ข่าว
"สมาคมนักข่าวฯ"ซัด!"บิ๊กตู่" สร้างรอยด่างผู้นำประเทศ

นายมานพ ทิพย์โอสถ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ และโฆษกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ แม้จะไม่ได้พูดกับผู้สื่อข่าวโดยตรง แสดงความอืดอัดใจต่อการทำหน้าที่นายกฯที่ต้องตอบคำถามของสื่อมวลชน ก็ถือว่าเป็นท่าทีที่ไม่เหมาะสมของผู้นำฯ เพราะการบอกว่าอยากชกปากนักข่าวที่ถามคำถามเรื่องผลงานของรัฐบาล ได้สะท้อนทัศนคติที่เป็นลบต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะไม่พอใจ พล.อ.ประยุทธ์ก็สามารถหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่ไม่เอื้อต่อบรรยากาศทางการเมืองของประเทศได้ด้วยคำอื่นๆ

นายมานพการทำหน้าที่ซักถามของผู้สื่อข่าวที่ติดตามการทำงานของนายกฯและครม.เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัยไม่ว่ารัฐบาลนั้นๆจะมีที่มาที่ไปอย่างไรสื่อมวลชนเคารพการตัดสินใจในนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลเหล่านั้น แต่เหนืออื่นใด หน้าที่ของสื่อคือการตรวจสอบรัฐบาลทุกรัฐบาล

"คำพูดของท่านายกฯได้สร้างสิ่งที่เป็นรอยด่างของผู้นำประเทศแม้แค่จะคิดก็สะท้อนวิธีคิดและวิธีทำงาน ผมเข้าใจเจตนาดีของท่านนายกฯ แต่สิ่งที่สื่อสารต่อสังคมแบบนี้ ท่านต้องทบทวน" โฆษกฯกสมาคมนักข่าวฯกล่าว

อ.กมลเปิดใจเรื่องไม้ร้อยปีที่กระบี่ เตรียมนำยุวศิลปินรุ่น6มาแสดงงาน

เมื่อวันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2558 ที่ร้านอาหาร Noodle World เมืองAlhambra ศิลปินแห่งชาติ อาจารย์กมล ทัศนาญชลี ได้เชิญสื่อมวลชนร่วมรับฟังการแถลงข่าวเรื่องการจัดโครงการครุศิลปะสร้างสรรค์งานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติ รุ่นที่ 6 ซึ่งมีกำหนดเดินทางมาทัศนศึกษาชมงานศิลปะและจัดแสดงผลงานที่สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม-10 เมษายน 2558 โดยได้กล่าวว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสภาศิลปกรรมไทยสหรัฐอเมริกา สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิส “รุ่นที่กำลังจะเดินทางมาในปีนี้เป็น รุ่นที่ 6 แล้ว ครับ ในปีนี้มียุวศิลปินสมัครเข้าร่วมเป็นจำนวนมากเหมือนปีที่ผ่าน ๆ มา และได้ทำการคัดเลือกจนเหลือ 70 คน จาก 27 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ราวเกือบ 400 คน และจากรอบสุดท้าย 70 คน คัดเอาเพียง10 คนที่จะเป็นตัวแทนจากทุกภาคของประเทศไทยเดินทางมาอเมริกาในโครงการครุศิลปะสร้างสรรค์งานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติ รุ่นที่ 6 ซึ่งรอบสุดท้าย ได้ทำ Workshop ที่มหาวิทยาลัยบูรพา บางแสน จังหวัดชลบุรี ครับ”

