ข่าว
จีนปลดอาจารย์กฎหมายฐานวิจารณ์รัฐบาล

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ว่า มหาวิทยาลัยอีสต์ ไชนา ยูนิเวอร์ซิตี้ ในนครเซี่ยงไฮ้ ปลดอาจารย์จาง ฉือจง จากคณะรัฐศาสตร์และกฎหมาย เนื่องจากไม่ยอมรับผิด กรณีที่โพสต์บทความวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จากการแถลงของมหาวิทยาลัยในวันนี้ ตอกย้ำให้เห็นคำถามเกี่ยวกับเสรีภาพทางวิชาการของวิทยาลัยต่างชาติที่เข้ามาตั้งในจีน เสรีชนจำนวนมาก ต่างก็หวังว่า รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การบริหารของนายสี จะมีความอดทนมากขึ้นต่อเสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง

แต่การปลดอาจารย์ด้านกฎหมายท่านี้ เผยให้เห็นหลักฐานใหม่ว่า รัฐบาลจีนมีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ลงรอย และการปลดอาจารย์จาง มีขึ้นหลังจากปลดนายเซียะ เหยเหลียง นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่มีแนวความคิดเสรีในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ฐานโพสต์ข้อความลงในเว็บไซต์เรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตย และกฎหมายในจีน

สื่อนอกลงบทความ “ทำไม่ทหารไทยไม่แทรกแซงการเมือง”

เว็บไซด์ของนิตยสาร“ไทม์ส”ของสหรัฐตีพิมพ์บทความวิเคราะห์“ทำไมทหารไทยถึงเหนื่อยกับการแทรกแซงการเมือง”เมื่อวันที่ 10ธ.ค.เขียนโดยนายชาร์ลีแคมพ์เบล ซึ่งมีใจความว่าหลังจากที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประกาศยุบสภาและกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งวันที่ 2 ก.พ. ปี 2557นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรครัฐบาลก็จะยังคงได้รับชัยชนะเหมือนเดิมเนื่องจากเสียงสนับสนุนที่เหนียวแน่นจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งสร้างปรากฏการณ์นำพา ส.ส.153 คน ลาออกจากรัฐสภาและยังคงมีท่าทีไม่แน่นอนว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปในสมัยหน้าหรือไม่

บทความระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีส่วนคล้ายกับในปี 2549 ที่พรรคของพ.ต.ท.ทักษิณชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีถูกฝ่ายเสื้อเหลืองประท้วงจนต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งแต่ในที่สุดฝ่ายทักษิณก็เป็นได้รับชัยชนะอีกครั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศปฏิเสธการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลจนสุดท้ายกองทัพต้องออกโรงแทรกแซงทางการเมืองเข้าทำการรัฐประหารโค่นล้มอำนาจอดีตนายกฯทักษิณจากนั้นมวลชนเสื้อแดงก็พากันมารวมตัวเคลื่อนไหวทางการเมืองจนเป็นปัญหาเหลือง-แดงของประเทศไทยมายังปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามการประท้วงในปี 2556 นี้มีคนบางพวกที่ยังคงหวังให้ทหารออกมาทำรัฐประหารอีกครั้งแต่ฝ่ายทหารเองกลับพลิกบทบาทมาเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังและขณะที่ผู้ประท้วงหลายหมื่นออกมาเดินขบวนทั่วกรุงเทพฯฝ่ายทหารได้เตรียมกำลังพลปลอดอาวุธเข้าดูแลฝูงชนโดยเมื่อความรุนแรงปะทุขึ้นที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงทหารก็เพียงออกมาแสดงบทบาทเป็นผู้พยายามไกล่เกลี่ยความขัดแย้งเท่านั้น

จากเหตุการณ์รัฐประหารโค่นล้มอำนาจรัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2549 และความพยายามของทหารในการเป็นรัฐบาลชุดต่อมาในช่วงเดือน ก.ย.2549-ธ.ค.2550 นั้นสร้างบทเรียนอันแสนเจ็บปวดให้กับกองทัพทั้งนี้ นายนิโคลัส ฟาร์เรลลีผู้เชี่ยวชาญด้านภูมภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำมหาวิยาลัยแห่งชาติของออสเตรเลียกล่าวว่ารัฐบาลทหารชุดดังกล่าวเองก็ไม่ประสบความสำเร็จในการจัดการปัญหาบ้านเมือง

