ข่าว
วัคซีนโควิด-19 ในไทย เริ่มเข็มแรกต้นปี 2564

เมื่อไม่นานมานี้ “ประเทศไทย” เริ่มทดลองฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 “ชนิด mRNA” ในลิงครั้งแรก หลังประสบความสำเร็จในการทดสอบกับหนูมาแล้ว นับว่าเป็นอีกก้าวสำคัญของวงการวิจัยไทย

ซึ่งใช้รหัสพันธุกรรมของเชื้อชนิดนี้ ที่พัฒนาจากศูนย์วัคซีนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สนง.การวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ตามยุทธศาสตร์การผลิตวัคซีน...พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวนโยบายไว้ว่า...

ประเทศไทยจะต้องมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พร้อมๆ กับนานาอารยประเทศ โดยเร่งวิจัยและพัฒนาวัคซีนในประเทศ รวมทั้งทำความร่วมมือกับต่างประเทศ และเตรียมพร้อมการผลิต หรือจัดหาวัคซีนให้เพียงพอต่อความต้องการ...

ขณะที่ทั่วโลก...มีการวิจัยพัฒนาทดสอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไม่น้อยกว่า 200 แบบ แต่ไม่มีใครทราบว่า...“วัคซีนแบบใดใช้ได้ผล” เพราะแทบทุกแบบอยู่ในขั้นการทดลองกับสัตว์ ที่มีเพียง 6-7 แบบ เริ่มทดลองในคนแล้ว เช่น วัคซีนของจีน และสหรัฐอเมริกา กระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้น 6-12 เดือนข้างหน้า

ส่วนการผลิตวัคซีนทดสอบในคนของประเทศไทย หากมีผลที่ดีจากการทดสอบในลิง ก็คาดว่าจะเริ่มต้นได้ภายในเดือน ส.ค.-ก.ย.2563 นี้...

ความก้าวหน้าของการทดลองวัคซีนโควิด-19 นี้ ดร.สิทธิพร ภัทรดิลกรัตน์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะทำงานโครงการสนับสนุนข้อมูลวิจัยเชิงลึกด้านเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สกสว. ให้ข้อมูลว่า การทดลองวัคซีนในลิงของศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ เป็นรูปธรรมของการเตรียมความพร้อมของประเทศไทย

ด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการวิจัยและการทดลองในสัตว์ ทำให้สามารถรับมือกับโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำ และโรคระบาดอย่างในกรณีของโรคโควิด-19 นี้ได้

นับว่า...เป็นการแสดงถึงความเข้มแข็งด้านการวิจัยสาธารณสุข วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ไทย เพื่อให้มีวัคซีนใช้ในประเทศ เพราะถ้าสมมติว่า...ประเทศมหาอำนาจประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีน และไม่ยอมให้...เราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่หากในไทยทำได้สำเร็จเองก็เป็นเรื่องดีกับคนไทยในอนาคต...

ส่วนการทดลองในสัตว์...ใช้เวลา 3-6 เดือน เพราะต้องฉีดเดือนละ 1 ครั้ง 2 รอบ ที่ต้องตรวจว่า มีการสร้างภูมิคุ้มกันหรือไม่ หากมีภูมิคุ้มกันและไม่มีอันตราย ก็น่าจะเริ่มทดลองในคนต่อไป สาเหตุทดลองในสัตว์ก่อน เพราะปฏิบัติตามกฎการทดลองกับสัตว์อย่างน้อย 2 ชนิด ส่วน “ลิง” เป็นสัตว์มีระบบภูมิคุ้มกันใกล้เคียงมนุษย์ที่สุด

ทว่าความคืบหน้า...ในการทดลองวัคซีนโควิด-19 บริษัท Moderna ร่วมกับสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ที่ทดลองให้วัคซีนต้านโรคโควิด-19 ผลิตจาก liquid nanoparticle encapsulated-mRNA (mRNA-1273) หรือ “อนุภาคนาโน” ภายในบรรจุ mRNA สร้าง S protein ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2)