ศิลปินแห่งชาติ ดร.กมล ทัศนาญชลี ได้กล่าวต่ออีกว่า การจัดนิทรรศการของยุวศิลปินรุ่นนี้ จะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงเย็นวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2558 หลังพิธีเปิดเสร็จวันรุ่งขึ้นก็จะนำคณะเดินทางไปชมธรรมชาติ ที่โยเซมิติ ชมพิพิธภัณฑ์ทางแคลิฟอร์เนียภาคเหนือ พาไปชมความงามของธรรมในฤดูใบไม้ผลิที่รัฐยูท่าห์ และรัฐอริโซน่า รวมทั้งชมพิพิธภัณฑ์หลัก ๆ หลายแห่งในนครลอสแอนเจลิส โดยคณะยุวศิลปินที่ได้รับคัดเลือกมาในรุ่นนี้ จำนวน 10 คนประกอบด้วย นายชัชรินทร์ เชื้อคำเพ็ง นายกฏสรวง เอียงอุบล นางสาวรัตนา สุจริต นายณรงค์ฤทธิ์ กาลจิตร์ นางสาวสิตา อินใหญ่ นายสิทธิพนธ์ เลาะไชยสงค์ นางสาวจรัสพร ชุมศรี นายศิลป์สวัสดิ์ จันต๊ะไพสน นายภัทรวิทย์ บุญพรม นางสาวกูซอปียะฮ์ นิบิซา และยังมียุวศิลปินที่ตกค้างจากรุ่นที่ แล้วที่มีปัญหาเรื่องสัญชาติจะมาร่วมสมทบกับรุ่นนี้อีกหนึ่งคนชื่อ นายบุญศรี เจริญยิ่ง รวมเป็น 11 คนที่จะมาในรุ่นนี้

ในส่วนของกระแสข่าวดังเรื่องการตัดต้นไม้อายุกว่าร้อยปีมาทำงานศิลปะที่กระบี่นั้น ศิลปินแห่งชาติ อาจารย์กมล ทัศนาญชลี ได้เปิดใจให้ข้อเท็จจริงว่าลึก ๆ แล้วเป็นเรื่องของการเมืองท้องถิ่นมากกว่า เพราะนายกเทศมนตรีคนปัจจุบัน นายกีรติศักดิ์ ภูเก้าล้วน เป็นนักพัฒนา เป็นผู้ที่พยายามสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับจังหวัดกระบี่ เพื่อให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะเรื่องศิลปะที่จะอยู่ยั่งยืนคู่กับเมืองตลอดไป จึงเป็นธรรมดาที่ฝ่ายตรงข้ามจะต้องเกิดความไม่พอใจ และพยายามต่อต้านในทุกวิถีทาง “เรื่องไม้มะหาดที่เกิดขึ้นในกระแสสังคมโซเชี่ยลทีเดียวซึ่งมีผลกระทบมาถึงตัวผมและเพื่อนศิลปินญี่ปุ่น มูไก นั้น ทางนายกเทศมนตรีอำเภอเมืองกระบี่ ก็ได้แถลงให้ข่าวที่กระจ่างแจ้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่าไม้ที่ตัดมาทำงานศิลปะนั้น เจ้าของเขาจะตัดไปสร้างบ้าน แต่ทาง นายเทศมนตรีเห็นว่าน่าจะเอามาทำงานศิลปะให้อยู่คู่กับจังหวัดกระบี่น่าจะดีกว่า ก็เลยไปขอซื้อมา และไม้ชนิดนี้ก็ไม่ได้อยู่ในบัญชีไม้สงวนอนุรักษ์ห้ามตัดแต่อย่างใด ในส่วนของศิลปินทั้งผมที่ทำประติมากรรมสเตนเลส และ มูไก ศิลปินญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ในด้านการทำงานศิลปะด้วยไม้ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเรื่องการนำวัสดุมาทำงานในครั้งนี้เลย และเราทั้งสองได้มาช่วยสร้างประติมากรรมให้กับเมืองนี้โดยไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดเช่นกัน”

อาจารย์กมล ทัศนาญชลี ได้เปิดใจต่ออีกว่า ตนและเพื่อนศิลปินชาวญี่ปุ่น มูไก มีความปรารถนาดีที่จะสร้างสิ่งดี ๆ ให้อยู่คู่กับเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม แห่งทะเลอันดามัน เป็นงานที่ทำเพื่อมอบให้กับแผ่นดินไม่ได้มีผลประโยชน์กับการทำงานครั้งนี้แต่อย่างใด “ผมอยากให้ทุกคนที่มองเราในแง่ลบได้โปรดเข้าใจการทำงานด้วยจิตวิญญาณของผมเอาไว้ด้วย ผมสร้างสภาศิลปกรรมไทยสหรัฐอเมริกามา 37 ปี ทำงานเพาะเมล็ดพันธุ์ทางด้านศิลปะเพื่อช่วยพัฒนาวงการงานศิลป์ของบ้านเราให้ก้าวหน้ามาก่อนที่กระทรวงวัฒนธรรมจะเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนเสียอีก เพราะฉะนั้นอย่าพยายามเอาผมเข้าไปเป็นแพะรับบาปกับเรื่องนี้เลยครับ” ศิลปินแห่งชาติ ดร.กมล กล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น พร้อมทั้งได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นข้อคิดด้วยว่า “พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาตนเองได้พยายามนิ่งมาตลอด ไม่โต้ตอบอะไร ได้แต่ติดตามดูความคิดเห็นของคนที่มีต่อกระแสข่าวนี้ทั้งทางเฟซบุ๊ก และจากการได้รับฟัง ทำให้ได้รู้ว่า ใครเป็นอย่างไร ใครคิดอย่างไรกับเรา ใครเป็นเพื่อน ใครเป็นศัตรู ผมเองไม่ได้คิดอะไร ไปทำบุญถวายสังฆทานให้กับทุกคนที่คิดไม่ดีกับเรา และยังมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อสร้างเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ๆ ให้กับวงการศิลปะของประเทศไทยต่อไปเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้”