จากนั้นในปี 2553 กองทัพก็ได้ช่วยรัฐบาลในการเข้าปราบปรามสลายผู้ชุมนุมเสื้อแดงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16-92 รายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมากองทัพก็ผันตัวมาอยู่แนวหลังเนื่องจากมีส่วนในการสังหารประชาชน อย่างไรก็ตามกองทัพสามารถกู้ภาพพจน์ของตนเองขึ้นมาได้เมื่อช่วงที่ประเทศไทยน้ำท่วมในปี 2554 เพราะได้ส่งกองกำลังลงพื้นที่เข้าไปให้การช่วยเหลือและช่วยชีวิตประชาชนไว้ในหลายพื้นที่

เมื่อเหตุการณ์ความขัดแย้งปะทุขึ้นในครั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยให้สัมภาษณ์แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ปัจจุบันและกล่าวว่าทหารจะอดทนและแสวงหาทางออกที่เป็นทางแห่งสันติภาพทั้งนี้ นายแอนโทนี เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงของบริษัทข่าวกรองเอกชน “ไอเอชเอส-เจน” ประจำกรุงเทพฯ กล่าวว่าทหารต้องการลดความเป็นไปได้ของการเข้าทำรัฐประหารอีกครั้งที่สำคัญคือไม่มีความต้องการจะเข้าไปติดบ่วงของรัฐประหารอีกแล้วกองทัพยังเคยทำข้อตกลงกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในการไม่ดำเนินคดีต่อทหารในการเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงอีกด้วย

ขณะนี้พลเอกประยุทธ์กำลังแสดงบทบาทการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างฝ่ายนายกรัฐมนตรีรักษาการยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับแกนนำผู้ประท้วงอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นอกจากนี้กองทัพยังมองว่าตนเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนอีกด้วย

“โป๊ป ฟรานซิส” บุคคลแห่งปี 2013 นิตยสารไทม์

สำนักข่าวเอเอฟพีและเอพีรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ว่า นิตยสารไทม์อันทรงอิทธิพลของสหรัฐ ประกาศเมื่อวันพุธ ยกย่อง พระสันตะปาปา ฟรานซิส หรือ โป๊ป ฟรานซิส ชาวอาร์เจนตินา องค์ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลกในปัจจุบัน เป็น "บุคคลแห่งปี 2013" จากการที่ทรงกลายเป็นเสียงใหม่แห่งคุณธรรม และดึงตำแหน่งโป๊ปจากพระราชวังออกสู่ท้องถนน นอกจากนั้นยังทรงมีพระกรณียกิจที่น่าสนใจอย่างมากมาย หลังเข้ารับตำแหน่งมุขนายกแห่งคริสตจักรกรุงโรมได้เพียง 9 เดือน

นางแนนซี กิบส์ บรรณาธิการบริหารนิตยสารไทม์ กล่าวว่า โป๊ป ฟรานซิส ทรงวางพระองค์อยู่ตรงใจกลาง ประเด็นสนทนาของประชาชนทั่วโลกในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความร่ำรวยหรือยากจน ความเป็นธรรมและความยุติธรรม ความโปรงใส ความโปร่งใส โลกาภิวัฒน์ บทบาทของสตรี สภาวะการสมรส หรือสิ่งยั่วยวนแห่งอำนาจ ส่วนผู้ที่ได้อันดับรองบุคคลแห่งปีของไทม์ในปีนี้ได้แก่ นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ชาวอเมริกัน อดีตเจ้าหน้าที่สัญญาจ้างของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสเอ) ที่เปิดเผยความลับโครงการสอดแนมของรัฐบาลสหรัฐ จนต้องลี้ภัยไปอยู่ที่รัสเซียในปัจจุบัน