'สามารถ แก้วมีชัย' กระทุ้งรัฐบาลเดินหน้าตามโรดแม็ป อัด กปปส. หยุดชี้นำยื้อเลือกตั้ง หวั่นนักลงทุนชะงัก นปช.ยังนิ่งไม่เคลื่อนไหวตอบโต้ 'สุเทพ' จี้รัฐบาล ทำตามสัญญาสุภาพบุรุษ ...
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ เรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศให้แล้วเสร็จก่อนจัดการเลือกตั้งว่า ขณะนี้ฝ่ายที่ครองอำนาจอยู่มีโรดแม็ปชัดเจน ก็ต้องเป็นตามนั้น การเรียกร้องให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ขอถามว่าปฏิรูปอะไร เอาอะไรมาวัดว่าปฏิรูปเสร็จหรือไม่ และใช้เวลาเท่าไร กปปส. คงพูดเรื่องเดิมตามที่เคยพูดสมัยที่มีการเคลื่อนไหว ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังทำงานอยู่แล้ว กปปส.ไม่ควรมาชี้นำว่า ไม่ให้มีการเลือกตั้ง การทำเช่นนี้ ยิ่งสร้างความไม่มั่นใจให้นักลงทุนที่อยากเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่รอให้เข้าสู่บรรยากาศประชาธิปไตยก่อนแล้วจะมาลงทุน ก็จะชะงักไม่กล้ามาลงทุน การให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั้น ที่ผ่านมา 1 ปีได้ปฏิรูปอะไรหรือยัง ถ้าเทียบกับการเลือกตั้งแล้วเดินไปสู่ประชาธิปไตย อะไรจะดีกว่ากัน
ด้าน นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และ แกนนำ นปช. กล่าวว่า รู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของนายสุเทพ ที่เคลื่อนไหวให้ปฏิรูปประเทศให้แล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องจับตาดูให้ดีว่า เป็นการหวังดีประสงค์ร้ายหรือไม่ การที่เรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้งนั้น เรื่องนี้ คสช. มีโรดแม็ปอยู่แล้ว เท่าที่ดูโรดแม็ปของคสช. จะเสร็จทันกรอบเวลาทุกอย่าง แต่เหตุใดกลับเสนอไม่ให้มีการเลือกตั้ง ส่วนท่าทีของคนเสื้อแดงต่อเรื่องนี้ จะยังไม่เคลื่อนไหวอะไร จะอดทนต่อไป ยกเว้นกรณีที่ไม่ทำตามโรดแม็ป ก็มีเรื่องแน่ เพราะถือเป็นสัญญาสุภาพบุรุษที่เราให้โอกาสคุณ แต่คุณกลับไม่ทำตาม.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 กรกฎาคม ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล บรรดาอดีตแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย นายถาวร เสนเนียม นายอิสสระ สมชัย นายวิทยา แก้วภราดัย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองประธานมูลนิธิฯ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการมูลนิธิฯ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร ผู้ช่วยเลขานุการฯ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และนายชุมพล จุลใส คณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการแถลงข่าวเป็นไปอย่างเรียบร้อย มีทหารที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ส่งมาสังเกตการณ์จากสังกัด พล.ม.2 จำนวน 13 นาย นำโดย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ และเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวน 20 นาย จาก สน.ปทุมวัน ดูแลการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย
ร่วมมือคสช.ขับเคลื่อนปท.นายสุเทพกล่าวว่า ที่ผ่านมามูลนิธิ กปปส.ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและขึ้นทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะปฏิบัติตามกฎหมายให้ความร่วมมือกับ คสช.และรัฐบาลในการรักษาความสงบของบ้านเมืองและขับเคลื่อนประเทศไทย ที่ผ่านมามูลนิธิ กปปส.ได้ดำเนินการดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตจากการเสียสละเพื่อชาติและแผ่นดินทุกราย จัดเงินทุนให้ลูกกำพร้าทุกครอบครัว นำเงิน 2 ล้านบาทไปฝากให้เป็นทุนการศึกษา เงินทั้งหมดที่นำมาใช้เยียวยาเป็นเงินจากมวลมหาประชาชน ไม่ได้นำงบประมาณแผ่นดินมาใช้ ประการที่สอง ได้มีการรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนตระหนักคุณค่าวัฒนธรรมอันดีของชาติไทย โดยเฉพาะการบวชจัดบรรพชาอุปสมบทหมู่รวม 689 รูป จาก 58 จังหวัดทั่วประเทศไทย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่คนไทยเทิดทูนบูชากันทั้งประเทศ
ระดมคนร่วมบริจาคมูลนิธินายสุเทพกล่าวอีกว่า สิ่งที่จะดำเนินการต่อไปนี้ คือเชิญชวนประชาชนผู้ที่มีอุดมการณ์ความคิดแบบเดียวกันมาร่วมกันเป็นเจ้าของมูลนิธิ โดยจะดำเนินการตามครรลองของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พวกตนเป็นกรรมการชุดเริ่มต้น แต่ต่อมาเมื่อมีประชาชนเข้าร่วมครบ 1 ปีจะมีการจัดเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิกันใหม่ โดยระหว่างนี้จะฟังความคิดเห็นว่าจะดำเนินการมูลนิธิอย่างไร เรียกว่า เป็นมูลนิธิของมวลมหาประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ของพวกตนเพียง 11-12 คน การเป็นเจ้าของไม่ใช่เป็นแต่ในนาม แต่ต้องสมัครใจแสดงความจำนง ทุกคนที่เข้ามาเป็นเจ้าของไม่ว่าฐานะจะแตกต่างกันอย่างไร แต่จะได้มีสิทธิมีเสียงเหมือนกันเท่ากัน ซึ่งการบริจาคให้มูลนิธิจะเป็นไปตามรายได้ในหนึ่งวันของแต่ละคน บางคนอาจจะ 300 บาท บางคนอาจจะ 3 แสนบาท แต่ทุกคนจะมีเสียงเท่ากัน หากจังหวัดไหนมีสมาชิกเยอะก็จะมีการตั้งสาขาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานต่อไป
ยันคสช.ไม่สองมาตรฐาน"เงินของเรามีที่มาไม่ใช่มูลนิธิที่เงินมาจากไหนไม่รู้ ไม่ใช่เงินจากต่างประเทศ แต่เป็นเงินของคนไทยรักแผ่นดิน ไม่ต้องสงสัยว่าใครอยู่เบื้องหลัง มีแต่คนเบื้องหน้า มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน หากต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องเราจะทำ เช่น ต่างประเทศ หรือองค์กรต่างๆ ที่ไม่เข้าใจคนไทย ประเทศไทย เราก็จะส่งคนของเราไปชี้แจง หากประเทศใดเข้าใจผิด ตัดสินใจใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เราจะส่งตัวแทนไปอธิบายกับรัฐบาล กับสภา และสื่อมวลชนของประเทศนั้น เราไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับใครทั้งสิ้น"
นายสุเทพกล่าว และว่า มูลนิธิจะเป็นศูนย์รวมในการรวบรวมข้อเสนอแนะ เปิดให้ทุกคนมีสิทธิเสนอความเห็น โดยจะใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เปิดเฟซบุ๊ก เว็บไซต์ อีเมล์ เพราะไม่สามารถเปิดเวทีพูดคุย ไม่ต้องการเป็นอภิสิทธิ์ชน เพราะจะไปสร้างความวุ่นวายให้ คสช. พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่ง คสช.ที่เป็นกฎหมาย ไม่ต้องการให้ใครกล่าวหาว่า คสช.สองมาตรฐาน
