ข่าว
แคลิฟอร์เนียหนีตายวุ่น - ไฟป่าลามถนน

18 ก.ค. หน่วยกู้ภัยรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เร่งอพยพประชาชนผู้ใช้ถนนหลวงเชื่อมรัฐสายไอ-15 ระหว่างนครลอสแองเจลิสและรัฐเนวาดา หลังไฟป่าโหมไหม้ลุกลามเข้าไปยังถนนสายดังกล่าว ทำให้รถยนต์และรถบรรทุกอย่างน้อย 20 คันถูกไฟเผาวอด 10 คันได้รับความเสียหาย และอีกกว่า 70 คันต้องจอดทิ้งไว้ตามคำสั่งอพยพของทางการ ขณะที่หน่วยดับเพลิงเร่งนำกำลังฉีดน้ำดับไฟที่โหมไม้ยานพาหนะเพื่อยับยั้งการลุกลาม โดยเบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

ขณะเดียวกันสถานการณ์ไฟป่าที่เกิดจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้งรุนแรงบริเวณภูเขาเขตซานเบอร์นาดิโนยังคงวิกฤต ป่ากว่า 8,000 ไร่ถูกไฟเผาวอด บ้านเรือนอย่างน้อย 5 หลังได้รับความเสียหาย และอีกกว่า 50 หลังเสี่ยงถูกเผาทำลาย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องควบคุมไฟป่าอย่างเร่งด่วน

“ผบ.ทบ.” แจงคสช.ไม่ห้ามแกนนำเพื่อไทยร่วมงานวันเกิด “ทักษิณ”

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 21 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวว่าอดีตรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย เตรียมขออนุญาตคสช.เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อร่วมอวยพรวันคล้ายวันเกิดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่ได้มีการห้ามอะไร ตอนนี้ยังไม่เห็นว่ามีการขออนุญาตเพื่อไปร่วมงานวันเกิดพ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด หากจะเดินทางออกไป ต้องเป็นกิจที่มีเหตุผล และเมื่อไปแล้ว ไม่ส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหาย ก็ไม่ได้ห้ามอะไร

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า ทหารห้ามไม่ให้บางคนไปต่างประเทศ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ถ้าไปแล้วส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย หรือไปร่วมกันคิดในทางไม่เรียบร้อย เราคงให้เดินทางไปไม่ได้ แต่ถ้าไปติดต่อธุรกิจ เยี่ยมบุตร ฯลฯ เราไม่เคยห้าม ทั้งนี้ จะต้องดูเหตุผลในการเดินทางด้วย ทหารให้โอกาสทุกคน และเชื่อว่าแต่ละคนทราบว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ เช่น ที่ไปประชุมประเทศนั้น ประเทศนี้ เพื่อให้รัฐบาลเดินต่อไม่ได้ ก็ไม่ควร

เมื่อถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขออนุญาตทางคสช. ไปต่างประเทศหรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ถ้ามีใครก็ตามที่ศาลไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ ก็ไปไม่ได้ หรือถ้ามีรายชื่อที่ถูกควบคุมอยู่ แม้ไม่ติดคำสั่งศาลก็ให้ไปไม่ได้ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้ขออนุญาตคสช.ไปต่างประเทศแต่อย่างใด


กว่า9ปี แพทยสภาลงดาบ! ให้ภาคทัณฑ์"หมอพรทิพย์"

(21 ก.ค.58) นายนพดล ธรรมวัฒนะ นำหนังสือความเห็นของแพทยสภา ที่มีมติให้ลงโทษภาคทัณฑ์แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรณีทำรายงานตรวจพิสูจน์ศพ นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชากรไทย ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2542 ภายในบ้านพักย่านสะพานใหม่

โดยแพทยสภาเห็นว่า การกระทำของแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ ขัดต่อข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2549 มายื่นต่อศาลอาญาเพื่อประกอบในสำนวนคดีที่นายนพดล ยื่นฟ้องแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ ฐานเบิกความเท็จ ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลฎีกา

