวัลมากที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากรางวัลแจ็กพอต 2,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 69,360 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้วในรัฐแคลิฟอร์เนีย และแจ็กพอต 1,586 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 53,924 ล้านบาท ในปี 2559 พาวเวอร์บอลระบุในเว็บไซต์ว่า โอกาสในการถูกรางวัลแจ็กพอตคือ 1 ใน 292.2 ล้าน
ลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลแจ็กพอต ถูกจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ “ลาส พาลมิตาส มินิ มาร์เก็ต” (Las Palmitas Mini Market) ในนครลอสแอนเจลิส โดยร้านสะดวกซื้อจะได้รับเงินโบนัสเกือบ 1 ล้านดอลลาร์ จากการจำหน่ายลอตเตอรี่ดังกล่าว
ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้ถูกรางวัลแจ็กพอตพาวเวอร์บอลมีเวลาหนึ่งปีในการอ้างสิทธิ์ขอรับรางวัล พวกเขามีเวลา 60 วันหลังจากการอ้างสิทธิ์ เพื่อเลือกวิธีการรับเงินรางวัลที่พวกเขาต้องการ แม้ว่าจะมีผู้ถูกแจ็กพอตเพียงรายเดียว แต่ผู้ซื้อลอตเตอรี่สามารถตรวจสอบลอตเตอรี่ของตน เนื่องจากอาจมีโอกาสถูกรางวัลประเภทอื่นๆ อีก 7 ประเภทตั้งแต่ 4 ดอลลาร์ถึง 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขึ้นอยู่กับกฎลอตเตอรี่ของรัฐ
ด้านโฆษกสำนักงานลอตเตอรี่แคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า สำนักงานฯ สามารถระดมทุนได้เกือบ 80 ล้านดอลลาร์สำหรับโรงเรียนของรัฐจากการจับรางวัลงวดนี้เพียงงวดเดียว
นอกจากผู้ถูกรางวัลใหญ่แล้ว เจ้าของลอตเตอรี่ 36 ใบที่จำหน่ายใน 16 รัฐ ยังมีตัวเลขตรงกับตัวเลขบนลูกบอลสีขาวทั้งห้าลูก จะได้รับรางวัล 1 ล้านดอลลาร์ โดยลอตเตอรี่ 7 ใบถูกจำหน่ายในแคลิฟอร์เนีย ตามข้อมูลในเว็บไซต์สำนักงานลอตเตอรี่แคลิฟอร์เนีย ระบุว่าเงินรางวัลของลอตเตอรี่ข้างต้นจะอยู่ที่ 448,750 ดอลลาร์ โดยรางวัลที่ไม่ใช่รางวัลแจ็กพอตในแคลิฟอร์เนีย จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ถูกรางวัลและยอดขายลอตเตอรี่ และจะแตกต่างจากรางวัลที่แสดงบนเว็บไซต์ของพาวเวอร์บอล
ก่อนการออกรางวัลในวันพุธ มีการออกรางวัลติดต่อกัน 38 ครั้ง โดยไม่มีผู้ถูกรางวัลแจ็กพอต ตั้งแต่การออกรางวัลเมื่อวันที่ 19 เมษายน เมื่อพบลอตเตอรี่ในรัฐโอไฮโอตรงกับหมายเลขทั้งหก และรางวัลใหญ่มูลค่า 252.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับผู้ที่ไม่ได้ถูกรางวัลครั้งนี้ ยังอาจมีความหวัง เนื่องจากยอดสะสมรางวัลแจ็กพอตของลอตเตอรี่ “เมกะ มิลเลียนส์” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 720 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตามไปดู แจ๊กพ็อตใหญ่ ที่มีเงินรางวัล 10 อันดับสูงสุดในสหรัฐฯ
ขณะที่สหรัฐอเมริกา กำลังรอผู้โชคดีที่ถูกรางวัลแจ๊คพ็อต ของเพาวเวอร์บอล มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3 หมื่นล้านบาท ที่ถือว่าเป็นรางวัลที่มีมูลค่ามากสุดเป็นอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