โครงการเยาวชนไทยฯครั้งที่ 10 ล่องสงขลา-เข้าหานายกฯ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2558 เวลา 17.00 น. ที่ร้านอาหารไทยคิทเช่น เมืองเบอร์แบงค์ นายสุรศักดิ์ วงศ์ข้าหลวง ประธานโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกาเยือนแผ่นดินแม่ ฝ่ายสหรัฐฯ ได้เปิดการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนถึงการจัดโครงการในปีนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 10 และเป็นวาระครบรอบ 20 ปีที่ได้ดำเนินโครงการมา โดยมี กงสุลใหญ่เจษฎา กตเวทิน กงสุลสัณห์ อรุณรักษ์ติชัย ผอ.ททท.แอลเอ กุลปราโมทย์ วรรณะเลิศ และ ผู้จัดการประจำภูมิภาคอเมริกา บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) นายสุดเศวต เศวตะโศภน ได้เข้าร่วมรับฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ นายสุรศักดิ์ ได้กล่าวในเบื้องแรกว่า โครงการในปีนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 ถึง 19 กรกฎาคม 2558 โดยในช่วงแรกกิจกรรมของเยาวชนและผู้ปกครอง จะเหมือนกับโครงการในปีที่ผ่านมาคือการไปร่วมแถลงข่าวที่ ททบ.5 พร้อมรับการเลี้ยงอาหารค่ำในวันแรก จากนั้นจะมีโปรแกรมเข้าพบบุคคลสำคัญของเมืองไทย อาทิ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เยี่ยมชมสำนักงานใหญ่การบินไทย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชมโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ทัศนศึกษาพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เลี้ยงอาหารกลางวันทหารที่บาดเจ็บจากการปกป้องประเทศชาติ ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก เยี่ยมสถานสงเคราะห์เด็กพิการและทุพพลภาพบ้านปากเกร็ด ฯลฯ โดยในช่วงที่อยู่กรุงเทพฯจะพักกันอยู่ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค บนถนนรัชดาภิเษก

ในส่วนของการเดินทางไปทัศนศึกษาที่ต่างจังหวัดนั้น โครงการในปีนี้จะนำเยาวชนและผู้ปกครองไปเที่ยวชมทางใต้ “จริง ๆ แล้วเราอยากพาไปกระบี่ แต่คณะกรรมการทางเมืองไทยของเราได้ติดต่อไปแล้วปรากฏว่าราคาที่พักสูงมาก ทางโครงการซัพพอร์ทไม่ไหว เลยเปลี่ยนที่ จะให้ไปเที่ยวทางจังหวัดสงขลา จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดชุมพรแทน รวมทั้งจังหวัดที่เป็นทางผ่านก่อนเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ แต่ทั้งนี้ยังไม่ลงตัวเสียทีเดียว เพราะเรายังมีเวลา ก็เลยหาช่องทางติดต่ออยู่ หากได้ค่าที่พักที่กระบี่ลดลงมา เราก็จะพาไปเที่ยว ตามที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกครับ”

