ข่าว
"จีน"พบเทคโนโลยีใหม่ ตั้งท้องได้ไม่ต้องพึ่งผู้ชาย

เว็บไซต์ข่าวอังกฤษ “เดลีมิรเรอร์”รายงานจากเมืองหนานจิง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ว่า นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนเปิดเผยการค้นพบวิธีการทำ “อสุจิเทียม” โดยได้มีการทดลองฉีดอสุจิเทียม ที่ได้จากห้องทดลองเข้าไปในหนูทดลองตัวเมีย ปรากฏว่า หนูตั้งท้องและให้กำเนิดลูกหนูที่แข็งแรงหลายตัว

แต่นักวิทยาศาสตร์อังกฤษได้ออกมาแสดงความเห็นว่า วิธีการของนักวิทยาศาสตร์จีที่นำเซลล์ของหนู ซึ่งได้มาจากกรรมวิธีทำเซลล์ “สเปอร์มาทิด” หรือเซลล์ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากสเปอร์มาโทไซต์ระยะที่สอง และจะเปลี่ยนแปลงต่อไปเป็นตัวอสุจินั้น เป็นเซลล์ที่มีความบกพร่องไม่มีหางและว่ายน้ำไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเซลล์เหล่านี้ฉีดเข้าไปในตัวของหนู ด้วยวิธีการเช่นเดียวกับการทำเด็กหลอดแก้ว ก็ประสบผลสำเร็จได้เป็นตัวอ่อน ของหนูที่แข็งแรง แต่กรรมวิธีนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบที่แน่ชัด และเป็นสิ่งผิดกฎหมายในสหราชอาณาจักร

ดร.เจียห่าว ซา แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์หนานจิง ผู้ร่วมวิจัยในการค้นพบนี้ได้ตีพิมพ์ผลงานลงในวารสารชีววิทยา “เซลล์ สเตม เซลล์” โดยเผยว่า หากวิธีนี้ได้รับการยืนยันเพียงพอว่า ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ ทีมงานอาจพัฒนาไปถึงขั้นผลิตอสุจิที่สมบูรณ์สำหรับการผสมเทียมหรือการทำเด็กหลอดแก้ว ช่วยเหลือผู้ที่เป็นหมันหรือสามารถทำให้สตรีสามารถมีลูกได้โดยไม่ต้องอาศัยอสุจิจริงจากผู้ชาย

วิธีการดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์เริ่มจากนำสเตมเซลล์ของตัวอ่อนหนูมาแช่ลงในสารเคมีหลายชนิด เพื่อให้กลายมาเป็นไพรมอร์เดียล เจอร์มเซลล์ (primordial germ cell) เป็นกลุ่มเซลล์เริ่มแรก เข้ากระบวนการอันซับซ้อนให้เซลล์พัฒนาเป็นอสุจิ

จากนั้น จะนำเซลล์สืบพันธุ์ที่ได้มาอยู่ในสภาวะแวดล้อมของเซลล์อัณฑะและฮอร์โมนเพศชาย เมื่อนำเซลล์สเปอร์มาทิด ที่ได้มาฉีดเข้าไปในไข่ของตัวหนูเพศเมีย เซลล์ก็จะพัฒนาเจริญเติบโตขึ้นไปตามลำดับอย่างปกติ

ปัจจุบันทีมนักวิทยาศาสตร์จีนยืนยันว่า พวกเขาผ่านมาตรฐานการแบ่งเซลล์เพศที่กำหนดโดยผู้เชี่ยวชาญแล้ว วิธีนี้จึงเป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะสามารถช่วยเหลือผู้ที่เป็นหมันได้ และอาจใช้วิธีการดังกล่าวทำอสุจิเทียมขึ้นมา เพื่อใช้ในการผสมเทียมได้เช่นกัน..