โดย 10 อันดับแจ๊กพ็อตสูงสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ มีดังนี้
อันดับ 1 เพาเวอร์บอล มูลค่า 2,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 69,951 ล้านบาท) รางวัลแตกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2022 มีผู้ถูกรางวัลเพียงคนเดียว จากรัฐแคลิฟอร์เนีย
อันดับ 2 เพาเวอร์บอล มูลค่า 1,589 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 54,493 ล้านบาท) รางวัลแตกเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2016 มีผู้ถูกรางวัล 3 คน จากรัฐแคลิฟอร์เนีย, ฟลอริดา และเทนเนสซี
อันดับ 3 เมกา มิลเลียนส์ มูลค่า 1,537 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 52,710 ล้านบาท) รางวัลแตกเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2018 มีผู้ถูกรางวัลคนเดียว จากเซาธ์แคโรไลนา
อันดับ 4 เมกา มิลเลียนส์ มูลค่า 1,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 46,297 ล้านบาท) รางวัลแตกเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2023 มีผู้ถูกรางวัลคนเดียว จากรัฐเมน
อันดับ 5 เมกา มิลเลียนส์ มูลค่า 1,337 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 45,851 ล้านบาท) รางวัลแตกเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2022 มีผู้ถูกรางวัลคนเดียว จากรัฐอิลลินอยส์
อันดับ 6 เพาเวอร์บอล มูลค่า 1,080 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 37,038 ล้านบาท) รางวัลแตกเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2023 มีผู้ถูกรางวัลคนเดียว จากรัฐแคลิฟอร์เนีย
อันดับ 7 เมกา มิลเลียนส์ มูลค่า 1,050 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 36,009 ล้านบาท) รางวัลแตกเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2021 มีผู้ถูกรางวัลคนเดียว จากรัฐมิชิแกน
อันดับ 8 เพาเวอร์บอล มูลค่า 768.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 26,351 ล้านบาท) รางวัลแตกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2019 มีผู้ถูกรางวัลคนเดียว จากรัฐวิสคอนซิน
อันดับ 9 เพาเวอร์บอล มูลค่า 758.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 26,023 ล้านบาท) รางวัลแตกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2017 มีผู้ถูกรางวัลคนเดียว จากรัฐแมสซาชูเสตส์
และอันดับ 10 เพาเวอร์บอล มูลค่า 754.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 25,883 ล้านบาท) รางวัลแตกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2023 มีผู้ถูกรางวัลคนเดียว จากรัฐวอชิงตัน
**ที่มา สำนักข่าวเอพี
วันที่ 21 ก.ค. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีมีกระแสข่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค เตรียมจะเดินทางไปพบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองหัวหน้าพรรค และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ที่พรรคภูมิใจไทย ในวันพรุ่งนี้ (22 ก.ค.) เพื่อขอเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ในที่ประชุมรัฐสภาวันที่ 27 กรกฎาคมนี้
ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยผ่านคลิปสั้น ถึงจุดยืนต่อสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันทางโซเชียล ว่า การที่ตนไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ไม่ได้หมายความว่าความหวังของพวกเราในการเปลี่ยนแปลงประเทศจะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การที่ผมได้เป็นนายกฯ แต่คือการจัดตั้งรัฐบาล ตามเจตจำนงของประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนขั้ว พลิกข้าง หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของขั้วรัฐบาลเดิม พิธาจะเป็นนายกฯ หรือไม่เป็นนายกฯ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ พรรคก้าวไกลจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่เป็น ไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเสียงของประชาชน 27 ล้านเสียง ที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง ต้องมีความหมาย และว่าพรรคก้าวไกล พร้อมสนับสนุนพรรคอันดับ 2 คือ พรรคเพื่อไทย ในการจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนให้ได้ ตราบใดที่เรายังจับมือกันแน่น การสืบทอดอำนาจของกลุ่มขั้วอำนาจเดิมจะไม่มีวันสำเร็จ ขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งหมดหวัง ประเทศไทยวันนี้เดินมาไกล และจะไม่มีวันถอยกลับ เราจะไม่ปล่อยให้เขาหมุนเวลาพาประเทศกลับสู่อดีตอีกต่อไป
ขณะที่ในโลกโซเชียล มีการแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง พร้อมกับติดแฮชแท็ก #จัดตั้งรัฐบาล กระทั่งขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์ หลายคนมองว่า หากมีการสลับขั้วขึ้นมาจริงๆ ก็รอการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ แค่ 4 ปีเอง
สหรัฐฯ ยืนยันว่ากองทัพยูเครนได้นำระเบิดลูกปรายที่ได้รับมอบจากสหรัฐฯ ไปใช้ในการต่อต้านกองกำลังรัสเซียในยูเครนแล้ว
ทำเนียบขาวยืนยันว่ายูเครนใช้ระเบิดลูกปรายที่ได้รับมอบจากสหรัฐฯ ในการต่อต้านกองกำลังรัสเซียที่รุกรานยูเครน
นายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า ข้อเสนอแนะเบื้องต้นบ่งชี้ว่ามีการใช้ระเบิดลูกปราย “อย่างมีประสิทธิภาพ” กับตำแหน่งการป้องกันและปฏิบัติการของรัสเซีย
ทั้งนี้ ระเบิดลูกปรายเป็นอาวุธที่สามารถปล่อยระเบิดลูกเล็กๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก และถูกกว่า 100 ประเทศประกาศห้ามใช้ เนื่องจากเป็นภัยคุกคามต่อพลเรือน อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ได้ตกลงที่จะจัดหาอาวุธเหล่านี้เพื่อเพิ่มจำนวนยุทโธปกรณ์ให้กับยูเครน ขณะที่ยูเครนให้คำมั่นว่าจะใช้ระเบิดลูกปรายเพื่อสลายกองกำลังทหารรัสเซียเท่านั้น
นายเคอร์บีกล่าวว่า “ยูเครนใช้มันอย่างเหมาะสม” และอย่างมีประสิทธิภาพ และมันกำลังส่งผลกระทบต่อรูปแบบการป้องกันและการวางแผนป้องกันของรัสเซีย เราคิดว่าเราสามารถให้ใช้ต่อไปได้