ทั้งนี้ประธานโครงการเยาวชนไทยฯ ฝ่ายสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยให้ทุกคนได้รับทราบด้วยว่า เนื่องจากในปีนี้เป็นปีมหามงคลที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา ทางคณะกรรมการโครงการฝ่ายประเทศไทยได้ทำหนังสือขอพระราชทานพระราชานุญาตนำคณะกรรมการ ผู้ปกครอง และเยาวชน โครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 10 เข้าเฝ้าถวายพระพร เป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งถ้าได้รับพระราชทานพระราชชานุญาตก็นับเป็นมงคลอันสูง ยิ่งกับทางคณะของโครงการทีเดียว และกำหนดการที่วางเอาไว้ในหลาย ๆ จุดก็คงต้องมีการปรับเปลี่ยน โดยเอาวันเข้าเฝ้าฯ เป็นหลัก ซึ่งเรื่องนี้ทางโครงการจะแจ้งให้ทราบเมื่อได้รับการตอบรับมาเป็นที่เรียบร้อย

จากนั้น กงสุลใหญ่ ณนครลอส แอนเจลิส เจษฎา กตเวทิน ได้กล่าวถึงการจัดโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกาเยือนแผ่นดินแม่ว่าเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์อย่างมากกับเยาวชนที่เกิดและเติบโตใน สหรัฐอเมริกา ได้มีโอกาสไปเห็นและสัมผัสแผ่นดินบ้านเกิดของพ่อแม่ นอกจากนี้ยังได้ไปสัมผัสวัฒนธรรมไทยตามที่ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ระหว่างอยู่ในโครงการ ครอบครัวก็จะได้อยู่ใกล้ชิดกันอีกด้วย โดยในปีนี้ทางสถานกงสุลใหญ่ฯ มีงบประมาณสนับสนุน เป็นจำนวนเงินสามแสนบาท “โครงการครั้งที่แล้ว ผมมีโอกาสไปร่วมกับภริยาและลูกชายคนเล็ก สำหรับปีนี้ลูกสาวคนโตจะไปด้วย ครอบครัวผมก็จะไปร่วมกันทั้งสี่คนเลยครับ”

ในส่วนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนั้น ผอ.ททท.แอล.เอ. กุลปราโมทย์ วรรณะเลิศ ได้กล่าวว่า การสนับสนุนจะเป็นการจัดเลี้ยง คณะของโครงการหนึ่งมื้อรวมทั้งจัดกิจกรรมให้เยาวชนได้ร่วมสนุกอีกด้วย “ได้นำเรื่องนี้คุยกับ รองยุ้ย-จุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลางและอเมริกา เป็นที่เรียบร้อย ส่วนจะเป็นวันไหนและที่ไหนนั้น คงจะต้องประสานกันอีกครั้งนะคะ”

ในส่วนของราคาค่าตั๋วเดินทางนั้น นายสุดเศวต เศวตะโศภน ผู้จัดการการบินไทยประจำภูมิภาคอเมริกา ได้กล่าวเปิดเผยว่า ขอไปทางสำนักงานใหญ่ได้ราคารวมทุกอย่างแล้วอยู่ที่ท่านละ $1,478 เป็นตั๋วชั้นประหยัดอายุ 6 เดือน ซึ่งตนเองจะให้เจ้าหน้าที่ กันที่ในเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นช่วงพีคซีซั่นไว้ให้กับทางโครงการจำนวน 150 ที่ และบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) รับเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงอาหารกลางวันที่สำนักงานใหญ่พร้อมจัดนำเยาวชนเข้าชมการฝึกบินในเครื่องบินจำลอง”ซิมูเลเตอร์”อีกด้วย

นายสุรศักดิ์ วงศ์ข้าหลวง ได้กล่าวเพิ่มเติมกับผู้สื่อข่าวอีกว่า การจัดโครงการเยาวชนไทยฯเยือนแผ่นดินแม่ในทุกครั้งจะใช้งบประมาณครั้งละห้าถึงหกล้านบาทซึ่งคณะกรรมการในประเทศไทยทำงานกันอย่างแข็งขันมาก ขอสปอนเซอร์จากบริษัทและองคร์กรต่าง ๆ แห่งละแสนสองแสน จำนวนหลายแห่งหน่อยเราก็ได้งบพอกับการจัดในทุกครั้ง” เฉพาะที่เราเก็บค่าเข้าร่วมโครงการจากผู้ปกครองคนละ 600 เหรียญ และจากเยาวชนคนละ 100 เหรียญ เป็นค่าที่พัก ค่าเดินทาง และค่าอาหาร เราไม่สามารถจัดได้หรอกครับ ผมถึงต้องขอขอบคุณคณะกรรมการฝ่ายประเทศไทยและสปอนเซอร์ที่เมืองไทยทุกท่านซึ่งได้ช่วยทำให้การทำโครงการเราเดินทางจนถึงปีนี้ซึ่งครบ 20 ปีพอดี ผมซาบซึ้งใจมาก รู้ว่าทุกคนอยากให้จัดโครงการนี้ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อประโยชน์ของเยาวชนไทยที่เกิดและเติบโตในต่างแดนจะได้รู้จักและรักแผ่นดินไทย”