'โอ๊ค'ซัด 2 มาตรฐานปมปล่อยกู้กรุงไทย

เมื่อวันที่ 25 ก.พ. นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ข้อเท็จจริงที่ตนได้พบจากการที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เรียกสอบ กรณีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย คือระบบสองมาตรฐานยังคงมีอยู่ในกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่เปลี่ยนแปลง โดยหนังสือที่ดีเอสไอส่งเรียกตนไปสอบถามทุกฉบับนั้น ส่งเรียกไปให้ข้อมูลในฐานะพยาน เช่นเดียวกับคนอีก 200-300 คน ที่มีกระแสการเงินเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ถูกดีเอสไอเรียกไปด้วยเหตุผลเดียวกัน ทั้งหมดนี้ในฐานะ "พยาน" ทั้งสิ้น 200-300 คน ที่ถูกเรียกไปนั้น ได้ยินว่ามีทั้งนายทหารชั้นผู้ใหญ่ แทบจะครบทุกเหล่า นายตำรวจ มูลนิธิฯ สถาบันการเงินและบุคคลทั่วไป ซึ่งในการส่งหนังสือ เรียกตัวบุคลเหล่านั้นไปสอบ ทางดีเอสไอมีการกระทำอย่างเงียบเชียบ ด้วยความระมัดระวัง ไม่ต้องการให้พยานต้องเสียหาย หรือตกเป็นจำเลยของสังคม ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีคำพิพากษา หรือวินิจฉัยใดๆ ทั้งสิ้น

นายพานทองแท้ กล่าวอีกว่า แต่สำหรับตนนั้นตรงกันข้าม ถ้าแห่กลองยาวมาได้ คงถือหนังสือพร้อมส่งเสียงโห่นำขบวนมาแล้ว ฝ่ายที่อคติกับตนใช้ช่องทางผ่านสื่อ บางคนที่ซ่อนตัวอยู่บางสำนักใช้เป็นเกมทางการเมือง ไม่คำนึงถึงความถูกผิด ขอให้ใส่ร้ายไว้ก่อน ชี้นำตลอดยิ่งกว่าผู้กระทำความผิด เล่นเอาฝ่ายกฎหมายและทนายของตนเกิดสงสัยขึ้นมา จึงได้ทำหนังสือให้ลงนามไปสอบถามว่า ตกลงที่เรียกไปนี่ให้ไปในฐานะอะไร เพราะคิดว่าถ้าจะให้เป็นพยานแล้วมาแกล้งออกข่าวให้เสียหายกันแบบนี้มันไม่แฟร์ ก็ได้รับคำตอบอย่างที่เห็นกันนี้คือเป็นการเรียกไปให้ถ้อยคำในฐานะพยาน

“ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่ดี ๆ นั้น ยังมีอยู่มาก ต้องขอให้กำลังใจ ดีเอสไอคือหน่วยงานต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม ถ้าเริ่มต้นกระบวนการให้ดี ทำงานแบบมืออาชีพไม่มีอคติ หรือเพียงแต่จะคิดเอาใจนาย ใครผิดใครถูกว่ากันไปตามกฎหมาย 2 มาตรฐานก็จะเกิดขึ้นได้ยาก บ้านเมืองก็จะกลับสู่ความสงบได้เร็ว ผมจะรอดูพยานที่ชื่อพานทองแท้ กับพยานคนอื่นๆ อีก 200-300 ปาก ที่เรียกสอบไปแล้ว ดีเอสไอในฐานะหน่วยงานของรัฐ จะให้ความเป็นธรรมเสมอภาค และกระทำในมาตรฐานเดียวกันหรือไม่ เดี๋ยวคงได้รู้กัน” นายพานทองแท้ ระบุ