เพื่อศึกษาประสิทธิภาพวัคซีนระยะที่ 1 ตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 นำวัคซีนฉีดให้อาสาสมัคร ซึ่งวัคซีนมี 3 โดส ขนาด 25, 100 และ 250 ไมโครกรัม แต่ละรายให้วัคซีนรายละ 2 ครั้ง ในวันที่ 1 จากนั้นอีก 29 วัน ก็ฉีดอีกครั้ง

ปรากฏว่า...“วัคซีนที่โดส 25 และ 100 ไมโครกรัม” มีความปลอดภัย และสามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในอาสาสมัครได้ หลังฉีดวัคซีนโดสเเรกเพียง 15 วัน เมื่อให้โดสที่ 2 มีระดับภูมิคุ้มกัน ในวันที่ 43 มีค่าเพิ่มขึ้นเทียบเท่ากับระดับภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่เคยได้รับเชื้อ SARS-CoV-2 นับเป็นข่าวดีอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ว่า...ผลการทดลองนี้อยู่ในเฟส 1 คาดว่า สิ้นสุดเฟส 1 ราว 6 เดือน ในเดือน ธ.ค.2563 นี้ ก็น่าจะสรุปผลการทดลองได้แน่ชัด ส่วนขั้นต่อไป... นักวิทยาศาสตรคงต้องนำแอนติบอดี (antibody) ไปทดสอบดูว่า...

สามารถยับยั้งการเจริญไวรัสในห้องปฏิบัติการได้หรือไม่ อีกทั้งต้องทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนทั้งในเด็กและผู้สูงอายุด้วย ก่อนจะทดสอบประสิทธิภาพในเฟส 2 กับอาสาสมัครกลุ่มใหญ่ขึ้นต่อไป เพื่อดูผลประสิทธิภาพ

ทำให้ปี 2564 น่าจะสามารถแจกจ่ายทดลองให้ประชาชนทั่วไปได้แล้ว

ในเบื้องต้นไม่นานมานี้...ก็มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการว่า “รัฐบาลไทย” มีการเข้าเจรจาพูดคุยกับ “รัฐบาลจีน”...แต่ก็ไม่มีรายละเอียดมากนัก หากมี “การทดลองวัคซีนในไทย” ก็น่าจะมีการทดลองฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ให้กับกลุ่มอาสาสมัครคนไทย ที่อาจจะเริ่มเข็มแรกเร็วที่สุดได้ราวเดือน ม.ค. หรือในช่วงต้นปี 2564 นี้...

เพราะประเทศจีน...ก็มีความก้าวหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 จากบริษัท CanSino Biologics และสถาบัน Beijing Institute of Biotechnology ได้เริ่มผลิตวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ที่ชื่อว่า Ad5-nCoV

ผลิตมาจากการใช้ “ไวรัสอะดิโน” ที่ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้เป็นพาหะ

ในการแสดงออกโปรตีน S (Spike protein) ซึ่งเป็นโครงสร้างชั้นนอกของไวรัส ที่ใช้จับกับตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์ และสัตว์ที่เป็นโฮสต์ของเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ Wuhan-Hu-1

ซึ่งเริ่มศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพวัคซีน Ad5-nCoV ในระยะที่ 1 ในเดือน มี.ค.2020 วัคซีนที่ผลิตเป็นวัคซีนสำหรับฉีด 1 หลอด มีปริมาตร 0.5 มล. มีไวรัส 5 หมื่นล้านอนุภาค (5×10E10 virus particle)

ในการศึกษานำโดย ศ.Feng-Cai Zhu และคณะ ได้ทดลองให้วัคซีนแก่อาสาสมัครในเมือง Wuhan มีอายุตั้งแต่ 18-60 ปี จำนวน 108 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ในกลุ่มละ 36 ราย ได้รับวัคซีนโดสต่างๆกัน แบ่งเป็นฉีดวัคซีน จำนวน 1, 2 และ 3 หลอด เข้าที่กล้ามเนื้อ