สหรัฐฯ ตัดสินใจส่งระเบิดลูกปรายให้กับยูเครน หลังจากยูเครนแจ้งเตือนว่ากระสุนกำลังจะหมดระหว่างปฏิบัติการตอบโต้ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งช้ากว่าและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียกการตัดสินใจนี้ว่า “ยากมาก” ขณะที่พันธมิตรอย่างสหราชอาณาจักร แคนาดา นิวซีแลนด์ และสเปน คัดค้านการตัดสินใจดังกล่าว
อาวุธส่วนใหญ่ที่ส่งไปคือกระสุนปืนใหญ่ที่มี “อัตราด้าน” (Dud Rate) ต่ำกว่า 2.35% ซึ่งหมายถึงเปอร์เซ็นต์ของลูกระเบิดซึ่งไม่ระเบิดทันทีและอาจเป็นภัยคุกคามต่อไปอีกหลายปี
ระเบิดลูกปรายมีประสิทธิภาพเมื่อใช้กับกองทหารในสนามเพลาะและตำแหน่งที่มีป้อมปราการ เนื่องจากพวกมันทำให้การเคลื่อนกำลังในพื้นที่ขนาดใหญ่มีความอันตรายอย่างยิ่ง จนกว่าจะเก็บกู้ได้ทั้งหมด รัสเซียเคยใช้ระเบิดลูกปรายแบบเดียวกันนี้ในยูเครน นับตั้งแต่เริ่มบุกโจมตีเต็มรูปแบบเมื่อปีที่แล้ว รวมทั้งในพื้นที่พลเรือน
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย ตอบโต้การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการส่งระเบิด โดยกล่าวว่า ประเทศของเขามีอาวุธที่คล้ายกัน และจะถูกนำมาใช้ “หากอีกฝ่ายนำมาใช้เพื่อต่อต้านเรา”
นายโอเลกซานเดอร์ ซีร์สกี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนที่รับผิดชอบปฏิบัติการทางตะวันออกของประเทศ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า กองกำลังยูเครนต้องการอาวุธเพื่อสร้างความเสียหายสูงสุดต่อฝ่ายทหารราบของศัตรู
“เราอยากได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งทหารราบเสียชีวิตที่นี่มากเท่าไร ญาติของพวกเขาที่กลับมาในรัสเซียก็จะยิ่งถามรัฐบาลของพวกเขาว่า “ทำไม” อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่าระเบิดลูกปรายจะไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดของเราได้”
นอกจากนี้เขายังยอมรับว่าการใช้ระเบิดลูกปรายยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน แต่เสริมว่า “ถ้ารัสเซียไม่ใช้มัน บางทีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ไม่อนุญาตให้เราทำเช่นกัน”
21 กรกฎาคม 2566 สำนักข่าวรอยเตอร์ เสนอข่าว India imposes major rice export ban, triggering inflation fears ระบุว่า อินเดียซึ่งเป็นชาติที่ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศระงับการส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ หลังจากราคาขายปลีกข้าวพุ่งขึ้นร้อยละ 3 ในช่วง 1 เดือนหลังจากช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งฝนมรสุมที่ตกหนักยังทำให้พืชผลเสียหายอย่างมาก
การประกาศของอินเดียเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 ทำให้โลกกังวลว่าอาจนำไปสู่ปัญหาราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอินเดียครองสัดส่วนถึงร้อยละ 40 ของตลาดส่งออกข้าวทั่วโลก โดยเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไปรวมกับปัจจัยอื่นๆ อย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ขณะที่ทางการอินเดียชี้แจงว่า มาตรการระงับการส่งออกข้าวนั้น เพื่อให้แน่ใจว่ามีข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติเพียงพอและแก้ปัญหาราคาข้าวเพิ่มสูงขึ้นสำหรับตลาดภายในประเทศ ซึ่งราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11.5 ในช่วง 12 เดือน
หมวดหมู่ข้าวขาวและข้าวหักที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาตี คิดเป็นประมาณ 10 ล้านตันจากทั้งหมด 22 ล้านตันของการส่งออกข้าวของอินเดียในปี 2565 ในวันที่ 20 ก.ค. 2566 รัฐบาลยังชี้แจงเพิ่มเติมด้วยว่าข้าวนึ่งซึ่งคิดเป็น 7.4 ล้านตันของการส่งออกในปี 2565 ไม่รวมอยู่ในคำสั่งห้าม ทั้งนี้ ท่าทีดังกล่าวของอินเดียแสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี (Narendra Modi) ต่อภาวะเงินเฟ้อด้านอาหาร ก่อนที่การเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นในปี 2567
รัฐบาลโมดีได้ขยายการห้ามส่งออกข้าวสาลีหลังจากควบคุมการขนส่งข้าวในเดือน ก.ย. 2565 นอกจากนี้ยังจำกัดการส่งออกน้ำตาลในปีนี้เนื่องจากผลผลิตอ้อยลดลง ขณะที่ บี.วี.กฤษณะ เรา (B.V. Krishna Rao) ประธานสมาคมผู้ส่งออกข่าวแห่งอินเดีย กล่าวว่า อินเดียจะส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวทั่วโลกด้วยความเร็วที่สูงกว่ากรณีของยูเครนในตลาดข้าวสาลีหลังเกิดสงครามกับรัสเซีย
ข้าวเป็นอาหารหลักของประชากรกว่า 3 พันล้านคน และเป็นเกือบร้อยละ 90 ของพืชที่ใช้น้ำมากผลิต
ในเอเชีย ซึ่งสภาพอากาศแบบเอลนีโญมักทำให้ปริมาณน้ำฝนลดลง ราคาทั่วโลกกำลังลอยตัวอยู่ที่ระดับสูงสุด ในรอบ 11 ปี โดย เราให้ความเห็นว่า การห้ามส่งออกอย่างกะทันหันจะสร้างความเจ็บปวดอย่างมากให้กับผู้ซื้อ ซึ่งไม่สามารถแทนที่การขนส่งจากประเทศอื่นได้
“ในขณะที่ไทยและเวียดนามไม่มีสินค้าในสต็อกเพียงพอที่จะชดเชยการขาดแคลน แต่ผู้ซื้อชาวแอฟริกันจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการตัดสินใจของอินเดีย หลายประเทศจะเรียกร้องให้นิวเดลีดำเนินการจัดส่งอีกครั้ง ผู้ซื้อข้าวรายใหญ่รายอื่นๆ ของอินเดีย ได้แก่ เบนิน เซเนกัล ไอวอรีโคสต์ โตโก กินี บังกลาเทศ และเนปาล” ปธ.สมาคมผู้ส่งออกข่าวแห่งอินเดีย ระบุ
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า มาตรการห้ามส่งออกข้าวของอินเดียจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 2566 เป็นต้นไป ยกเว้นเรือที่ลงสินค้าบรรทุกไปก่อนแล้วจะได้รับอนุญาตให้ส่งออกได้ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากฝนที่ตกหนักทางตอนเหนือของอินเดียในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทำลายพืชผลที่เพิ่งปลูกในรัฐต่างๆ รวมทั้งปัญจาบและหรยาณา และเกษตรกรจำนวนมากต้องปลูกใหม่