สำหรับผู้ปกครองที่สนใจจะนำบุตรหลานเข้าร่วมกับโครงการในปีนี้สามารถติดต่อสอบถามและขอใบสมัครได้ที่ สุรศักดิ์-วราภรณ์ วงศ์ข้าหลวง 323-833-6383 และ 323-833-3723 สาคร ศิริรัฐ 929-770-3762 สง่า รัศมี 626-383-5338 พูนศิริ ลิมพะสุต 909-680-5150 นสพ.ข่าวสดยูเอสเอ 323-464-1425 และทางอีเมล samswongs@hotmail.com


'ประยุทธ’โดนเซ้าซี้ อยากชกหน้านักข่าว

6 มี.ค. 58 เมื่อเวลา 09.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนาโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ ที่โรงแรงเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า โดยระบุว่า การที่ประเทศไทยจับมือกับอังกฤษ โดยการเข้าร่วมโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (คอสต์) เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ป้องกันการทุจริต คอร์รัปชั่น และเพื่อให้มีกลไกในการตรวจสอบ การทำงานทุกวันนี้อย่าซีเรียส การทำงานทุกอย่างมีปัญหาอยู่แล้ว วันนี้ที่เราเข้ามา เราต้องการทำทุกอย่างให้ประเทศเกิดความภาคภูมิใจ มีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรี โดยสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้น ซึ่งตอนที่รัฐบาลนี้เข้ามา มีปัญหามากมาย ทุกคนจึงอยากให้ประเทศเดินหน้าไปได้ โดยนโยบายสำคัญวันนี้ คือ รัฐบาลต้องการที่จะขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น สร้างความโปร่งใส สิ่งเหล่านี้ถึงจะยาก แต่จะทำอยางไรให้เกิดขึ้นได้จริง และขอกำลังใจจากประชาชนในการให้ความร่วมมือ และเจตนาวันนี้ที่เข้ามาไม่ได้มุ่งหวังสืบทอดผลประโยชน์ สืบทอดอำนาจ ถ้าคิดจะทำเช่นนั้น คงไม่มาทำเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริต และการเข้าร่วมโครงการกับคอสต์

"ขอให้จำเอาไว้ ไม่รู้จะเอาไว้ทำไม ทำทุกอย่างเพื่อประเทศ เราเข้ามาเพื่อต้องการให้ประเทศปลอดภัย ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น และอยู่อย่างทัดเทียมมิตรประเทศ แม้วันนี้เราจะถูกปรับอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นประจำปี 2557 อยู่ที่ 35 ซึ่งขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ อยากให้ขึ้นไปมากกว่า แต่คงเป็นเรื่องยาก การสร้างความโปร่งใส ไม่ใช่เรื่องของภาครัฐอย่างเดียว ทุกคนต้องช่วยกัน"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า เราจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนยอมรับ จะต้องไม่ใช้กฎหมายในทางที่ผิด หรือสร้างความขัดแย้ง จะต้องไม่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสร้างความไม่โปร่งใส เราจะต้องยึดมั่นทำงานให้โปร่งใส และรวดเร็วให้ได้ โดยยึดหลัก ธรรมาภิบาล คุณธรรม จริยธรรม และหลัก 3 ป. คือ ป้องกัน ปราบปราม และปลูกจิตสำนึก วันนี้เชื่อมั่นว่าไม่ได้ใช้อำนาจ หรือไปทรมานใคร ไม่ได้ใช้อำนาจ หรือกฎหมายมาตราใดอย่างที่คนอื่นพูด อำนาจและกฎหมายเหล่านั้นไว้ใช้กับคนไม่ดี ทำผิดกฎหมาย มีคดีความ และขอชี้แจงกับทุกฝ่ายโดยเฉพาะเอกอัคราราชทูตอังกฤษ ว่า รัฐบาล และคสช. ไม่มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพ หรือทรมานใครที่เรียกตัวมา การที่เชิญบุคคลมา 3 - 4 พันคนนั้น มีเพียง 3 - 4 ร้อยคน และดูแลอย่างดี ตอนนี้ปล่อยกลับหมดแล้ว ไม่มีการทรมาน แทบจะโอ๋กันด้วยซ้ำ เป็นการเชิญมาพูดคุย