จากนั้นทำการประเมินผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น ทั้งตรวจหาระดับภูมิคุ้มกัน รวมถึงแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งเชื้อ SARS-CoV-2 ในห้องปฏิบัติการได้ อีกทั้งยังศึกษาระดับของไซโทไคน์ และการตอบสนองของ T cell หรือเซลล์ทีเฮลเปอร์ เซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ในการสร้างพัฒนาความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ผลการศึกษาระบุว่า...หลังฉีดวัคซีน 7 วัน อาสาสมัคร 80% แสดงผลข้างเคียง อาทิ เจ็บปวดจุดที่ฉีดวัคซีน บางรายมีไข้ ปวดเมื่อยร่างกาย กล้ามเนื้อ และปวดศีรษะ ซึ่งผู้รับวัคซีน 1–3 โดส ผลข้างเคียงเท่ากัน มีผู้รับวัคซีนเเบบโดสสูง 1 ราย มีอาการป่วยมีไข้สูง อย่างไรก็ดี อาการทั้งหมดดีขึ้นเมื่อผ่านไป 28 วัน

เมื่อวัดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบว่าอาสาสมัครทุกรายที่ได้รับวัคซีนมีแอนติบอดีต่อ Spike protein เพิ่มสูงขึ้นใน 14 วัน หลังจากการฉีดวัคซีน ส่วนระดับของ neutralizing antibody ต่อ live SARS-CoV-2 จากที่ไม่มีเลย พบว่ามีระดับเพิ่มขึ้นในวันที่ 14 วัน และมีระดับสูงสุด ในวันที่ 28

อีกทั้งยังพบ “ระดับไซโทไคน์” เช่น IFN-gamma และ TNF-alpha การตอบสนองของ T cell ต่อ Spike protein เพิ่มขึ้น มีค่าสูงสุดในวันที่ 28 หลังฉีดวัคซีนเช่นกัน เพราะการศึกษานี้ฉีดวัคซีน 3 แบบ ทำให้ทราบว่า...การฉีดวัคซีนโดสสูงขึ้น ทำให้ระดับ neutralizing antibody และ specific T cell ในอาสาสมัครเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

ประเด็นน่าสนใจ...หากอาสาสมัครเคยมีแอนติบอดีต่อ Ad5 adenovirus มาก่อน จะทำให้ประสิทธิภาพวัคซีน Ad5-nCoV ในการกระตุ้น neutralizing antibody และการตอบสนอง T cell ต่อ SARS-CoV-2 ลดลง เพราะร่างกายไปสร้างแอนติบอดี เพื่อตอบสนองต่อ adenovirus แทน ซึ่งน่าจะเป็นข้อจำกัดในการใช้วัคซีนชนิดนี้

ทรัมป์เอาจริง ลงนามคำสั่งพิเศษจัดการโซเชียลมีเดีย หลังมีปัญหาทวิตเตอร์

โดนัลด์ ทรัมป์ ทำตามที่ลั่นวาจา ลงนามคำสั่งพิเศษประธานาธิบดี ลดความคุ้มครองทางกฎหมายบางอย่างของแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์แล้ว หลังเขามีปัญหากับทวิตเตอร์

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ค. 2563 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งพิเศษตีความใหม่ กฎหมายว่าด้วยการสื่อสารที่เหมาะสม (Communications Decency Act) ซึ่งให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ และยูทูบ ในบางสถานการณ์

โดยภายใต้มาตรการ 230 ของกฎหมายดังกล่าว เครือข่ายสังคมออนไลน์จะไม่ต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ผู้ใช้งานโพสต์ และสามารถปิดกั้นเนื้อหาอย่างสุจริตใจ (good-Samaritan blocking) เช่น ลบเนื้อหาที่ ลามกอนาจาร, คุกคาม หรือมีความรุนแรง ได้

