ข่าว
จนท.เดินหน้าสอบเหตุรถไฟชนกันที่อิตาลี ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 25 ราย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมว่า เหตุรถไฟโดยสาร 2 ขบวนชนกันบางรางเดี่ยวในประเทศอิตาลี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 25 ราย พร้อมผู้บาดเจ็บอีกหลายสิบราย

เมื่อเวลาประมาณ 11:30 นาฬิกาของวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 กรกฎาคม) ตามเวลาท้องถิ่นอิตาลี รถไฟที่ประสานงานกันอย่างรุนแรงบนรางระหว่างเมืองโคราโตและอันเดรีย ส่งผลให้ตู้โดยสาร 3 ตู้เสียหายอย่างรุนแรง ฝ่ายเจ้าหน้าที่กู้ภัยยกระดับยอดผู้เสียชีวิตเป็น 25 รายในช่วงบ่ายวันอังคาร (13 กรกฎาคม) ตามเวลาท้องถิ่น หลังใช้เวลาในปฏิบัติการช่วยเหลือนาน 1 วัน

เจ้าหน้าที่เตือนว่ายอดอาจสูงขึ้นอีกเนื่องจากผู้บาดเจ็บบางรายจากทั้งหมด 50 ราย มีอาการสาหัส พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนบริจาคเลือดที่โรคพยาบาลใกล้เคียงเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ

จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีเครื่องชี้วัดถึงสาเหตุที่นำมาสู่โศกนาฏกรรมทางรถไฟครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีของอิตาลี โดยรัฐบาลประกาศที่จะดำเนินการสืบสวนอย่างเต็มความสามารถ

นายมัตเตโอ เรนซี นายกรัฐมนตรีอิตาลีทวีตข้อความแสดงความเสียใจต่อเหยื่อและครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมลั่นวาจาว่าต้องความชัดเจนต่อสาเหตุรถไฟชนกันครั้งนี้

พุทธะอิสระ พาดูของจริง ลั่นไม่ได้ครอบครองเพราะไม่ทำประโยชน์ ถามปลูกป่าผิดตรงไหน

จากกรณีที่ พุทธะอิสระให้สัมภาษณ์ว่า ทางมูลนิธิธรรมะอิสระของวัดอ้อน้อย ได้ร่วมกับ บ.พฤกชเวช ซื้อที่ดินเนินเขา บริเวณบ้านใหม่วังผาปูน ต.แม่วิน อ.แม่วาง เชียงใหม่ จริง โดยซื้อในนาม มูลนิธิธรรมมะอิสระของวัดอ้อน้อย กับ บ.พฤกชเวช เมื่อปี 2556-2557 ในราคา 3 ล้านกว่าบาท เนื้อที่เพียง 300 กว่าไร่ ไม่ใช่ 3,000 ไร่ อย่างที่มีการเสนอข่าวผ่านสื่อโซเชี่ยล โดยพุทธอิสระอ้างว่าตัวเขาเองไม่มีรายชื่อเป็นกรรมการมูลนิธิธรรมมะอิสระ (แต่เป็นเจ้าของวัด)พร้อมยอมรับด้วยว่า บริเวณดังกล่าวเป็นเป็นพื้นที่เขตป่าสงวนหวงห้ามจริง ประชาชนทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้ แต่ที่มูลนิธิไปซื้อไว้ ก็เพื่อนำมาปลูกป่า เพื่อมอบให้หลวง โดยมีหน่วยงานและข้าราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้ความเห็นชอบ

วันนี้ (13 ก.ค.) พระพุทธะอิสระ ได้ลงพื้นที่พาชมพื้นที่ปลูกป่าที่ ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ระบุว่าหลังถูกกล่าวโทษว่ามีการบุกรุกป่า จึงขอพามาดูความจริง ซึ่งหลังจากนี้จะให้ทนายรวบรวมหลักฐานและฟ้องกลับทุกคนที่กล่าวหา ใส่ร้ายตนเองจนเสียหาย โดยพุทธะอิสระยืนยันว่าพื้นที่มีแค่ 300 ไร่ ก่อนจะพาไปดูและระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวเมื่อ 3ปีก่อนเป็นเพียงเขาโล่งๆ แต่วันนี้กลับมีต้นไม้จำนวนมาก ส่วนที่ยืนต้นตายเพราะมีคนลอบมาเผา ทั้งยังได้นำอาจารย์ใหญ่ จากโรงเรียนแม่วินสามัคคี ที่มาช่วยตนเองปลูกป่าทุกปี เพื่อยืนยันว่าตนมีเจตนาดี ไม่มีการสร้างสิ่งก่อสร้างใดๆมีแต่ต้นไม้ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการถือสิทธิ์ครอบครอง เพราะไม่มีการทำประโยชน์อะไร มีแต่ป่า สิ่งที่ตนทำเป็นประโยชน์กับคนไทยทั้งประเทศ คนทั้งโลก