ย้ำปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้งจากนั้นนายสุเทพเปิดให้สื่อมวลชนซักถาม โดยกำชับว่าอย่าถามเรื่องประเด็นทางการเมืองหรือถามเรื่องนอกเหนือจากมูลนิธิฯ ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการร่างรัฐธรรมนูญไม่ตรงกับแนวทางของมูลนิธิฯ การเคลื่อนไหวจะเป็นอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ต้องการเห็นรัฐบาลนี้ปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ ก่อนมีการเลือกตั้ง โดยไม่จำเป็นว่าต้องใช้เวลาเท่าไร ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญคงตระหนักได้ว่าประชาชนคาดหวังอะไร ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างไร หากเห็นว่าผลักดันไปในแนวทางไม่ถูกต้อง ก็ต้องเสนอความเห็นไปแต่จะไม่เดินขบวนไปจะส่งตัวแทนไปยื่นหนังสืออย่างเรียบร้อย
ไม่เล่นการเมือง-ไม่เกี่ยวปชป.เมื่อถามว่า มีประชาชนยังกังวลว่ามูลนิธิฯจะเคลื่อนไหวทางการเมือง นายสุเทพกล่าวว่า เลิกกังวลได้ จะทำมูลนิธิอย่างเปิดเผย เพราะเป็นคนในศีลในธรรม หลายคนที่เป็นกรรมการเคยบวชมาแล้ว ทุกคนจริงใจเปิดเผย ฝึกตัวเองให้ยึดแนวทางความสงบ เมื่อถามถึงการขับเคลื่อนของมูลนิธิฯ เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่าไม่กลับไปเป็นนักการเมือง ไม่กลับพรรคประชาธิปัตย์ และต่อจากนี้แนวคิดของมูลนิธิฯอาจไม่ตรงกับพรรคประชาธิปัตย์ ฉะนั้นอย่าเคลือบแคลง
เมื่อถามว่า แนวทางการชี้แจงต่างประเทศ นายสุเทพกล่าวว่า ได้เชิญนายกษิต ภิรมย์ มาเป็นหัวหน้าทีมต่างประเทศ หากประเทศใดเข้าใจประเทศไทยผิด นายกษิต ก็พร้อมจะไปชี้แจงทั้งในและต่างประเทศในประเด็นที่จะต้องทำความเข้าใจ ให้ต่างประเทศเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ไม่ใช่ไปในลักษณะล็อบบี้ยิสต์ เพราะล็อบบี้ยิสต์เป็นพวกที่ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
นายกษิต ภิรมย์ คณะทำงานของมูลนิธิฯ เปิดเผยว่า นายสุเทพ เป็นผู้ทาบทามให้เข้าร่วมขับเคลื่อนงานของมูลนิธิฯ ในด้านการต่างประเทศ ภารกิจแรกของการขับเคลื่อนยังให้รายละเอียดไม่ได้ชัดเจน เนื่องจากต้องหารือกับคณะทำงานก่อน
วงการเพลงไทยเศร้าอีกรอบเมื่อ อู๋ อรรถพล หรือ อู๋ แมคอินทอช นักร้องนักแต่งเพลงดังวัย 56 ปี เสียชีวิตด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 31 ก.ค. 2558 ณ รพ.สมิติเวช ญาติเตรียมนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดธาตุทอง 1 ส.ค.นี้
เรียกว่าช่วงนี้มีแต่ข่าวเศร้าสลดจริงๆ เพราะหลังจากสูญเสียมือกีตาร์หนุ่ม สิงห์ ประชาธิป มุสิกพงศ์ หรือ สิงห์ สควีซ แอนิมอล ที่กระโดดตึกเสียชีวิตเมื่อตอนดึกของวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ล่าสุดวงการเพลงเมืองไทยก็ต้องเศร้าอีกครั้งเมื่อสูญเสีย อู๋ อรรถพล ประเสริฐยิ่ง อดีตนักร้องนำวงแมคอินทอช วัย 56 ปี ซึ่งเสียชีวิตจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 31 ก.ค. 2558 ที่ รพ.สมิติเวช โดยจะมีพิธีรดน้ำศพในวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค. 2558) เวลา 17.00 น. และสวดพระอภิธรรมศพในเวลา 18.30 น. ที่ศาลา 17 วัดธาตุทอง
อู๋ อรรถพล ประเสริฐยิ่ง
สำหรับประวัติของ อู๋ อรรถพล เกิดเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2502 แจ้งเกิดจากการเป็นนักร้องนำและมือคีย์บอร์ดวงแมคอินทอช มีเพลงดังสร้างชื่อหลายเพลง อาทิ ลมหายใจของความคิดถึง, ผมอยากดัง, อดีต ฯลฯ นอกจากนี้ อู๋ ยังเป็นนักแต่งเพลงให้กับค่ายจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ด้วย โดยมีผลงานการแต่งเพลงให้นักร้องดังหลายคน อาทิ เบิร์ด ธงไชย, ทาทา ยัง, ลีโอ พุฒ, ซาซ่า, แอน ธิติมา ฯลฯ.