"วาระแห่งชาติวันนี้ จะต้องสร้างความเข้าใจ ลดความขัดแย้ง และเร่งการปฏิรูป ที่ผ่านมาทั้ง 2 รัฐบาล ได้มีความพยายามทำมาตลอด แต่ทำไม่ได้ วันนี้จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดแนวร่วมมุมกลับ โดยวันนี้ก็ได้พูดอย่างระมัดระวังในทุกด้าน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด หรือความขัดแย้ง ที่ผ่านมาผมพยายามพูด หรือสั่งการทุกอย่างอย่างระมัดระวัง บางคืนถึงกับฝันว่าสั่งไปจริงแล้วหรือยัง ยอมรับว่าเหนื่อย แต่สู้ได้ ไม่ต้องห่วง อย่าคิดว่าเหนื่อยแล้วจะไปไหน ไม่มีทาง ไม่สำเร็จไม่ไป ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่รู้จะเข้ามาทำไม ไหนใครไม่ชอบหน้าผมก็บอกมาเลย จะได้จบๆ สักที ถ้าประชาชนไม่ต้องการ ผมก็จะไม่อยู่แล้ว ผมทำขนาดนี้ ไม่เข้าใจ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ดังนั้นขอให้ทุกคนร่วมมือกับผมในการเดินหน้าประเทศ ช่วยกันหาทางเดินหน้าต่อให้ได้ ทางไหนตันก็หาทางใหม่"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ ตัวเองและรัฐมนตรีทุกคนที่เข้ามา ก็ไม่ได้อะไรเลย ส่วนเรื่องแม่น้ำ 5 สาย อย่าไปกังวล ใครจะอยู่จะไปผมก็ยึดตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว และเดี๋ยวผมจะเป็นคนตัดสินเอง ขอวันนี้อย่านำทุกอย่างมาตีกัน ไม่เช่นนั้นประเทศก็ไม่ต้องไปไหน มีรัฐธรรมนูญก็ตีกันอีก แล้วจะให้ผมทำอย่างไร ทุกประเทศผ่านการปฏิรูปมาหมดแล้ว เราช้ากว่าประเทศอื่นๆ วันนี้เราต้องเอาทุกเรื่องมาปฏิรูป จึงขอใช้เวลา เพราะต้องแก้กฎหมาย กระบวนการ แก้คน แก้ทัศนคติในการทำงาน สร้างกลไกอีกหลายเรื่อง จึงขออย่าใจร้อนมากนัก ใจร้อนมากจะเสียของ เดี๋ยวก็จะเตรียมการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญก็กำลังจะออกมา อย่ากังวล ถ้าประชาชนไม่ยอมรับ ผมก็ไม่เอาด้วยแล้ว ประเทศนี้ ทำไมถึงไม่เข้าใจกัน รัฐบาลนี้เข้ามาเป็นรัฐบาลจริงๆ เพียงแค่ 6 เดือน วันนี้เราจะต้องทำทุกอย่างไม่ให้เกิดแรงต้าน ให้ประชาชนเข้าใจ สีไหนผมไม่สนใจ ถ้าเราดูแลเขาดีและมีความจริงใจให้ มันก็ต้องสามารถทำได้ อย่างวันนี้ผมไปในบางพื้นที่ที่มีคนห้าม ก็ไม่เห็นเขาจะว่าอะไร ในเมื่อที่ผ่านมาผมก็ทำงานให้ทุกคนอยู่แล้ว