“จะใส่ร้ายอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ช่วยลงชื่อจริงหน่อยแล้วกัน จะได้จัดให้สักดอกสองดอกตามเหตุตามปัจจัย ข้อหานำความเท็จเข้าสู่ระบบ”พุทธะอิสระกล่าว

ส่วนผู้ที่ถามว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวนซื้อคืนได้ด้วยหรือ ขอถามกลับว่าการปลูกป่ามันเสียหายตรงไหน ตนไม่ได้ปลูกโรงแรม การปลูกป่าเป็นประโยชน์คนทั้งชาติ หรือคนถามไม่ใช่คนไทย พระปลูกป่าเสียหายตรงไหน ในสมัยพุทธกาลก็มีพระดูแลป่าไม้ ขอแนะนำให้หายาบำรุงสมอง อย่ากินแต่หญ้า ถ้าผิดจริงขอให้ไปแจ้งความ พระที่รักษาธรรมวินัย ย่อมรักษาและผูกพันกับป่ายกเว้นพระไม่ดีที่พยายามทำป่าให้เป็นเมือง


เหวง ชี้ คนเบื่อ หากร่างรธน.ไม่ผ่านก็ไม่ต้องร่างใหม่ ชงนำปี’40มาปรับใช้

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กล่าวถึงข้อเสนอหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ว่า ตนเสนอความเห็นต่อนายวิษณุ เครืองาม และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. วันที่ 7 สิงหาคม ถ้าประชามติไม่ผ่านอย่าตั้งกรรมการมาร่างกันใหม่เลยเพราะประชาชนเอียนมากแล้ว คณะรัฐประหารตั้งใครมาร่างก็ได้ รัฐธรรมนูญฉบับของคณะรัฐประหารทั้งนั้นแหละ ทั้งนี้ขอเสนอให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากคณะรัฐประหารยึดอำนาจมาใช้จัดให้มีการเลือกตั้งทันทีภายใน 120 วัน โดยไม่ต้องมีการจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่เพื่อให้มีรัฐสภา และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรงมาบริหารประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างรุนแรงในขณะนี้กำหนดให้รัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ยกร่างพ.ร.บ.เพื่อให้มีการเลือกตั้ง สสร.ตามสัดส่วนของประชาชนโดยตรงภายใน 120 วันมาเป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยรับฟังความเห็นและมีส่วนร่วมโดยตรงจากประชาชนทุกหมวดให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน

นพ.เหวง กล่าวต่อว่า จากนั้นให้มีการลงประชามติเพื่อรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญภายใน 90 วัน โดยเปิดให้มีการรณรงค์แสดงความเห็นได้อย่างเสรีภายใต้กรอบของประมวลกฎหมายอาญาที่มีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้นแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปจากประชาชนอีกครั้งภายหลังได้รัฐธรรมนูญจากประชาชนแล้วทั้งหมดนี้ทำได้โดยการ ใช้มาตรา 44 ของท่านผู้นำภายในเวลาเพียงวันเดียว บ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าด้วยก้าวย่างที่เป็นประชาธิปไตยที่แข็งแรงต่อไปได้


สุภิญญา ชี้ คำสั่งคสช.กระทบเสรีภาพสื่อทั้งหมด แนะองค์กรสื่อมวลชนโชว์จุดยืน

วันนี้ (14 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่พลอ.อประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกคำสั่งฉบับที่ 41/2559 เรื่องการกํากับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ โดย กสทช.และ กสท.สามารถปิดสถานีโทรทัศน์และวิทยุ ที่นำเสนอเนื้อหาขัดกับประกาศ คสช.ได้ และเมื่อกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย

วันนี้ (14ก.ค.) น.ส. สุภิญญา กลางณรงค์ หนึ่งในกรรมการ กสทช. แสดงความเห็นทางทวิตระบุว่า ดิฉันไม่เคยเห็นด้วยกับการปิดสื่อที่เห็นต่างทางการเมืองและได้ทำหน้าที่ต่อสู้หลักการใช้อำนาจทางกฎหมายมาตลอด ให้สื่อไปสู้ต่อที่ศาลปกครองได้ คำสั่งตามมาตรา44 ของ คสช.ในวันนี้ เป็นการปกป้องการใช้อำนาจของ กสท./กสทช.(เสียงข้างมาก) จะกระทบกับภาพรวมเสรีภาพสื่อทั้งหมด ไม่ใช่แค่พีซทีวี ดิฉันเห็นว่าองค์กรสื่อ วิชาชีพสื่อ อุตสาหกรรมสื่อควรแสดงจุดยืนต่อคำสั่ง คสช.เพื่อการถ่วงดุลอำนาจของ กสทช. ให้สื่อใช้สิทธิ์สู้ในศาลต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง ศาลอาญา หรือ ศาลแพ่ง เพราะเป็นการต้องรับผิดชอบกับการใช้อำนาจของรัฐอย่างเป็นธรรมของรัฐ ตามกระบวนการ Rule of Law

ปัจจุบัน กสทช.มีอำนาจกำกับสื่อได้อยู่แล้ว แต่ต้องใช้อำนาจอย่างรอบคอบ มีการถ่วงดุล ถ้ามี ม.44 มาปกป้องจะทำให้ กสทช.ใช้อำนาจได้แบบแรงขึ้นอีก คำสั่ง คสช. บอกว่า กสทช. ไม่ต้องรับผิดชอบทางอาญาหรือแพ่ง แต่ให้อำนาจเอกชนเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้ เป็นการผลักภาระจาก กสทช.ไปให้เงินหลวง

กรณี PeaceTV เป็นเพียงเคสตั้งต้น ที่ตอนนี้ศาลคุ้มครองอยู่ และ กสท. ใช้อำนาจสั่งปิดซ้ำ จากนี้รอผลจากศาลปกครองอีกรอบ ต่อไปอาจมีเคสอื่นๆตามมา ส่วนตัวดิฉันไม่มีเจตนาอยากจะเห็น เพื่อนๆ กสทช. เสียงข้างมากถูกฟ้องอาญาหรือแพ่งจากการทำงาน แต่การมี ม.44มาคุ้มครองจะทำให้ขาดความระวังใช้อำนาจ ผลกระทบจาก มาตรา 44 ครั้งนี้ ไม่ใช่ต่อช่อง PeaceTV เท่านั้น แต่จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมสื่อวิทยุและโทรทัศน์ทั้งหมด ที่ควรตื่นตัวและมีความเห็น


‘โก้’ โผล่พบ ‘ศานิตย์’ ยืนยันบริสุทธิ์ใจไม่เกี่ยว’หญิงไก่’ แฉถูกสั่งย้ายทะเบียนบ้านหวังผลเลือกตั้ง!

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม รายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล แจ้งว่า นายสุนทร ขันหิน หรือ โก้ คนขับรถของนางไก่ หรือ หญิงไก่ ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. เพื่อมาแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า ไม่ได้มีความข้องเกี่ยวกับนางไก่เป็นการส่วนตัว