กลายเป็นข่าวช็อกวงการบันเทิง หลังจากนายสิงห์ มุสิกพงศ์ หรือ สิงห์ มือกีต้าร์ วงสควีซ แอนนิมอล ลูกชายนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. กระโดดคอนโดย่านทองหล่อจากชั้น 9 เสียชีวิต พร้อมกับทิ้งจดหมายบอกลาพ่อ แม่ และแฟนสาว น.ส.พรปวีณ์ นีระสิงห์ หรือ เฟย์ นักร้องสาวจากวง เฟย์ ฟาง แก้ว เกิร์ลกรุ๊ปค่ายกามิกาเซ่ ในเครืออาร์เอส
ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าว "คม ชัด ลึก" สอบถามไปยังฝ่ายประชาสัมพันธ์ค่ายอาร์เอส ต้นสังกัดของ น.ส.พรปวีณ์ แฟนสาวของสิงห์ โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์แจ้งว่า สภาพจิตใจตอนนี้นักร้องสาวยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไรมาก เนื่องจากยังพูดไปร้องไห้ไป อย่างไรก็ตามวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม เวลาประมาณ 13.00 น. นักร้องสาวจะเดินทางไปเคลื่อนย้ายศพจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไปยังวัดธาตุทอง พร้อมรดน้ำศพในเวลา 16.00 น. และร่วมฟังสวดพระอภิธรรมศพในเวลา 18.00 น. ที่ศาลา 31 วัดธาตุทอง แน่นอน
ขณะที่ น.ส.พีร์พิชชา หรือ ฟิน น้องสาวของเฟย์ ได้คุยกับเพื่อนผ่านทวิตเตอร์ พร้อมกับบอกอาการล่าสุดของพี่สาว โดยเพื่อนถามถึงเฟย์ว่า เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งน้องสาวตอบกลับว่า “ไม่ไหวเลย เหมือนจะตาย”
ด้าน น.ส.ธนันต์ธรญ์ หรือ ฟาง พี่สาวของเฟย์ ได้โพสต์รูปตนกับสิงห์ลงในอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมกับเขียนข้อความใต้ภาพดังกล่าวว่า "You'll live forever in my heart. ความรักจะยังคงอยู่...หลับให้สบายนะคะพี่สิงห์ พี่ชายที่น่ารักที่สุดของหนู #RIPSingha ไม่ต้องห่วงทางนี้นะคะ หนูจะดูแลเฟย์เอง”
เฟซบุ๊กของ นายคริษฐ ยุวบูรณ์ หรือ ก้อง เพื่อนสนิทในวงการเพลงของสิงห์ ได้เปิดเผยข้อความสุดท้ายของศิลปินหนุ่มที่เขียนถึงตนไว้ในโทรศัพท์มือถือเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม เวลา 15.13 น. ก่อนที่สิงห์จะกระโดดตึกเสียชีวิต ผ่านเฟซบุ๊ก Karit Yuvaboon โดยมีข้อความดังนี้ “ก้อง ขอบคุณที่ดูแลนะ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง สิ่งที่รักที่สุดจากไปแล้ว ขอโทษที่เห็นแก่ตัว รักมึงนะ บอกพ่อแม่ พี่แชมป์ น้องเสือด้วยนะ ว่า รักมาก ลาก่อนเพื่อน”
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าว "คม ชัด ลึก" ได้โทรศัพท์สอบถามไปยัง นายวรสิทธิ์ อิสสระ หรือ ปลาวาฬ นักธุรกิจชื่อดังที่มีความสนิทสนมกับสิงห์เช่นกัน โดยนายวรสิทธิ์ เปิดเผยถึงความรู้สึกในฐานะที่เป็นเพื่อนกับศิลปินหนุ่มว่า ตอนนี้ไม่พร้อมจะตอบจริงๆ ขอเท่าที่ได้บอกในอินสตาแกรม แต่เท่าที่รู้จักกับสิงห์มาเป็นคนที่น่ารักมาก เป็นเพื่อนกันกับน้องชายผมมา 10 กว่าปี เป็นคนที่เป็นสุภาพบุรุษ ได้มีโอกาสเจอกันบ่อยๆ เป็นรุ่นน้องที่น่ารักสนิทกับน้องชาย จึงสนิทกันด้วย