"วันก่อนเจอนักข่าวถามว่า รัฐบาลมีผลงานอะไร ผมแทบจะชกหน้าคนถาม ทำมาตั้งเยอะแยะไม่เห็นหรืออย่างไร วันนี้จะพูดไปเรื่อยๆ ยอมเหนื่อย ยอมเจ็บคอ ต่อไปนี้ทุกคืนวันศุกร์ ข้าราชการทุกกระทรวงต้องจดบันทึกให้รัฐมนตรีให้ทราบว่าผมพูดอะไรไปบ้าง นักข่าวเองก็ต้องฟังเหมือนกัน เวลามาถามจะได้รู้เรื่อง และมีแนวคิดจะเปิดเวทีละถามนักข่าวบ้าง เหมือนการสอบ แล้วส่งให้บรรณาธิการดีไหม วันนี้ผมคิดเยอะอยู่ในหัว รับข้อมูลมาทุกเรื่อง"


อุ้มสาวคนสนิท'เดอะกิ๊ก' ซ้อมนำมาทิ้งสนามกอล์ฟ

เมื่อเวลา 18.00 น.วันที่ 6 มี.ค. ร.ต.ท.จักรทอง คำมาพล ร้อยเวร สภ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ รับแจ้งมีหญิงสาวถูกมัดมือและรัดคอ แต่ยังไม่เสียชีวิตบริเวณทางเข้าสนามกอล์ฟสุภาพฤกษ์ ใกล้กับมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตสุวรรณภูมิ (เอแบค) ถนนบางนา-ตราด กม. 26 หมู่ 7 ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จึงพร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน และมูลนิธิร่วมกตัญญู รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ บริเวณริมบ่อป่าหหญ้าริมทางเข้าสนามกอล์ฟดังกล่าว พบหญิงสาวสภาพอิดโรยไม่มีแรง และมีอาการมึนศีรษะ เนื่องจากถูกของแข็งกระแทกอย่างแรงที่ศีรษะ ทราบชื่อต่อมา น.ส.ชนิตา กินนิส อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 2 ต.บ้านช้าง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนรีบนำตัวส่ง รพ.บางบ่อ

สอบสวนนายสุพจน์ แซ่หลอ อายุ 30 ปี รปภ.สนามกอล์ฟสุภาพฤกษ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุเห็นรถแท็กซี่สีเหลือง ไม่ทราบรุ่นทะเบียน ขับเข้ามาบริเวณด้านในสนามกอล์ฟ ทีแรกคิดว่าเป็นคนที่เลี้ยงปลาอยู่ด้านหลังสนามกอล์ฟ จึงไม่ได้ให้แลกบัตร โดยสังเกตในรถแท็กซี่นั่งมากัน 3 คน โดยเห็นหญิงสาวนั่งซบอกผู้ชายที่เบาะหลังรถแท็กซี่ จากนั้นก็หายเข้าไปด้านในประมาณ 5นาที รถแท็กซี่ก็วิ่งออกมา จากนั้นอีกประมาณ 10 นาทีก็เห็นว่า มีชายใส่หมวกแก็ป ใส่แว่นดำ เดินออกมาคนเดียว ซึ่งตนก็ไม่ได้สงสัยอะไร เมื่อชายคนนั้นเดินออกไปสักพักใหญ่ ก็เห็นผู้หญิงคลานออกมาจากจุดที่รถแท็กซี่วิ่งเข้าไป โดยมีท่าทางเหมือนถูกทำร้ายมาขอความช่วยเหลือ จึงได้เข้าไปดูพบสภาพถูกมัดมือและรัดคอด้วยเชือกไนล่อนและเทปกาว จึงรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตามไปที่ รพ.บางบ่อ เพื่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ทราบว่า น.ส.ชนิตา กินนิส มีความสนิทสนมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ที่ถูกดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูง และรับสินบน โดยหลังจากที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ถูกอายัดทรัพย์สินแล้ว น.ส.ชนิตาก็ถูกอายัดทรัพย์ด้วยเช่นกัน โดยวันนี้ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้มีการนำทรัพย์สินออกมาขายทอดตลาด จึงได้ออกจากบ้านย่าน ถนนรัชดาภิเษก เพื่อไปที่สำนักงาน ปปง. ในระหว่างทางได้แวะไปกินข้าวที่ห้างเซ็นทรัลรามอินทราขณะที่ลงรถแท็กซี่ที่หน้าห้างได้มีชายมาประกบแล้วเอาอาวุธปืนมาจ่อที่หลังขู่บังคับให้ขึ้นรถเก๋งสีดำ จากนั้นได้ปิดตาและมัดมือ ก่อนจะถูกฟาดด้วยของเข็งที่ศีรษะจนหมดสติ กระทั่งมาฟื้นที่ริมโพรงหญ้าข้างทางสนามกอล์ฟดังกล่าว