นายนพดล เปิดเผยว่าตนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อแพทยสภาเมื่อ 9 ปีก่อน และทวงถามไปยังแพทยสภาหลายครั้ง ก่อนที่แพทยสภาจะลงความเห็นสั่งลงโทษแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ เมื่อปี 2556 แต่ตัวเองกลับพึ่งได้รับหนังสือฉบับนี้เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม และส่วนตัวเห็นว่าการลงโทษของแพทยสภานั้นเบาเกินไป ซึ่งจากนี้จะพิจารณาข้อกฎหมายก่อนยื่นฟ้องแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ต่อศาลปกครองต่อไป

ด้านแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์เปิดเผยว่า รับทราบคำสั่งของแพทยสภาแล้วแต่ส่วนตัวไม่ยอมรับคำสั่งดังกล่าวและเตรียมยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอความเป็นธรรมต่อไป


พบศพ อดีต กก.ผอ.ใหญ่การบินไทย ในวัดพระศรีมหาธาตุ

วันที่ 22 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจได้รับแจ้งพบศพ พล.อ.อ.ประหยัด ดิษยะศริน อดีตนายทหารอากาศ และเคยเป็นอดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน เสียชีวิตอยู่ภายในบริเวณวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม. ในสภาพมีบาดแผลถูกยิงที่บริเวณขมับขวา พร้อมพบอาวุธปืนตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ พล.อ.อ.ประหยัด ดิษยะศริน เป็นบิดาของ นาวาอากาศเอก วีระยุทธ ดิษยะศริน

ด้าน พลตำรวจโทศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกล่าวว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน พบผู้เสียชีวิตมีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ขมับ และพบปืนตกอยู่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นปืนประจำตัวของผู้เสียชีวิต จึงสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ยังต้องตรวจสอบหาสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากผู้เสียชีวิตเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่


หม่อมอุ๋ยปัดนินทานายกฯ ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ

“หม่อมอุ๋ย” ฟันธง มีขบวนการปล่อยข่าว จ้องเขี่ยให้พ้นทาง ปัด ข่าวนินทานายกฯ ไม่รู้เศรษฐกิจในวงประชุมนาย เมื่อเวลา 09.05 น. ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ถึงกรณีกระแสข่าวว่า ตนไปพูดว่า นายกรัฐมนตรีไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจในการประชุมสมาคมธนาคารไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า ไม่มี ไม่ได้พูด “บ้าเหรอ ผมจะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร ผมไม่เคยพูดว่านายกฯ ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจเลย แหม ท่านนายกฯ รู้เรื่องเศรษฐกิจจะตาย ผมจะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เรื่องที่ผมพูดคุยกับสมาคมธนาคารไทย เป็นการไปเล่าให้เขาฟังในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ และไปขอความร่วมมือในการปล่อยสินเชื่อ เอสเอ็มอี ผมมั่นใจว่าข่าวนี้มันเป็นกระบวนการปล่อยข่าว ที่คอยเล่นงาน คอยเลื่อยขาผมอยู่เรื่อย ปัดโธ่! ผมจะหาเรื่องทำไม แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว” ม.ร.ว. ปรีดิยาธร กล่าว

หญิงสาวเตรียมแต่งงานกับ"สุนัข"หลังสามีคนเก่าที่เป็น"แมว"ลาโลก!

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นางสาวโดมินิค เลสบีเรล เตรียมที่จะแต่งงานกับสุนัขของเธอหลังจากที่สามีคนเก่าที่เป็นแมวได้ตายไป ขณะที่เจ้าตัวยอมรับได้รับเสียงวิจารณ์ตำหนิจากสังคมกับพฤติกรรมแปลกของเธอ

รายงานระบุว่า โดมินิค วัย 41 ปี แต่งงานกับ"โดแรค"แมวของเธอ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่เจ้าแมวตัวนี้ก็จากไปเมื่อวัย 19 ปี จากภาวะไตวาย เธอจึงเริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับสุนัขของเธอที่มีชื่อว่า"ทราวิส" อีกทั้งยังหวังอีกว่าเธอกับทราวิสจะแต่งงานกัน โดยเธอกล่าวว่า "มันยังเร็วเกินไปที่จะแต่งงานกันตอนนี้ แต่สักวันหนึ่งฉันจะจัดงานแต่งงานระหว่างฉันกับทราวิสขึ้น"