"สิงห์เป็นศิลปินที่เก่ง เป็นคนที่คนรัก ผมไม่เคยเห็นมีใครพูดไม่ดีเกี่ยวกับสิงห์เลย ทุกคนรักเขาหมด ใครเจอใครก็รัก เขาเป็นคนมีน้ำใจตลอด ช่วยเหลือเพื่อนตลอด เป็นคนใจกว้าง ดูแลเพื่อนได้ดี รักเพื่อน ซื่อสัตย์กับเพื่อนมาก ถ้าให้พูดถึงความดีของเขา ผมบอกจริงๆ เขาเป็นคนไนซ์มากๆ ไม่เคยเห็นข้อที่ไม่ดี นิสัยดีมาก เรารู้จักกันมาตั้งแต่เขาอายุ 15-16 ปี รู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนที่จะดัง แต่พอเข้าวงการก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย อย่างเวลามาเที่ยวที่ภูเก็ต จะมาพักอยู่กับผม ถามว่า ถ้าฝากบอกถึงสิงห์ได้อยากบอกอะไร ตรงนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะพูดจริงๆ” นายวรสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายวรสิทธิ์ โพสต์ข้อความลงในอินสตาแกรมใช้ชื่อว่า @plawanissara โพสต์รูปสิงห์ โดยเขียนข้อความว่า “Gone to Soon my Brother from another. We will be missing you, a lot. Love you @singhaha #RIPSingha” ที่แปลได้ว่า “ได้จากเราไปเร็วมาก น้องชาย พวกเราคงจะคิดถึงคุณมากๆ รักคุณ”
ด้าน นายอารักษ์ อมรศุภศิริ หรือ เป้ นักร้องหนุ่ม และพระเอกชื่อดัง เพื่อนสนิทที่คบหากันมากว่า 11 ปี ได้เปิดเผยความรู้สึกว่า ขอพูดในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันมา 11 ปี รู้จักกับสิงห์ตั้งแต่อายุ 19 ปี เพื่อนคนนี้เป็นคนที่เปิดโลกให้ตนเองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดนตรี เพื่อนฝูง หรือแม้แต่เรื่องของจิตใจ ไม่เคยเจอคนที่ไม่มีใครเกลียดเลย สิงห์คือคนหนึ่ง ที่ไม่มีใครเกลียด
"ผมคบกับเขามาหลายปี ผมไม่เคยเจอใครที่ด่าเขาว่า เขาทำไม่ดีเลย และเขาไม่เคยทำร้ายใครเลยจริงๆ ผมเสียใจมาก และคิดว่าทุกคนก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ผมคิดว่า สิงห์เขาคงเลือกสิ่งที่เหมาะกับเขาแล้ว และอยากให้การเลือกของเขา เป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเขา ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ ผมอยากให้คุณพ่อของสิงห์ท่านเป็นคนพูดจะดีกว่า ส่วนงานรดน้ำศพ ผมคงไม่ได้เดินทางไปร่วม เพราะผมติดงานอยู่ที่ จ.เชียงราย จะเดินทางกลับไปร่วมพิธีเผา” นายอารักษ์ กล่าว
วันเดียวกัน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวกรณีที่สิงห์กระโดดตึกฆ่าตัวตาย ว่า "การสูญเสียคนที่รักไปโดยไม่คาดฝัน ทำให้ครอบครัวไม่สบายใจมากอยู่แล้ว อาจส่งผลให้หลายคนในครอบครัวโทษตัวเองว่า ถ้าวันนั้นทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ผู้เสียชีวิตคงไม่คิดสั้น แต่ที่จริง การที่คนคนหนึ่งตัดสินใจฆ่าตัวตายนั้นมีหลายปัจจัยร่วมกัน ดังนั้น คนในครอบครัวไม่ควรโทษตัวเอง ซึ่งกรณีของแฟนสาวของผู้เสียชีวิตที่เลิกกันก็เช่นเดียวกันไม่ควรโทษตัวเอง
สังคมไม่ควรกล่าวโทษหรือหาคนรับผิด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องซับซ้อนที่คนภายนอกไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างลึกซึ้ง ขณะที่การวิพากษ์วิจารณ์ตามหลังนั้นมันง่ายเกินไป ดังนั้น ช่วงนี้ครอบครัวและตัวแฟนสาวของผู้เสียชีวิตอาจต้องการความเป็นส่วนตัว เปิดรับคนข้างนอกน้อยลง ปิดรับข่าวสาร แล้วใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและคนใกล้ชิดหรือผู้ที่สามารถไว้วางใจ เพื่อปรับสภาพจิตใจ เพื่อให้กำลังใจกัน จะดีกว่า"