น.ส.ชนิตา ยังให้การอีกว่า พ่อตนมีเมีย 4 คน ตนเองเป็นลูกของเมียคนที่สอง และเมื่อปี 2552 พ่อพร้อมเมียคนที่ 3 ถูกฆ่ายกครัว 5 ศพ หลังจากนั้นตนก็ถูกขู่ฆ่ามาโดยตลอด โดยตระกูลของพ่อคือ "ประทุมวาสนา" ซึ่งมีมรดกทรัพย์สินจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงเฝ้าดูแลความปลอดภัย น.ส.ชนิตา อยู่ที่ รพ.บางบ่อ โดยยังคงมีอาการมึนศีรษะอย่างหนัก และให้การวกวน ทั้งนี้ คงต้องรอให้สภาพร่างกายดีขึ้นกว่านี้ เพื่อทำการสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เบื้องต้นเชื่อว่า คนร้ายคงคิดว่า น.ส.ชนิตา เสียชีวิตแล้ว จึงนำมาโยนทิ้งก่อนที่จะหลบหนีไป ซึ่งจะได้ทำการสอบสวนเพื่อหาสาเหตุและติดตามกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป..

"จาตุรนต์"แจมประเด็นร้อนแม่น้ำ 5 สาย ดักคอบิ๊ก คสช. ห้ามนั่งนายกฯคนนอก

นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 6 มี.ค. เรื่อง "ใครควรเว้นวรรค ไม่เว้นวรรค" ว่า เดิมทีตนไม่ค่อยสนใจเรื่องการตัดสิทธิ์แม่น้ำ 5 สาย เท่าที่ทราบผู้เสนอเรื่องนี้ใช้คำว่า "ตัดสิทธิ์ทางการเมือง" ซึ่งกินความค่อนข้างกว้าง อาจต้องการให้เกิดความหวือหวาโดยไม่ได้หวังผลอะไรจริงจัง แต่เมื่อเห็นถกเถียงกันจนเป็นประเด็นร้อนขณะนี้ ตนจึงขอแสดงความเห็นบ้างว่าข้อเสนอนี้มีเหตุผล แต่บรรดาผู้มีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในแม่น้ำ 5 สายไม่จำเป็นต้องเว้นวรรคทางการเมืองทุกคน เราควรเสนอเรื่องสำคัญในทางหลักการสัก 2-3 เรื่องก็พอ

ข้อแรก ไม่ควรห้ามบุคคลเหล่านี้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และหากบุคคลเหล่านี้ได้รับเลือกตั้งแล้วก็ไม่ควรห้ามเป็นนายกฯ ต้องถือว่าเมื่อเขาได้รับเลือกตั้งจากประชาชนก็ต้องยอมรับเขา

ข้อสอง ผู้ที่ไม่มีส่วนโดยตรงกับการร่างรัฐธรรมนูญ หรือการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ควรต้องถูกตัดสิทธิ์ในการดำรงตำแหน่งต่างๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีขึ้น เพราะการไปมีข้อห้ามสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่างรัฐธรรมนูญ ย่อมไม่มีผลต่อการร่างรัฐธรรมนูญ

ข้อสาม ผู้ที่มีหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ และผู้ที่มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ควรเว้นวรรคจากการดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระและวุฒิสภา เว้นแต่รัฐธรรมนูญกำหนดให้องค์กรอิสระและวุฒิสภา มีที่มาจากการเลือกตั้งหรือมีการยึดโยงกับประชาชนทั่วไป แต่ข้อนี้จะมีข้อเสียตรงที่ไม่ได้บอกบุคคลเหล่านี้ไว้ก่อน ดังนั้นอาจยกเว้นสำหรับผู้ที่ลาออกไปก่อนที่การร่างรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จก็ได้

ข้อสี่ ผู้ดำรงตำแหน่งใน คสช. และองค์กรอื่นในแม่น้ำ 5 สายไม่ควรรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่มาจากการเลือกตั้ง เรื่องนี้อาจไม่จำเป็นต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แค่บุคคลเหล่านี้ประกาศเองว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกฯที่ไม่มาจากการเลือกตั้งก็พอ