อย่างไรก็ตาม ร่างคำสั่งพิเศษของนายทรัมป์ที่เปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ระบุว่า ความคุ้มครองทางกฎหมายนี้ไม่มีผลในกรณีที่ เครือข่ายสังคมออนไลน์ แก้ไขเนื้อหาที่ผู้ใช้งานของตัวเองโพสต์ ขณะที่การปิดกั้นเนื้อหายอย่างมีนัยแอบแฝง รวมถึงการลบโพสต์ด้วยเหตุผลที่ไม่ได้ระบุในเงื่อนไขการใช้บริการของเว็บไซต์ ก็ไม่ควรได้รับความคุ้มครองเช่นกัน

นายทรัมป์ลงนามคำสั่งพิเศษ ที่ห้องทำงานรูปไข่ ในทำเนียบขาว

คำสั่งพิเศษของนายทรัมป์ จะให้กระทรวงพาณิชย์ร้องของต่อคณะกรรมาธิการสื่อสารของรัฐบาลกลาง (FCC) ให้ออกข้อบังคับใหม่สำหรับตีความให้ชัดเจนว่า บริษัทเครือข่ายสังคมออนไลน์ ปิดกั้นเนื้อหาโดยละเมิดคำว่า "อย่างสุจริตใจ" ในมาตรา 230 หรือไม่ ซึ่งอาจทำให้บริษัทเหล่านี้ถูกฟ้องร้องได้ง่ายขึ้น

ขณะที่ กระทรวงยุติธรรมจะปรึกษากับอัยการรัฐเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่อง การเลือกปฏิบัติต่อต้านการแสดงความเห็นของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็นสิ่งที่นายทรัมป์กล่าวหาสื่อโซเชียลมาตลอด และห้ามหน่วยงานรัฐบาลกลาง โฆษณาบนแพลตฟอร์มที่ถูกกล่าวหาว่า ละเมิดมาตรการ 230 ด้วย

นอกจากนี้ คำสั่งของทรัมป์จะให้ทำเนียบขาว รื้อฟื้นระบบสำหรับแจ้งกรณีการเลือกปฏิบัติทางเทคโนโลยี ซึ่งจะให้ประชาชนรายงานเรื่องที่พวกเขาถูกโซเชียลมีเดียต่างๆ ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และให้คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลาง (FTC) พิจารณาเรื่องการฟ้องร้องบริษัทเหล่านี้ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดการตีความมาตรา 230 ของรัฐบาลด้วย

ข้อความของทรัมป์ที่โจมตีการเลือกตั้งทางไปรษณีย์ ถูกแปะป้ายเตือน

อนึ่ง ความเคลื่อนไหวของนายทรัมป์ เป็นการตอบโต้ทวิตเตอร์ ที่แปะป้ายเตือนให้ประชาชนตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือ ‘fact-check’ บนข้อความ 2 ข้อความที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์เป็นครั้งแรก ทำให้นายทรัมป์ออกมาโจมตีทวิตเตอร์อย่างรุนแรง ว่าปิดปากฝ่ายอนุรักษ์นิยม, ปิดกั้นเสรีภาพทางการพูด และกล่าวหาว่ากำลังแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2020

ทั้งนี้ นายทรัมป์ กล่าวในพิธีลงนามที่ห้องทำงานรูปไข่ว่า เขาลงนามคำสั่งนี้ก็เพื่อปกป้องเสรีภาพในการพูด ที่กำลังเผชิญกับหนึ่งในอันตรายยิ่งยวดที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ “โซเชียลมีเดียจำนวนหยิบมือผูกขาดควบคุมการสื่อสารทั้งแบบส่วนตัวและสาธารณะ ในสหรัฐฯ เอาไว้ทั้งหมด” นายทรัมป์บอกด้วยว่า โซเชียลมีเดียมีอำนาจที่ไม่ได้ถูกควบคุม ในการเซนเซอร์ และแก้ไข การสื่อสารทุกรูปแบบ

ฝ่ายบริษัทโซเชียลมีเดียยังไม่ออกมาแสดงความเห็นใดๆ ในเรื่องนี้ แต่นักวิเคราะห์ รวมทั้งตัวนายทรัมป์เองคาดว่า คำสั่งนี้จะถูกฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อคัดค้านอย่างแน่นอน


