วันที่ 20 มี.ค. ที่สโมสรราชพฤกษ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าตนยังเป็นห่วงแนวความคิดเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ภายหลังที่มีการออกอากาศทางสถานีไทยพีบีเอส ในรายการ"ตอบโจทย์"เนื่องจากวันนี้ประชาชนคนไทยเริ่มกลับมาทะเลาะกันอีกครั้งจากกรณีนี้ ขอยืนยันว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นหนึ่งในองค์กรเอกภาพของประเทศที่ทำให้คนในชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นจะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ ออกจากสังคมไทยไม่ได้ อยากให้ทุกคนหันมาทำความเข้าใจในเรื่องหลักการปกครองและประวัติศาสตร์ของชาติก็จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ รัชกาลที่ 5 ทรงเลิกทาส รัชกาลที่ 6 ทรงสานต่อ รัชกาลที่ 7 ทรงสละให้อำนาจประชาชน ให้ย้อนกลับไปดูจะเห็นว่าทุกพระองค์ทรงปฏิรูปการปกครองมีการกระจายอำนาจให้ประชาชนมาโดยตลอด ซึ่งสถานการณ์วันนี้ มีประชาชนทั้งเสื้อเหลือง แดง ต่างเรียกร้องประชาธิปไตย เราต้องช่วยกันกระจายอำนาจให้กับประชาชนให้ได้
"ในหลวงทรงเป็นหนึ่งองค์ประกอบของความเป็นเอกภาพ ที่พระองค์ทรงตรัสว่าเราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม จะเห็นว่าพระองค์ทรงคิดถึงประชาชนก่อน ดังนั้นจะแยกสถาบันออกมาไม่ได้ สถาบันต้องอยู่คู่สังคมไทย คนที่จะปฏิรูปสถาบัน ควรไปคิดว่ามีความเข้าใจเรื่ิองสถาบันดีแล้วหรือยัง ผมขอแนะนำให้คนทะเลาะกันเรื่ิองนี้หันหน้ามาทำความเข้าใจกัน มาพูดคุยกัน ในอดีตประเทศอังกฤษ มีคนยึดอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ ชื่อนายโอลิเวอร์ แคมเบล ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยได้ ต้องมาสถาปนาสถาบันขึ้นมาใหม่"อดีตนายกฯกล่าว
วันที่ 20 มีนาคม 2556 บริเวณหน้าสถานีไทยพีบีเอส “กลุ่มประชาชนทนไม่ไหว” จำนวนประมาณ 80 -100 คน ยื่นหนังสือเรียกร้องให้ผู้อำนวยการและผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสขอโทษสังคม และลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ต่อนายสมเกียรติ จันทรสีมา ผู้อำนวยการสำนักเครือข่ายสื่อพลเมือง กรณีนำเทปรายการ “ตอบโจทย์ ประเทศไทย” มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ตอนที่ 5 มาเผยแพร่ออกอากาศ ทั้งที่ได้มีการงดออกอากาศไปแล้วก่อนหน้านี้
ซึ่ง ทางกลุ่มประชาชนทนไม่ไหว เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 และถือว่าทางสถานีไม่สนใจคำท้วงติงของประชาชน ดังนั้นจึงต้องออกมาเคลื่อนไหวในวันนี้
โดยแกนนำยืนยันว่าการจะชุมนุมจะเป็นไปโดยสงบและสันติ หลังผู้บริหารรับหนังสือข้อเรียกร้องแล้วจะเดินทางกลับในทันทีไม่มีการชุมนุมในุมยืดเยื้อ
20 มี.ค. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก บช.ปส.ว่า พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช พล.ต.ต.พุทธิชาต เอกฉันท์ รอง ผบช.ปส. พ.ต.อ.นราธิป ฟักทองพรรณ รอง ผบก.ปส.4 และ พ.ต.อ.พรชัย เจริญวงศ์ ผกก.ปฏิบัติราชการ บก.ปส.3 แถลงจับกุม น.ส.โชศิตา หรือนุก ระโยธี อายุ 26 ปี นายสามเสา หรือตั๊ม ตาต้าน อายุ 23 ปี นายสรวุธ ชูวิรัตน์ อายุ 33 ปี น.ส.เจนจิรา พรมพิราม อายุ 23 ปี นายการรันต์ น้อยมา อายุ 33 ปี นายตาน นามเสาร์ อายุ 25 ปี นายไอลวิน กลิ่นสุวรรณ อายุ 23 ปี และ นายการุญ หรือเบียร์ สุทธิวิริวรรณ อายุ 35 ปี พร้อมของกลาง ยาบ้า4 แสนเม็ด ยาไอซ์ 7 กิโลกรัม มูลค่ารวมกว่า 140 ล้านบาท และรถยนต์ 2 คัน รถ จยย. 2 คัน และมือถือ 10 เครื่อง จับกุมทั้งหมดได้ขณะนำยาเสพติดของกลางไปส่งที่ย่านดินแดง กทม.
พล.ต.ต.ชาญเทพ กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าวเนื่องจากชุดสืบสวน บช.ปส.สืบทราบว่า น.ส.โชศิตา และนายสามเสา ลอบค้ายาเสพติดโดยส่งมอบยาบ้าให้ลูกค้า จึงติดตามจับกุมตัวไว้ ก่อนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือ สืบสวนทราบว่าทั้งหมดเป็นเครือข่ายชาวไทยใหญ่ ที่ย่านบางแค มีผู้สั่งการเป็นเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำ จ.นครศรีธรรมราช ส่วนยาเสพติดนำมาจากพื้นที่ จ.เชียงราย ก่อนมีการพักไว้ที่ย่านบางแค กทม
ผู้ต้องทั้งหมดให้การรับสารภาพ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการซึ่งเป็นตัวการใหญ่ทางภาคเหนือ พร้อมประสานกรมราชทัณฑ์ให้ตรวจสอบนักโทษภายในเรือนจำดังกล่าว
วันที่ 20 มี.ค. พ.ต.ท.เฉลิมศักดิ์ ไชยณรงค์ศักดิ์ สว.สภ.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา รับแจ้งจากนายอารีย์ เฉลยสุข ผบ.เรือนจำกลางคลองไผ่ ว่า ได้จับกุมนายไพโรจน์ เทียมน้อย อายุ 51 ปี ผู้คุมนักโทษแดน 5 เรือนจำกลางคลองไผ่ พร้อมยาไอช์ผงซุกซ่อนมาในกรอบพระสมเด็จ 1 องค์ น้ำหนัก 2.42 กรัม เพื่อจะนำไปให้นักโทษชายในแดน 5 จึงรับมอบตัวพร้อมดำเนินคดี ตรวจสอบพบยาไอซ์ในถุงพลาสติกในตัวนายไพโรจน์อีก 1.93 กรัม จากนั้นไปตรวจค้นที่บ้านพักเลขที่ 109 หมู่ 1 ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว พบพระสมเด็จอัดกรอบสีน้ำตาล 6 องค์ ตรวจสอบพบยาไอซ์ซุกซ่อนหลังกรอบพระ น้ำหนักรวม 14.59 กรัม ราคาประมาณ 6 แสนบาท
สอบสวนนายไพโรจน์ให้การว่า มีคนนำพระสมเด็จมาให้ 7 องค์ให้นำไปให้นักโทษยาเสพติดที่ถูกขังในแดน 5 โดยไม่ทราบว่ามียาเสพติดซ่อนอยู่ด้านใน
ด้านนายอารีย์กล่าวว่า นายไพโรจน์รับราชการมาเกือบ 20 ปี ก่อนนี้เป็นผู้คุมอยู่ที่แดน 4 และย้ายมาคุมอยู่ที่แดน 5 ได้ปีเศษ ซึ่งทราบว่ากำลังสร้างบ้านใหม่ อาจต้องการใช้เงินจึงมาทำผิดกฎหมาย เบื้องต้นเสนอเรื่องถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์เพื่อมีคำสั่งให้ออกจากราชการ เนื่องจากเป็นเจ้าพนักงานเข้าไปกี่ยวข้องกับยาเสพติด พร้อมทั้งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง
20 มี.ค. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมชาวนาไทยเตรียมยื่นหนังสือถึง รมว.พาณิชย์ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในสัปดาห์หน้า เพื่อขอให้ยกเลิกการห้ามนำข้าวที่มีอายุน้อยกว่า 110 วัน จำนวน 18 สายพันธุ์ หรือข้าวอายุสั้น เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง 2556 หลังจากได้รับการร้องเรียนจากชาวนาใน จ.พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ฯลฯ ว่าได้ลงทุนปลูกข้าวอายุสั้นไปแล้ว หลังจากรัฐบาลสัญญาว่าจะรับจำนำข้าวทุกเมล็ด
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังฤดูนี้ ได้ห้ามไม่ให้รับจำนำข้าวเปลือกอายุสั้นจำนวน 18 สายพันธุ์ เพราะมีคุณภาพต่ำไม่เป็นที่นิยมของตลาด ทั้งนี้ นโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ทำให้มีการปลูกข้าวอายุสั้นเพิ่มขึ้น 10% และนำมาจำนำแล้ว 6-7 หมื่นตัน และการรับจำนำจะทำให้รัฐขาดทุนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งข้าว 18 สายพันธุ์ประกอบด้วย 1. พัน 75 หรือ BP 75, 2.พวงทอง, 3.พวงเงิน, 4.พวงเงินพวงทอง, 5.ราชินี, 6. C 75, 7. พวงแก้ว, 8.ขาวปทุม, 9.สามพราน, 10. เบอร์ 039 (หรือ เจ้าพระยา หรือ PSLC 02001240 ) 11.โพธิ์ทอง, 12. ขาวทองหลวง, 13.มาเลเซีย, 14.เตี้ยมาเลย์, 15.ขาวมาเลย์, 16.มาเลย์แดง, 17.เบตง และ 18.อีแล็ป
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012