นาข้าวในรัฐทางตอนเหนือจมอยู่ใต้น้ำนานกว่า 1 สัปดาห์ ทำลายต้นกล้าที่เพิ่งปลูก และบังคับให้ชาวนาต้องรอให้น้ำลดจึงจะปลูกใหม่ได้ ในรัฐที่ปลูกข้าวรายใหญ่อื่นๆ ชาวนาได้เตรียมเรือนเพาะชำข้าวเปลือก แต่ไม่สามารถย้ายต้นกล้าได้เนื่องจากฝนตกไม่เพียงพอ พื้นที่ปลูกข้าวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่ราคาซื้อข้าวปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่จนถึงขณะนี้ ชาวนาได้ปลูกข้าวเปลือกในพื้นที่เล็กกว่าปี 2565 ถึงร้อยละ 6
ในสัปดาห์นี้ ราคาข้าวที่ส่งออกจากเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดียและไทย พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ เนื่องจากความกังวลด้านอุปทานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ โดยข้าวหัก 5% ของเวียดนามเสนอขายอยู่ที่ 515-525 เหรียญสหรัฐ (ราว 17,510-17,850 บาท) ต่อตัน ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2554 ข้าวนึ่งหัก 5% ของอินเดียอยู่ใกล้จุดสูงสุดในรอบ 5 ปีที่อยู่ที่ 421-428 เหรียญสหรัฐ (ราว 14,314-14,552 บาท) ต่อตัน
ผู้ซื้อข้าวชาวยุโรปรายหนึ่งกล่าวว่า บรรดาผู้ซื้ออาจย้ายไปหาซื้อข้าวที่ประเทศไทยและเวียดนาม แต่ข้าวหัก 5% ของพวกเขาอาจมีราคา 600 เหรียญสหรัฐ (ราว 2 หมื่นบาท) ต่อตัน ผู้ค้าชาวยุโรปอีกรายกล่าวเสริมว่า จีนและฟิลิปปินส์ซึ่งโดยทั่วไปซื้อข้าวเวียดนามและไทย จะถูกบังคับให้จ่ายในราคาที่สูงขึ้นอย่างมาก
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.reuters.com/markets/commodities/india-prohibits-export-non-basmati-white-rice-notice-2023-07-20/
เมื่อวันที่ 21 ก.ค.66 เพจ ศศิวิมล ครูปุ้ม รัตนอำพันธุ์ โพสต์ข้อความเศร้าที่เกิดขึ้นในวงการเพลงลูกทุ่ง เมื่อครูชลธี ธารทอง ศิลปินแห่งชาติ ได้เสียชีวิตแล้วในวัย 85 ปี โดยโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “17.57 เทวดา เพลง ‘ชลธี ธารทอง’ จากพวกเราแล้วนะ”
โดยก่อนหน้านี้ ครูปุ้ม ระบุว่า แพทย์เปิดเผยว่าอาการครูชลธีทรุดหนัก ให้รีบไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเป็นกำลังใจด่วน
สำหรับนายชลธี ธารทอง เดิมชื่อสมนึก ทองมา เกิดเมื่อ 31 ส.ค. 2480 ปัจจุบันอายุ 85 ปี เป็นนักประพันธ์ชายเพลงไทยลูกทุ่ง มีผลงานเพลงกว่า 2,000 เพลง และได้สร้างนักร้องมีชื่อเสียงจำนวนมาก อาทิ เพลงของสายัณห์ สัญญา, ยอดรัก สลักใจ, ศรเพชร ศรสุพรรณ, ก๊อท จักรพันธ์ และดำรง วงศ์ทอง
โดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ยกย่องให้ครูชลธีเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักประพันธ์เพลงลูกทุ่ง) ประจำปี 2542
ถือว่าเป็นข่าวเศร้าของวงการเพลงลูกทุ่ง เมื่อครูเพลงชื่อดัง “ครูชลธี ธารทอง” วัย 85 ปี ได้เสียชีวิตอย่างสงบ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 21 ก.ค. 2566 หลังจากเข้ารักษาตัวด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือดเมื่อ 24 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา โดยใช้เวลารักษาตัวนานกว่า 3 เดือน และเสียชีวิตอย่างสงบ ณ รพ.ศิริราช
ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าตัวก็ได้แจ้งข่าวว่า “แพทย์” โทรมาอาการครูชล “ทรุดหนัก” ให้ญาติไป รพ.ศิริราชท่ามกลางคนในวงการเพลง และแฟนๆ ที่เข้ามาร่วมแสดงความอาลัย
เปิดประวัติ “ชลธี ธารทอง” ครูเพลงเทวดา ผู้ปลุกปั้นดวงดาวประดับวงการลูกทุ่ง
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปถึงประวัติของ “ครูชลธี ธารทอง” ครูผู้ประพันธ์ทั้งคำร้อง และทำนองเพลงลูกทุ่ง ที่มีผลงานยอดนิยม มากที่สุดท่านหนึ่ง ของวงการเพลงลูกทุ่งไทย ผู้มีนามจริงว่า นายสมนึก ทองมา หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไป ในนามของ “ชลธี ธารทอง” ผู้สร้างดาวให้วงการลูกทุ่ง ครูเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (นักแต่งเพลงลูกทุ่ง) ประจำ 2542
แต่ก่อนที่ครูจะโด่งดังมีลูกศิษย์ลูกหาและแฟนเพลงมากมายขนาดนี้ ครูก็ผ่านช่วงชีวิตที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองมาอย่างมาก โดยใช้ความถนัดในการแต่งเพลง ใช้ถ้อยคำที่จริงใจตรงไปตรงมาเข้าใจง่าย แฝงด้วยลีลาการประพันธ์ที่แหลมคม ทำให้ผู้ฟังคล้อยตามอารมณ์เพลงจนเห็นเป็นภาพได้อย่างชัดเจน “ครูชลธี ธารทอง” ได้ฝากผลงานเพลงล้วนแต่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักฟังเพลง สร้างนักร้องลูกทุ่งให้มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก อาทิ สายัณห์ สัญญา, ยอดรัก สลักใจ, ก๊อต จักรพันธ์, ศรเพชร ศรสุพรรณ, สดใส รุ่งโพธิ์ทอง, เสรีย์ รุ่งสว่าง, เอกพจน์ วงศ์นาค, แอ๊ด คาราบาว, มนต์สิทธิ์ คำสร้อย, ดำรง วงศ์ทอง เป็นต้น
“ครูชลธี ธารทอง” เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2480 ปัจจุบันอายุ 85 ปี พื้นเพเป็นชาวจังหวัดชลบุรี และจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนประชาสงเคราะห์ อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ก่อนที่ต่อมาจะย้ายไปอยู่กับญาติ ณ จังหวัดราชบุรี โดยชีวิตในวัยเด็กของครูชลนั้น ลำบากมาก พ่อมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ส่วนแม่นั้นก็ตกเลือดตาย ตั้งแต่ครูชลอายุได้เพียง 6 เดือน เมื่อเติบโตขึ้น ครูชลก็รับจ้างทำทุกอย่าง
แต่ด้วยที่ชอบ ในการร้องเพลงลูกทุ่ง ทำให้ได้เป็นนักร้องเพลงเชียร์รำวง ของวงดาวทอง จากนั้นก็ได้ไปเป็นนักร้องในวงดนตรีของ สุรพล สมบัติเจริญ ราชาเพลงลูกทุ่งไทยในสมัยนั้น ทว่าก็มีเหตุให้ครูชลธี ต้องถูกไล่ออกจากวงหลัง จากเข้าร่วมได้เพียง 3 วัน เนื่องจากครูชลธี ไม่ได้พักในกรุงเทพฯ ทำให้ต้องเดินทางไปกลับราชบุรี เป็นเหตุให้เข้าวงมาทำงานสาย และถูกไล่ออกในที่สุด
หลังถูกไล่ออกจากวงของสุรพล ครูชลก็เดินสายทำอาชีพหลากหลาย ไม่ว่าจะอยู่กับวงลิเก และเป็นนักพากย์หนัง กระทั่งออกบวชและสึกออกมาเป็นหางเครื่องให้กับวงดนตรีของ เทียนชัย สมญาประเสริฐ สามีของนักร้องดัง ผ่องศรี วรนุช
แต่โชคชะตา ก็ทำร้ายครูชลอีกครั้ง ทำให้ครูชลต้องลาออกจากวง เพราะถูกกล่าวหาว่าขโมยของคนในวง ต่อมา ครูชลก็เข้าร่วมประกวดร้องเพลง ที่จัดขึ้นโดยวงรวมดาวกระจายของ สำเนียง ม่วงทอง ซึ่งในการประกวดครั้งนั้น ผลปรากฏว่า ครูชลได้รับรางวัลชนะเลิศ จากการร้องเพลงที่แต่งขึ้นเอง และทำให้ได้เข้าไปอยู่กับคณะวงดนตรีรวมดาวกระจาย พร้อมกันนี้สำเนียงก็ได้ตั้งชื่อในวงการให้ว่า ชลธี ธารทอง เนื่องจากเป็นคนจังหวัดชลบุรี