มะกันจ่อลงโทษ-สภาจีนผ่าน กฎหมายความมั่นคงฮ่องกง

สภาประชาชนแห่งชาติจีน (เอ็นพีซี) ลงมติท่วมท้น 2,878 ต่อ 1 เสียง รับรองร่างกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกงฉบับใหม่ ซึ่งระบุให้การแบ่งแยกดินแดน การบ่อนทำลายอำนาจรัฐบาลกลาง การก่อการร้าย และการแทรกแซงของต่างชาติ มีความผิดทางอาญา จีนยังอาจเข้าไปตั้งสำนักงานความมั่นคงรวมทั้งหน่วยข่าวกรองในฮ่องกงด้วย ร่าง ก.ม.นี้จะถูกส่งให้คณะกรรมการประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรับรองและอาจผ่านเป็นกฎหมายในเดือน ส.ค.นี้

ร่าง ก.ม.นี้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากชาวฮ่องกง สหรัฐฯ อังกฤษ และพันธมิตร เพราะหวั่นทำลายสิทธิเสรีภาพการปกครองตนเองในระดับสูงนาน 50 ปี ตามหลักการ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับย่อของฮ่องกง หลังอังกฤษส่งมอบฮ่องกงคืนจีนในปี 2540 แต่รัฐบาลจีนและฮ่องกงยืนยันว่าจะไม่กระทบเสรีภาพ ธุรกิจการค้าการลงทุนในฮ่องกง ศูนย์กลางการเงินของเอเชีย

ด้านนายกฯหลี่ เค่อเฉียงของจีน แถลงปิดประชุมเอ็นพีซีว่า สหรัฐฯ และจีนควรเคารพผลประโยชน์หลักของกันและกัน ขจัดความขัดแย้ง พัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือโดยยึดหลักความเสมอภาคซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย กฎหมายความมั่นคงจะทำให้ฮ่องกงมีเสถียรภาพและมั่งคั่ง

ก่อนหน้านี้ นายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงในสภาคองเกรสเมื่อ 27 พ.ค.ว่า กฎหมายความมั่นคงทำให้ฮ่องกงไม่อยู่ในสถานะเป็นเขตปกครองตนเองระดับสูงของจีนอีกต่อไป จึงไม่มีคุณสมบัติได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าตามกฎหมายสหรัฐฯอีก คาดว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศมาตรการตอบโต้จีน ซึ่งอาจรวมทั้งยกเลิกสถานะพิเศษทางการค้าของฮ่องกง ระงับอัตราภาษีส่งออกสินค้าฮ่องกงเข้าสหรัฐฯต่ำเป็นพิเศษ ไปจนถึงการคว่ำบาตรด้านเศรษฐกิจและวีซ่า คว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ องค์กรรัฐบาล และธุรกิจจีน

ส่วนตำรวจปราบจลาจลตรึงกำลังทั่วฮ่องกง หลังการประท้วงต่อต้านร่างกฎหมายความมั่นคงและร่างกฎหมายห้ามหมิ่นเพลงชาติจีนปะทุรอบใหม่เมื่อ 27 พ.ค. มีผู้ถูกจับอีกกว่า 360 คน หลังการประท้วง 7 เดือนในปีที่แล้วมีผู้ถูกจับกว่า 9,000 คน ทำให้คดีล้นศาลฮ่องกง และเมื่อ 28 พ.ค. ส.ส.ฝ่ายประชาธิปไตย 2 คนถูกคุมตัวออกจากสภานิติบัญญัติฮ่องกง (เลกโก) ขณะกำลังอภิปรายร่างกฎหมายห้ามหมิ่นเพลงชาติจีนในวาระที่ 2 โดยผู้ฝ่าฝืนกฎหมายนี้จะมีโทษจำคุกถึง 3 ปี ปรับอีก 50,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 193,500 บาท)