มีรายงานว่า จากการสอบปากคำนายสุนทร ทราบว่า นายสุนทร ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นการส่วนตัวกับนางไก่เป็นเพียงคนขับรถ โดยก่อนพบนางไก่ นายสุนทรมีอาชีพขับรถรับจ้างทั่วไป ก่อนที่นางไก่จะเสนอให้มาทำงานด้วยในระยะแรกนางไก่ให้เงินจำนวน 2,500 บาท เพื่อให้เช่าบ้านอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ต่อมาได้มีการย้ายทะเบียนบ้านเนื่องจากนางไก่ต้องการให้นายสุนทร มีสิทธิในการเลือกตั้งเพื่อที่จะได้เลือกคนที่นางไก่ต้องการ โดยนายสุนทร มีหน้าที่ขับรถไปส่งลูกนางไก่ที่โรงเรียนและคอยขับไปทำธุระให้นางไก่ โดยได้เงินเดือนเดือนละ 13,000 บาท แบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ได้ช้าได้เร็วขึ้นอยู่กับการเล่นหวยของนางไก่ ในทุกครั้งที่นางไก่ไปแจ้งความนายสุนทรไปด้วยเสมอ แต่รออยู่ในรถไม่ได้ลงไปจึงไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายสุนทร ทำงานกับนางไก่ได้เพียง2 ปี ก็ตัดสินใจลาออกเพราะว่านางไก่เป็นคนอารมณ์ร้อน ชอบดุว่า เมื่อลาออกได้ออกไปทำงานที่จังหวัดพิจิตรอยู่เป็นเวลาปีกว่าและได้กลับเข้ากรุงเทพฯเพื่อมาเป็นลูกศิษย์วัดย่านปทุมธานี อย่างไรก็ตามนายสุนทร ต้องการมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ และยืนยันว่าไม่มีการถูกอุ้มใดๆ


บิ๊กตู่ติดดาบ"กสทช." สั่งปิดทีวี-วิทยุกระทบความมั่นคง

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่ 40/2559 เรื่องยกเลิกประกาศคสช. ฉบับที่ 41/2557 เรื่อง การกํากับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/E/158/24.PDF โดยระบุว่า ตามที่คสช.ได้ออกประกาศคสช. ฉบับที่ 97/2557 เรื่อง การให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารต่อสาธารณะ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคสช. ฉบับที่ 103 /2557 เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคสช. ฉบับที่ 97/2557 เพื่อกําหนดห้ามการเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารบางประเภทนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการรับรู้และความเข้าใจในการกํากับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของผู้ประกอบการไปสู่ประชาชน จึงจําเป็นต้องกําหนดให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้น หัวหน้าคสช.จึงอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ให้การเสนอข้อมูลข่าวสารหรือการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระก่อให้เกิด การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบ ต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

และในกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เลขาธิการกสทช. เจ้าหน้าที่ของกสทช. หรือบุคคล ที่ได้รับมอบอํานาจจากบุคคลดังกล่าว ได้กระทําการไปตามอํานาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจําเป็น เพื่อควบคุมดูแลมิให้มีการเสนอข้อมูลข่าวสาร หรือการออกอากาศรายการที่มีลักษณะดังกล่าว นับแต่วันที่ประกาศ มีผลใช้บังคับ ย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิด ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหาย ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ 14 ก.ค.2559

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.

อัยการตั้งข้อหามือสังหาร ‘แกม เล็ย’ นักเคลื่อนไหวเขมร ‘ฆ่าโดยไตร่ตรอง’!

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ศาลกัมพูชาได้ตั้งข้อหาชายที่ก่อเหตุฆ่านายแกม เล็ย นักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา ที่ถูกยิงเสียชีวิตในร้านกาแฟใจกลางกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา เมื่อช่วงเช้าวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวนายเอือด อาง วัย 43 ปี ซึ่งเป็นมือปืนที่ก่อเหตุยิงนายแกม เล็ย เอาไว้ได้

อย่างไรก็ตาม อัยการระบุว่า มือสังหารยืนยันว่าตัวเองชื่อ “จวบ ซอมลับ” ซึ่งไม่น่าจะใช่ชื่อกัมพูชาที่แปลว่า “พบเพื่อฆ่า” โดยนายไล โสพันนา อัยการระบุว่า นายเอือด อาง ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและมีอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ

ก่อนหน้านี้ ทางการกัมพูชาแถลงว่า ผู้ก่อเหตุอ้างว่ายิงนายแกม เล็ย เพราะติดหนี้อยู่จำนวนมหาศาล แต่หลายฝ่ายก็ยังสงสัยว่าเรื่องดังกล่าวจริงหรือไม่ ขณะที่นางฮวม ฮอร์ธ ภรรยาของมือปืน เปิดเผยกับเอเอฟพีว่า สามีของตนไม่ได้มีเงินมากพอที่จะให้เหยื่อยืมอย่างแน่นอน และไม่เชื่อว่าเรื่องหนี้จะเป็นเหตุจูงใจให้สามีก่อเหตุ เพราะนายแกม เล็ย รวย แต่ตนกับสามีเป็นผู้ยากจน