แต่การอยู่ในคณะดนตรีของ สำเนียง ม่วงทองได้อัดแผ่นเสียง 4 เพลง แต่กลับไม่มีเพลงไหนโด่งดังซึ่งในช่วงที่มีเวลาว่าง ครูชลก็จะศึกษาเรียนรู้วิชาแต่งเพลงจาก สำเนียง ทองม่วง อยู่เป็นประจำ ทำให้มีความชำนาญการแต่งเพลงมากขึ้น แต่จู่ ๆ เพลง “พอหรือยัง” ของครูชลโด่งดังขึ้นมา เนื่องจาก ศรคีรี ศรีประจวบ นำไปร้อง แต่กลับไม่มีการอ้างอิงถึงผู้แต่งอย่างครูชล ทำให้ครูชลต้องออกมาทักท้วง แต่สุดท้ายเรื่องราวก็จบลง ด้วยความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย ต่อมาไม่นานครูชล ก็ถูกไล่ออกจากวงรวมดาวกระจาย
ชะตาชีวิตหลังจากนี้ของครูชล ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้น เพราะได้แต่งเพลงให้กับ ศรคีรี ศรีประจวบ แต่เพลงยังไม่ทันจะมีชื่อเสียง ศรคีรี ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเสียก่อน หลังจากนั้นครูชล ก็หันหลังให้วงการเพลงลูกทุ่ง แต่ก่อนจะเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ก็ได้มีโอกาสมอบเพลงให้กับเด็กปั๊มคนหนึ่ง ซึ่งในภายหลังเด็กปั๊มคนนี้ก็คือนักร้องดัง สายัณห์ สัญญา นั่นเอง
ชื่อเสียงที่โด่งดังของสายัณห์ เปิดโอกาสให้ครูชลได้กลับกรุงเทพฯ มาแต่งเพลงอีกครั้ง โดยมีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงจากเพลง “ทหารอากาศขาดรัก” ก็คือ เสกศักดิ์ ภู่กันทอง นับแต่นั้นมาครูชล ก็ตั้งใจแต่งเพลงทำผลงาน และเฟ้นหานักร้องเสียงดี มาสร้างงานคุณภาพประดับวงการเพลงลูกทุ่งอยู่ตลอด กระทั่งได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า เทวดาเพลง สำหรับลูกศิษย์คนโปรดอีกคนของครูชล ที่จากวงการเพลงลูกทุ่งไปอย่างน่าเสียดายคือ สุริยัน ส่องแสง
สำหรับจุดเด่นของผลงานเพลง ที่แแต่งโดยครูชลนั้น จะมีการเลือกสรรถ้อยคำให้ไพเราะแบบกวีนิพนธ์ เนื้อหาเพลงก็ส่งเสริมคุณค่าวิถีชีวิตคนไทย รวมถึงท่วงทำนองเพลง ที่ไพเราะติดหูผู้ฟัง อาจกล่าวได้ว่าครูชลเป็นศิลปิน ที่มีความสามารถในการประพันธ์เพลง ผ่านการใช้ฉันทลักษณ์ได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้ในปี พ.ศ. 2542 ครูชลก็ได้ถูกยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้องเพลงลูกทุ่ง) ซึ่งนับเป็นเกียรติประวัติอย่างสูงยิ่งสำหรับชีวิตคนดนตรี
ซึ่งการได้รับเลือกให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ “ครูชลธี ธารทอง” โดยก่อนการเสียชีวิตของ “ครูชลธี ธารทอง” “ครูปุ้ม ศศิวิมล รัตนอำพันธุ์” ได้มีการโพสต์ระบุว่า
เหรียญศิลปินแห่งชาติ เหรียญที่ครูชลรักมากที่สุด วันนี้นำมาให้ครูชลที่เตียงนอน ตั้งแต่ 2507 เทวดาเพลงโลดแล่น บนถนนลูกทุ่ง ที่หาใครเทียบยากในการประพันธ์เพลง สมเกียรติ “เทวดาเพลง”
บทเพลงที่ทรงคุณค่า 5,000 กว่าเพลง เป็นบทเพลง ที่ทุกคนประทับใจ งานของครูชล การเขียนเพลงลูกทุ่งแท้ เขาเลย “เทวดาเพลง ชลธี ธารทอง”