ทางด้าน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายพานทองแท้ คดีปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)ให้แก่กลุ่มกฤษดามหานคร กล่าวถึงการนำเสนอข่าวทำนองว่านายพานทองแท้ กระทำผิดในคดีปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยว่า การนำเสนอข่าวที่เป็นอคติและใส่ร้ายบิดเบือนโดยการชี้นำสังคมให้มีความเข้าใจที่ผิดว่านายพานทองแท้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ทั้งที่ความจริงได้รับหนังสือเพื่อเชิญไปให้ถ้อยคำในฐานะ "พยาน"เท่านั้น ทำให้นายพานทองแท้ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ซึ่งเข้าลักษณะการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้หากยังคงมีการนำเสนอข่าวในลักษณะที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจได้ว่านายพานทองแท้ กระทำผิดคดีอาญาฐานฟอกเงินคดีนี้ คณะที่ปรึกษากฎหมายและทนายความ จะพิจารณาเสนอให้นายพานทองแท้ มอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อบุคคลนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานหมิ่นประมาท เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิและปกป้องชื่อเสียงต่อไป


‘ณัฐวุฒิ’ไม่ยอมรับคำว่า ปชต.ครึ่งใบ ขอเรียกว่า’เผด็จการผลัดใบ’แทน

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวว่า จริงๆ แล้วนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ไม่จำเป็นต้องแสดงฉากปรับความเข้าใจกันเรื่องข้อเสนอที่ 16 เลย เพราะสังคมทราบดีว่าทั้ง 2 คนร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับของ คสช.อยู่แล้ว เรื่องใหญ่ระดับวางกรอบอำนาจอีก 5 ปี ไม่น่าจะเพิ่งคุยกันเมื่อวานนี้ ส่วนข้ออ้างเรื่องกินน้ำครึ่งแก้วนั้น ฝากบอกไปยังนายวิษณุว่า เรื่องนั้นเกิดขึ้นเมื่อเกือบ 40 ปีมาแล้ว จะยกเอาคำพูดและบริบทของสถานการณ์เมื่อ 40 ปีก่อนมากำหนดอนาคตประเทศใน 20 ปีข้างหน้าได้อย่างไร

“ผมไม่ได้สนใจน้ำครึ่งแก้วที่ยื่นมา แต่อยากทราบว่าอีกครึ่งแก้วหายไปไหน มีความชอบธรรมใดที่คนบางกลุ่มจะเอาไปอมไว้ และมีหลักประกันอะไรว่าถึงที่สุดน้ำทั้งหมดนั้นจะไม่ถูกผู้มีอำนาจกลืนลงไป ถ้าอ้างว่าหลังเลือกตั้งอาจเกิดปัญหา เรื่องนี้ป้องกันได้โดยการทำรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แล้วทุกคนทุกฝ่ายอยู่ใต้กติกาเดียวกัน ทำหน้าที่ของตัวเองตามกรอบกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา แต่หากทำอย่างที่เป็นข่าว สุ่มเสี่ยงจะเกิดความขัดแย้งและเสียหายยิ่งกว่า” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า ไม่ยอมรับวาทกรรมเรื่องประชาธิปไตยครึ่งใบ และขอเรียกร้องให้เลิกใช้คำนี้ เพราะหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยคือ อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน หากรัฐธรรมนูญทำได้เพียงให้สิทธิเลือกตั้งเป็นของประชาชน แต่อำนาจถูกรวบไว้ ณ จุดใดจุดหนึ่ง จะเรียกว่าประชาธิปไตยไม่ได้ รูปธรรมที่น่าจะอธิบายได้ชัดเจนกว่าคือ เผด็จการผลัดใบ ต่อให้แตกใบใหม่เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่หากรากและลำต้นยังเป็นเครือข่ายรัฐประหาร การปกครองแบบนี้ก็ยังเรียกว่าเผด็จการ


เลิกไลค์ มากดรัก! เฟซบุ๊กเปิดตัวลูกเล่นแสดงอารมณ์ใหม่ทั่วโลกแล้ว

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ว่า เฟซบุ๊ก สื่อสังคมออนไลน์ระดับโลกเปิดตัวลูกเล่นใหม่ให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกแสดงอารมณ์ได้มากกว่าการกด “ไลค์” อย่างเป็นทางการทั่วโลก