ผู้แทนจีนและสหรัฐฯ ยังปะทะกันในสหประชาชาติ หลังสหรัฐฯเสนอให้นำเรื่องกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกงเข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ซึ่งจีนคัดค้าน ส่วนไต้หวันเสนอช่วยเหลือชาวฮ่องกงที่หนีไปไต้หวัน ทั้งให้ที่พักพิงและจ้างงาน ด้านแหล่งข่าวภาคธนาคารและอุตสาหกรรมชี้ว่าชาวจีนที่ร่ำรวยจะลงทุนในฮ่องกงน้อยลงเพราะหวั่นกฎหมายความมั่นคงจะทำให้จีนติดตามและยึดเงินพวกตนง่ายขึ้น.


อังกฤษเริ่มคลายล็อกดาวน์โควิด 1 มิ.ย. นายกฯ ย้ำต้องทำตามกฎ

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ประกาศแผนคลายล็อกดาวน์ควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษ โดยจะเริ่มในสัปดาห์หน้า

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ค. 2563 ว่า รัฐบาลจะเริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ของมาตรการล็อกดาวน์ป้องกันไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่วันจันทร์หน้า (1 มิ.ย.) โดยจะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ขั้นแรก เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. ชาวอังกฤษจะได้รับอนุญาตให้รวมกลุ่มกันในที่สาธารณะ, สวน หรือพื้นที่ส่วนตัวได้ไม่เกิน 6 คนแล้ว แต่ต้องอยู่ห่างกัน 2 เมตร นอกจากนี้ยังเปิดร้านค้าบางประเภท เช่น ร้านค้าปลีกกลางแจ้ง, โชว์รูมรถยนต์ เปิดเนิร์สเซอรี่ และโรงเรียนประถม

ขั้นที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. อังกฤษจะเริ่มเปิดศูนย์ทันตกรรม จากนั้นในวันที่ 15 มิ.ย. เริ่มเปิดโรงเรียนมัธยม และเปิดร้านค้าที่ไม่จำเป็นบางประเภท และขั้นที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. อังกฤษจะเริ่มเปิดผับ, ร้านอาหาร และอาจเปิดร้านทำผมกับร้านเสริมสวยด้วย ส่วนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอย่าง โรงภาพยนตร์ และสถานที่ทางศาสนา จะเริ่มเปิดด้วย

อย่างไรก็ตาม นายจอห์นสัน ย้ำด้วยว่า การผ่อนคลายมาตรการเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ต้องทำตามเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ต่อไป “ผมไม่สามารถ และจะไม่ทิ้งสิ่งที่พวกเราร่วมกันทำมาทั้งหมด ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงที่เรากำลังทำ จึงเป็นไปอย่างจำกัดและระมัดระวัง”

ทั้งนี้ ในวันพฤหัสบดี สหราชอาณาจักรรายงานพบผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 จำนวน 256 ศพในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น ลดลงจากช่วงพีคสุดคือวันที่ 14 เม.ย. ซึ่งมีผู้เคราะห์ร้ายถึง 943 ศพมาก

เราจะะฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 เวลา 13.00 น. ณ Hollywood career college นคร Los Angeles วัดไทยแอลเอร่วมกับมูลนิธิธารน้ำใจสหรัฐอเมริกาแจกอาหารสำเร็จรูปบรรจุกล่อง (ข้าวราดหมูผัดกระเทียมพริกไทย) และขนมหวานจำนวน 116 ชุดให้แก่ผู้ขาดแคลนในชุมชนไทยตามโครงการ "เราจะะฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน" จึงขอขอบคุณมายังผู้ร่วมบริจาค 1.คุณวาสินี(ครูเปิ้ล) ธรรมปัญญา 2.คุณวรรธนา(พี่ต้อย) นากาฮาร่า 3.คุณภัทรา อัศวมหากุล และผู้ให้การสนับสนุนอื่นๆ มา ณ โอกาสนี้ครับ สมชาย ไทยทัน กรรมการอำนวยการวัดไทยแอลเอ และประธานมูลนิธิธารน้ำใจสหรัฐอเมริกา