ในช่วงหนึ่งปีก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ในวาระนี้จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2559 นั้น จะเห็นการเปิดตัวลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐของผู้สมัครมากหน้าหลายตา ทั้งสังกัดพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งรีพับลิกัน และเดโมแครต รวมทั้งคนดังในสังคมอเมริกันที่มักจะเป็นกลุ่ม “สร้างสีสัน” ให้แก่การเลือกตั้งเสียมากกว่าจะที่จะหวังได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจนกลายเป็นผู้นำชาวอเมริกันในที่สุด
ซึ่งในวาระก่อนการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เริ่มมีสีสันให้เห็นกันบ้างแล้ว อย่างเช่นการประกาศตัวลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อภิมหาเศรษฐีนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบันเทิง ที่บอกว่ามุ่งมั่นจะเป็นผู้นำประเทศให้ได้สักครั้งในชีวิต
รวมทั้งการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของนางฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ในยุคที่นายบิล คลินตัน สามีของเธอดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในการลงชิงชัยเพื่อสร้างประวัติศาสตร์การเป็นผู้นำหญิงคนแรกของชาวอเมริกัน
นางคลินตันเลือกใช้วิธีพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ในการวางกลยุทธ์การหาเสียงสนับสนุนจากชาวอเมริกันให้เธอได้ไปถึงฝั่งฝันที่ต้องการ วิกฤติที่ว่านั้นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก ที่ทำให้ชาวอเมริกันสัมผัสกับความแห้งแล้ง ความผันผวนของฤดูกาล ทั้งฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้นจนเกิดภาวะแห้งแล้งรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย และการที่ฤดูหนาวนั้นมาล่าช้ากว่ากำหนดแต่มีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้มีหิมะกองสูงกว่าปกติในรัฐนิวยอร์กและฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งประกาศว่า จะดำเนินแผนการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ทำให้ชาวอเมริกันเดือดร้อนกันถ้วนทั่ว และหันมาสร้างแหล่งพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้นอย่างชัดเจน
ที่เมืองเดส โมยนีส์ รัฐไอโอวา นางฮิลลารีใช้เป็นที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และได้ประกาศนโยบายของตนเองว่า “เราจะทำให้อเมริกาเป็นมหาอำนาจทางด้านพลังงานสะอาดของโลก”
“เราต้องติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (เพื่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์) กว่า 500 ล้านแผงทั่วประเทศภายในช่วงก่อนการสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกของข้าพเจ้า” “ขั้นต่อไปเราจะตั้งเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในบ้านทุกหลังคาเรือนทั่วประเทศภายในอีก 10 ปีข้างหน้า”
ถ้าจะแปลตรงๆ จากคำพูดของนางคลินตันก็คือ ถ้าได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเธอจะเดินหน้าแผนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จนมีกำลังผลิตไฟฟ้า 140 กิกะวัตต์ ภายในปี 2563 หรือ เพิ่มขึ้น 7 เท่า เมื่อเทียบกับจำนวนแผงโซลาร์เซลล์ที่มีการติดตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาในเวลานี้
ทั้งยังใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้ได้มากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณการบริโภคไฟฟ้าในสหรัฐภายในปี 2563 ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลงแล้ว ยังทำให้มีเม็ดเงินลงทุนในโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และพลังงานสะอาดไปกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และนำเศรษฐกิจของสหรัฐไปสู่ “สังคมการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนมหันต์ ภายในปี 2593”
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นประเด็นสุดขั้วสำหรับสมาชิกพรรครีพับลิกัน รวมทั้งผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2559 อีกหลายคน เพราะต่างตั้งคำถามขึ้นมาว่า กิจกรรมการรณรงค์ลดโลกร้อนที่มนุษย์เราทำอยู่นั้นจะส่งผลให้สภาพอากาศโลกนั้นดีขึ้น หรือ ไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ได้จริงหรือ
ในสภาคองเกรส ที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ก็ระดมเสียงกันค้านแผนการสร้างมาตรฐานการต่อต้านการสร้างมลภาวะที่ประธานาธิบดีโอบามาเป็นผู้เสนอให้สภาพิจารณาโดยเฉพาะในส่วนของการกำหนดมาตรฐานสำหรับโรงไฟฟ้าพลังถ่านหิน
ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนางฮิลลารีที่มีดีกรีแก่กล้าในฐานะนักการเมืองอยู่ไม่น้อย ก็ได้วางแผนยุทธศาสตร์กำจัดกำแพงกีดกันจากพรรคตรงข้ามไว้แล้ว และได้กล่าวสำทับพรรครีพับลิกันที่มีเจ้าของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หนุนหลัง ว่า “เราไม่สามารถปิดตาเพื่อละเลยความเสี่ยงของพี่น้องที่ทำงานหนักในอุตสาหกรรมถ่านหินได้ เพราะพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ให้แสงสว่างและพลังงานแก่อุตสาหกรรมของประเทศมานานกว่าศตวรรษ”
นโยบายของนางคลินตันนับเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง เพราะในปัจจุบันชาวอเมริกันพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก โดยสถิติเมื่อปี 2557 พบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้า 67% ในสหรัฐอเมริกา มาจากถ่านหิน และเชื้อเพลิงฟอสซิลมีเพียง 13% ที่มาจากพลังงานทดแทน และเพียง 0.4% มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนที่เหลืออีกราว 20% มาจากการใช้พลังงานนิวเคลียร์
ไม่แน่ว่านโยบายของนางคลินตันจะทำให้เธอได้ไปถึงฝั่งฝัน เป็นผู้นำหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เธอได้พิสูจน์ความเป็นนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงแม้จะเป็นเรื่องที่ยากราวกับเข็นครกขึ้นภูเขานั้นแล