เฟซบุ๊กพัฒนาการแสดงอารมณ์ตอบสนองต่อโพสต์ต่างๆ ให้ครอบคลุมมากกว่าความรู้สึกชอบ หรือไลค์ เพียงอย่างเดียว โดยต่อไปผู้ใช้สามารถเลือกแสดงอารมณ์อย่าง รัก, ฮา, ว้าว, เศร้า และโกรธได้

มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กเผยถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า เรื่องราวที่ผู้ใช้แบ่งปันไม่ได้มีแต่ความสุขอย่างเดียว บางครั้งเราต้องการแบ่งปันความทุกข์หรือเศร้าใจ หลายต่อหลายเสียงได้เรียกร้องปุ่มไม่ชอบมาเนิ่นนาน แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ชอบโพสต์ที่เพื่อนเขียนขึ้น แต่เป็นความเห็นอกเห็นใจ

ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กระบุต่อว่า หลังการครุ่นคิดเป็นเวลานาน เป้าหมายของตนคือการแสดงอารมณ์ด้วยวิธีเรียบง่ายอย่างการกดปุ่มไลค์ค้างไว้ ภายหลังการทดลองใช้มาระยะหนึ่ง “รัก” ถือเป็นอารมณ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งสำหรับตนแล้ว มันถูกต้องเลย


ปักกิ่งแซงนิวยอร์กยึดตำแหน่ง”เมืองมหาเศรษฐี”

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน ยึดตำแหน่งเมืองที่มีมหาเศรษฐีมากที่สุด มาจากนครนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกาได้เป็นครั้งแรก จากรายงานล่าสุดของ “หูรุ่น”บริษัทจัดอันดับในจีนที่ระบุว่า ขณะนี้มีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่ในกรุงปักกิ่งของจีนจำนวนทั้งสิ้น 100 คน เมื่อเทียบกับนครนิวยอร์กมีมหาเศรษฐีอยู่ 95 คน ส่วนนครเซี่ยงไฮ้ ศูนย์กลางการค้าสำคัญของจีนอยู่อันดับ 5

ในรายงานประจำปีรายชื่อบุคคลร่ำรวยโลกในช่วง 5 ปีที่หูรุ่นทำการสำรวจโดยใช้มาตรวัดสถานะความร่ำรวยของเหล่ามหาเศรษฐีเป็นเงินสกุลดอลลาร์ ยังพบว่า กรุงปักกิ่งมีมหาเศรษฐีหน้าใหม่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วจำนวน 32 คน แซงหน้านครนิวยอร์กที่มีมหาเศรษฐีหน้าใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 4 คนเท่านั้น

หากประเมินในภาพรวมจีนยึดตำแหน่งประเทศที่มีจำนวนมหาเศรษฐีมากที่สุดมาจากสหรัฐอเมริกา โดยจีนมีจำนวนมหาเศรษฐีอยู่ในประเทศทั้งสิ้น 568 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิม 90 ราย ขณะที่ในสหรัฐมีมหาเศรษฐี 535 ราย ทว่าใน 10 อันดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของหูรุ่น ล้วนแต่เป็นมหาเศรษฐีชาวอเมริกันทั้งสิ้น ขณะที่ทรัพย์สินของมหาเศรษฐีในจีนรวมกันมีมูลค่าสุทธิสูงถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณการณ์ได้พอๆกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ของออสเตรเลีย