นอกจากนี้ โดมินิคยังเผยอีกว่าเธอมักจะจัดงานแต่งงานสำหรับผู้คนที่อยากจะแต่งงานกับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง รวมถึงงานแต่งงานสำหรับคู่รักเพศเดียวกันอีกด้วย เธอเล่าประสบการณ์การจัดงานแต่งงานของเธอว่า "ฉันจัดงานแต่งงานให้คนที่อยากจะแต่งงานกับสัตว์เลี้ยงมากกว่า 1 ตัวได้ด้วย

ส่วนฉันเองนั้นแต่งงานกับสัตว์เลี้ยงแค่ตัวเดียวเท่านั้น แต่การจัดงานแต่งงานก็มีกฎอยู่บ้าง เช่น คุณอาจจะเคยได้ยินว่ามีคนเลี้ยงสิงโตหรือเสือไว้เป็นสัตว์เลี้ยงในบางส่วนของโลก แน่นอนว่าฉันคงจะไม่จัดงานแต่งงานให้" และเธอยังย้ำอีกว่า "ฉันจะต้องแน่ใจว่าพวกเขารักและเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงของพวกเขาจริงๆ"

อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การกระทำของเธอจะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เธอได้เล่าถึงอีเมล์ที่ส่งมาตำหนิเธอหรือแม้กระทั่งขู่ถึงชีวิต เธอกล่าวว่า "ฉันได้รับอีเมล์ที่เขียนมาว่าฉันมันโหดร้ายและยังสนับสนุนการกระทำอันโหดร้ายต่อสัตว์

ส่วนบางคนก้รู้สึกตื่นตระหนกและคิดว่าฉันยอมรับการมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ ซึ่งมันเป็นเรื่องแย่มากและมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันทำด้วย ฉันไม่เคยยอมรับการกระทำที่รุนแรงต่อสัตว์ สิ่งที่ฉันทำเป็นดั่งคำมั่นสัญญาต่อสัตว์เลี้ยงว่าจะดูเเลพวกมันด้วยความรัก ความเมตตา และความเอาใจใส่ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงเตรียมที่จะแต่งงานกับเจ้าทราวิส มันทำให้ฉันมีความสุขมากๆและมีความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ฉันเพียงแค่อยากจะจัดงานเพื่อฉลองสายสัมพันธ์นี้"


เมื่อถึงคราวที่"เทพกุมารีเนปาล ต้อง"ฝืนประเพณี"เดินถนนครั้งแรกในชีวิต "เยี่ยงสามัญชน"

สำนักข่าว"เดลี่ เทเลกราฟ"รายงานว่า เทพกุมารีหรือเทพนารีผู้มีชีวิตจริงตามความเชื่อของชาวเนปาล จำเป็นต้องฝืนประเพณีออกจากที่พักส่วนตัวในเมืองปาฏาน ทางตอนใต้ของเมืองกาฐมาณฑุ เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.8 แมกนิจูดเมื่อเดือนเมษายนที่แล้ว ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอต้อง "เดิน" บนถนน

ดานา กุมารี ภัชราชาร์ยา กุมารีแห่งเมืองปาฏาน วัย 63 ปี ผู้ครองตำแหน่งกุมารีนานถึง 30 ปี ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์กับ"เดลี่ เทเลกราฟ"ในการให้สัมภาษณ์ที่ไม่บ่อยครั้งนัก ระบุว่า เธอต้องเดินออกจากบ้านพักที่อาศัยกับครอบครัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ เนื่องจากต้องเอาชีวิตรอดจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งโดยปกติแล้ว กุมารีจะปรากฎตัวต่อสาธารณะเฉพาะวันงานเฉลิมฉลองที่เธอจะต้องอยู่ในขบวนพาเหรดเพื่อให้ประชาชนสักการบูชา อีกทั้ง กุมารียังไม่สามารถเดินถนนได้และจะอยู่บนเสลี่ยงไม้เท่านั้น