ส่วนมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีนจากการจัดอันดับของหูรุ่น คือ นายหวัง เจี้ยนหลิน เจ้าพ่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทรัพย์สินมูลค่าราว 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี สถานะความร่ำรวยของนายหวังยังไม่สามารถทะลุแทรกเข้าไปอยู่ใน 10 อันดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกที่มีแต่มหาเศรษฐีชาวอเมริกันทั้งหมดได้ โดยมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกยังคงเป็น บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ไมโครซอฟท์ ที่มีทรัพย์สิน 80,000 ล้านดอลลาร์ รองลงมาคือ วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ ประธานและซีอีโอบริษัท เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ มีทรัพย์สิน 68,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 3 ได้แก่ อามันซิโอ ออร์เตกา เจ้าของเสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์ดังชาวสเปน มี 64,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ปัจจุบันมีมหาเศรษฐีทั่วโลกอยู่ทั้งสิ้น 2,188 คน

ด้านนายรูเพิร์ต ฮูจเวิร์ฟ ประธานบริษัทหูรุ่น กล่าวว่า ความร่ำรวยในจีนยังสามารถเติบโตได้แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวและตลาดหุ้นยังขาดเสถียรภาพก็ตาม นั่นอาจเป็นเพราะคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์จีนยกเลิกคำสั่งห้ามเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปที่บังคับใช้มาเป็นเวลาหลายปีไป

สหรัฐพายุซัดตอ.-หิมะตกหนักมิดเวสต์

สำนักข่าวเอพีรายงานจากเมืองเวเวอร์ลี ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ว่า ระบบพายุนำพาทอร์นาโดพัดกระหน่ำพื้นที่ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 รายในเขตรัฐเวอร์จิเนีย และหิมะตกหนักทั่วเขตมิดเวสต์ ทำให้เที่ยวบินโดยสารจาก 2 สนามบินเมืองชิคาโก ต้องระงับการบินให้บริการกว่า 1,100 เที่ยว

นายแทร์รี แม็คออลิฟ ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย ประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อคืนวันพุธ หลังจากพายุทอร์นาโดทำลายอาคารบ้านเรือนในเขตรัฐจำนวนมาก และประชาชนหลายพันคนขาดกระแสไฟฟ้าใช้ ที่เมืองเล็กๆ เวเวอร์ลีได้รับผลกระทบจากพายุหนักที่สุด คอรีน เกลเลอร์ โฆษกหญิงของสำนักงานตำรวจแห่งรัฐเวอร์จิเนีย เผยว่า เด็กเล็กวัย 2 ขวบ และชาย 2 คนอายุ 50 และ 26 ปี เสียชีวิตระหว่างพายุพัดกระหน่ำ ศพของทั้งสามถูกพบห่าง 300 หลา จากบ้านเคลื่อนที่ของพวกเขาที่ดัดแปลงจากรถยนต์

ที่เขตปกครองอัปโปแมตทอกซ์ เคาน์ตี พายุทำลายบ้านเรือนและต้นไม้เสียหายยับ ระยะทางยาว 8 - 10 ไมล์ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 คน และเสียชีวิต 1 ราย เป็นผู้ชาย

ส่วนเขตมิดเวสต์ หรือภาคกลางตอนบนของสหรัฐ พายุนำพาหิมะตกหนักและลมแรงจัด ทำให้โรงเรียนและสถานศึกษาปิดการเรียนการสอนในหลายรัฐ และมีรายงานเที่ยวบินโดยสารกว่า 1,100 เที่ยว ที่สนามบินหลัก 2 แห่งของเมืองใหญ่ชิคาโก ประกาศยกเลิกการบินให้บริการเมื่อคืนวันพุธ คาดว่ารัฐอินเดียนาจะได้เห็นหิมะตกหนักที่สุด จากกระแสลมที่พัดออกจากทะเลสาบมิชิแกน ซึ่งอาจทำให้หิมะตกทับถมในเขตรัฐสูงถึง 18 นิ้ว หลายพื้นที่ของรัฐมิชิแกนอาจมีหิมะตกสูงประมาณ 1 ฟุต และโรงเรียนบางส่วนประกาศปิด ก่อนที่พายุจะมาถึง