โดยเธอกล่าวว่า "ฉันไม่เคยคิดว่าจะต้องออกมาจากบ้านในสภาพแบบนี้ บางทีเทพเจ้าอาจจะโกรธที่ผู้คนไม่ทำตามประเพณีอย่างเคร่งครัด"

ด้าน ชานิรา ภัชราชาร์ยา หลานสาวของเธอกล่าวว่า "เราไม่สามารถออกจากบ้านได้เหมือนคนอื่นๆ พอนึกถึงเธอเราก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร แต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติบีบบังคับ เราก็ต้องทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด" พร้อมกันนี้เธอยังเผยอีกว่า ตั้งแต่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหว ป้าของเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสวดอธิษฐาน

นอกจากนี้ รายงานยังได้เผยประวัติของกุมารีองค์นี้ว่าเธอเข้ารับตำแหน่งในปี 1954 ขณะที่เธออายุ 2 ขวบ และอยู่ในตำแหน่งกุมารีแห่งปาฏานเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานที่สุด เพราะตามประเพณีนั้น กุมารีจะต้องถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อเธอเริ่มมีประจำเดือน แต่ภัชราชาร์ยาไม่เคยมีประจำเดือนเลย เธอจึงอยู่ในตำแหน่งได้นานถึง 30 ปี แต่อย่างไรก็ตาม เธอถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อปี 1984 เนื่องจากมกุฎราชกุมารทิเปนทระแห่งเนปาล เห็นว่าเธอมีอายุมากและควรที่จะยุติหน้าที่นี้แล้ว จึงปลดเธอออกและให้เด็กหญิงคนหนึ่งมารับตำแหน่งแทน

โดยภัชราชาร์ยาเผยความเจ็บปวดจากเหตุการณ์นี้ว่า "ไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องปลดฉันออก ฉันรู้สึกโกรธอยู่บ้าง ฉันยังรู้สึกว่าเทพเจ้ายังคงสิงสถิตในร่างของฉัน" ซึ่งหลังจากถูกปลดแล้ว เธอตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตเยี่ยงกุมารีมาตลอด โดยกล่าวว่าเธอไม่สามารถละทิ้งหน้าที่ของเธอได้

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ กุมารีหลาย ๆ คน ซึ่งถูกถือว่าเป็นร่างจุติของเทพเจ้ากาลีตามความเชื่อของศาสนาฮินดู มักจะออกไปทำงานหรือแต่งงานมีครอบครัว เมื่อพวกเธอถึงวาระเกษียณจากตำแหน่ง ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวัยหนุ่มสาวพอดี

โดยเด็กหญิงที่เป็นกุมารีจะถูกคัดเลือกจากนักบวชในพุทธศาสนา จากนั้น เธอจะถูกจำกัดขอบเขตอยู่ในวิหารประจำเมืองโบราณ 3 แห่ง ที่ตั้งอยู่บริเวณเขตหุบเขาของกรุงกาฐมาณฑุ

อย่างไรก็ตาม มีผู้วิจารณ์ว่าประเพณีที่สืบเนื่องมาแต่โบราณกาลดังกล่าวได้ปฏิเสธไม่ให้เด็กหญิงเหล่านี้มีโอกาสใช้ "ชีวิตแบบปกติ" ดังเช่นสามัญชนทั่วไป อีกทั้ง หลังจากพวกเธอหมดวาระจากการเป็นกุมารีแล้ว เด็กสาวก็จะถูกปล่อยให้เผชิญหน้ากับ "ชีวิตจริง" หลังจากนั้น โดยไม่เคยผ่านการเตรียมตัวมาก่อน

เมื่อสองปีก่อน ศาลฎีกาของเนปาลได้พิพากษาให้รัฐบาลมอบหลักประกันสุขภาพและการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เด็กสาวผู้เป็นกุมารี นอกจากนี้ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเนปาลยังเพิ่งประกาศเพิ่มงบประมาณเพื่อใช้จ่ายในการให้หลักประกันขั้นพื้นฐานดังกล่าวอีกเป็นจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ พร้อมทั้งแถลงว่า รัฐบาลจะมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษาของกุมารี