การเผชิญหน้าและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา สองชาติมหาอำนาจของโลก เป็นประเด็นสำคัญในด้านการต่างประเทศที่โลกจับตามองในช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าในช่วงปลายปีก่อนยังดูจะมีประกายแห่งความหวัง จากการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคที่นครซานฟรานซิสโก ที่สะท้อนให้เห็นว่าผู้นำทั้งสองต่างตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของความร่วมมือ ทั้งยังส่งสัญญานถึงความปรารถนาที่จะหยุดยั้งการล่มสลายของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศด้วย
ปี 2024 ไม่เพียงแต่จะเป็นบททดสอบเสถียรภาพอันเป็นผลจากการหารือครั้งล่าสุดของผู้นำทั้งคู่ ขณะเดียวกันมันก็อาจนำมาซึ่งความวุ่นวายครั้งใหม่ได้เช่นเดียวกัน
ปัญหาข้ามช่องแคบ
ปัญหาประการแรกที่จะทำให้ความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐฯ ปะทุขึ้นครั้งใหม่มารออยู่ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภานิติบัญญัติของไต้หวัน ปฏิกริยาของจีนต่อการเลือกตั้งไต้หวันที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ อย่างเลี่ยงไม่พ้น
สหรัฐฯ ตระหนักดีว่าไต้หวันเป็นประเด็นอ่อนไหวของจีน เห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมา แม้สหรัฐฯ จะพูดว่ายึดมั่นในนโยบายจีนเดียว แต่ก็ให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติการขายอาวุธ การเดินทางเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และการเยือนสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องของสมาชิกสภาคองเกรส เพื่อแสดงความสนับสนุนเกาะไต้หวัน ที่ทุกฝ่ายก็ตระหนักดีว่าเป็นการกระทำที่สร้างความขุ่นเคืองให้กับจีนที่มองว่า ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่ไม่อาจแยกจากกันได้
ถึงขนาดที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เคยออกปากระหว่างการให้สัมภาษณ์กับรายการ CBS 60 Minutes ในปี 2022 ว่า กองทัพสหรัฐฯ พร้อมจะช่วยปกป้องไต้หวันหากจีนส่งกำลังรุกราน ทำให้กระทรวงต่างประเทศจีนออกมาตอบโต้ทันทีว่า เป็นการส่งสัญญานผิดๆ อย่างร้ายแรงไปยังกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ต้องการให้ไต้หวันเป็นอิสระจากจีน ทั้งยังแสดงความไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อความเห็นของไบเดน พร้อมทั้งขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อต่อต้านการแยกตัวเป็นอิสระ
ประจวบเหมาะกับในขณะนี้ ผู้ที่มีคะแนนนำในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันที่กำลังจะมาถึง ดูจะเทไปที่รองประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ และนางเซียว บีคิม อดีตผู้แทนไต้หวันประจำสหรัฐฯ คู่ลงสมัครจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) พรรครัฐบาลในปัจจุบัน ที่เน้นท่าทีแข็งกร้าวต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่ จนถูกจีนตราหน้าว่าคนทั้งคู่เป็นพวกสองหน้าเพื่อแยกตัวเป็นเอกราช พร้อมปัดตกข้อเสนอให้มีการเจรจาของนายไล่ด้วย
ก่อนหน้านี้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 1996 สหรัฐฯ ได้ส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปยังช่องแคบไต้หวัน เมื่อจีนได้ทำการฝึกซ้อมทางทหารและทดสอบขีปนาวุธก่อนการลงคะแนน ขณะที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จีนได้จุดประกายความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง โดยระบุว่าการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นทางเลือกระหว่าง “สันติภาพและสงคราม” พร้อมกับเรียกพรรคดีพีพีว่าเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่เป็นอันตราย และเรียกร้องให้ชาวไต้หวันเลือกตัวเลือกที่ถูกต้อง
ผลการเลือกตั้งไต้หวันอาจนำมาซึ่งความไม่แน่นอนครั้งใหญ่ ขึ้นกับว่าผู้นำคนใหม่ของไต้หวันจะมีความเข้าใจต่อสถานะปัจจุบันของไต้หวันในมุมมองของสหรัฐฯ จีน และไต้หวันหรือไม่ หากดีพีพีคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งอีกครั้ง แน่นอนว่ามันจะสร้างความกังวลให้กับจีน ซึ่งอาจต้องการทดสอบรัฐบาลใหม่ของไต้หวัน และนั่นเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงเสมอ
ทรัมป์ 2.0 ?
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนยิ่งกว่าการเลือกตั้งไต้หวัน หากมันจะกลายเป็นการรีแมตช์ระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เว้นแต่ว่าจะเกิดเรื่องเกินคาดหมายขึ้นในนาทีสุดท้าย
แน่นอนว่าในการรณรงค์หาเสียงจะต้องมีวาทศิลป์อันดุเด็ดเผ็ดมันเกี่ยวกับจีนเกิดขึ้นจากทั้งสองพรรคการเมืองหลักของสหรัฐฯ อย่างแน่นอน กระนั้นก็ดี ประธานาธิบดีสีน่าจะมุ่งเน้นไปยังคำถามเดียวว่า “ทรัมป์จะกลับมาอีกครั้งหรือไม่ ?”
ความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนในสมัยของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้เปิดทางให้ทรัมป์ ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศการทำสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบกับจีน ตามด้วยการกล่าวหาจีนในเรื่องต้นตอของโควิด-19 และความตึงเครียดครั้งใหม่เกี่ยวกับสถานะของไต้หวัน
ในแง่หนึ่ง การกลับมาของทรัมป์อาจเป็นประโยชน์ในด้านภูมิรัฐศาสตร์สำหรับจีน หลังจากที่ไบเดนได้เพิ่มแรงกดดันต่อจีนด้วยการรักษาอัตราภาษีในยุคทรัมป์ เพิ่มการควบคุมการส่งออกใหม่ๆ และเสริมสร้างพันธมิตรของสหรัฐฯ แต่สัญชาติญานของผู้ที่ชอบแยกตัวโดดเดี่ยวของทรัมป์ อาจทำให้เขาพาสหรัฐฯ ออกห่างจากพันธมิตร ซึ่งนั่นจะกลายเป็นประโยชน์สำหรับจีนที่รู้สึกว่าถูกอำนาจของสหรัฐฯ ครอบงำ
ความขัดแย้งเกี่ยวกับชิป
การควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ เพื่อป้องกันไม่ให้จีนเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดมีแนวโน้มที่จะเข้มข้นขึ้นในปี 2024 หลังจากในเดือนตุลาคม 2023 จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้กระชับข้อจำกัดต่างๆ ที่มีอยู่ เพิ่มชิประดับไฮเอนด์จำนวนหนึ่ง และปิดช่องโหว่ต่างๆ พร้อมประกาศว่าจะมีการทบทวนเรื่องเหล่านี้ใหม่อย่างน้อยปีละครั้ง
แม้จะยังมีข้อถกเถียงกันเกี่ยวกับการควบคุมการส่งออกว่าจะช่วยสกัดไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีเกี่ยวกับการผลิตชิปขั้นสูงได้มากน้อยเพียงใด และจีนก็พยายามที่จะต่อต้านข้อจำกัดต่างๆ แต่การตอบโต้ที่พุ่งเป้าไปยังธุรกิจสหรัฐก็อาจจะทำให้เงินลงทุนต่างชาติไม่เข้ามาในจีนมากขึ้น ท่ามกลางความต้องการเงินทุนเหล่านี้เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัว อย่างไรก็ดี สิ่งที่โดดเด่นคือจีนเป็นเจ้าของแร่ธาตุหายากที่จำเป็นสำหรับการผลิตชิป
ความตึงเครียดจากนโยบายของสหรัฐฯ ยังเพิ่มขึ้นหลังฝ่ายบริหารของไบเดนเปิดตัวคณะทำงานเฉพาะกิจในปี 2023 เพื่อตอบโต้ความพยายามในการได้มาซึ่งเทคโนโลยีที่มีความละเอียดอ่อนของสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย และมีการเดินหน้าสอบสวนการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกเทคโนโลยีไปยังประเทศจีน ซึ่งแมทธิว เอส. แอกเซลรอด ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ที่กำกับดูแลเรื่องการบังคับใช้การส่งออกคาดว่า มันจะนำไปสู่การดำเนินการบังคับใช้เกี่ยวกับการส่งออกที่สำคัญในปี 2024
ท่ามกลางปัจจัยมากมายที่อาจทำให้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ย่ำแย่ลง แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนที่ทำงาน
ในพื้นที่จริงมองว่า ปัญหาเศรษฐกิจจีนอาจทำให้จีนมีความอดทนมากขึ้น ภายใต้ความพยายามจะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยมีการดำเนินการที่ส่งสัญญานเชิงบวก อาทิ การอนุมัติให้ Mastercard ดำเนินการหักบัญชีบัตรในจีน
กระนั้นก็ดี การที่เศรษฐกิจจีนยังคงไม่มีสัญญานการฟื้นตัวที่ดีนัก บวกกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังอยู่ในระดับสูง ก็จะทำให้โอกาสที่บริษัทต่างชาติจะเข้าไปลงทุนในจีนลดลงเช่นกัน หากต้องยอมรับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์แต่ไม่มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น บริษัทหลายแห่งก็ย่อมจะหันไปลงทุนที่อื่นเพื่อความปลอดภัย
สุดท้ายแล้วการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีนและสหรัฐฯ จะผ่อนคลายลงหรือตึงเครียดพุ่งสูงขึ้นมากแค่ไหน ก็ต้องคอยลุ้นกันต่อไปตลอดปีมะโรงนี้
สุโชติ และคู่ชีวิต สุจิตรา ปาลีวงศ์ ประธานศูนย์วัฒนธรรมไทยแห่งนิวยอร์กเป็นแม่งานจัดฉลองคริสต์มาส ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่2024 ร่วมกับสมาคม ชมรม และสื่อมวลชน ที่บ้านพักในรัฐ New Jersey เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2023 โดยได้เชิญ กงสุลใหญ่สมใจ ตะเภาพงษ์ และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก มาร่วมด้วย พร้อมถือโอกาส Farewell Party เลี้ยงส่ง กงสุล ภาวินี จันทร์สำราญ และรองกงสุล หทัยทิพย์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ครบวาระเดินทางมาปฏิบัติราชการที่สถานกงสุลใหญ่ฯ ในวาระเดียวกัน บรรยากาศงานเต็มไปด้วยความอบอุ่น ความสุขสนุกสนาน มีความรักความผูกพัน มอบให้แก่กันอย่างทั่วหน้า
ที่ประชุมสภาฯ ลงมติ 311 ต่อ 177 เห็นชอบรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2567 ตั้ง กมธ.วิสามัญ 72 คน “เศรษฐา” ย้ำ รัฐบาลจะใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ และคุ้มกับเงินภาษีประชาชนทุก บาททุกสตางค์
เมื่อเวลา 20.08 น. วันที่ 5 มกราคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวสรุปว่า ในนามของรัฐบาล ขอขอบคุณสมาชิกที่ร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ขอเรียนว่า แม้งบประมาณจะถูกจัดทำในเวลาที่เร่งด่วน มีงบประจำ งบผูกพันที่รัฐบาลนี้จะต้องดูแลอย่างเป็นธรรม และมีวงเงินที่จำกัด แต่รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการมุ่งทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น ผ่านการดำเนินนโยบายที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทั้งนโยบายระยะสั้นและนโยบายระยะยาว สำหรับงบประมาณที่พิจารณาอยู่นี้มีไฮไลต์สำคัญ 4 เพิ่ม 1 ลด คือ จัดงบเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน, เพิ่มเงินลงทุนเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชน, เงินคงคลังเพิ่มขึ้นจากการจ่ายเงินคืน เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลัง, รายได้เพิ่มขึ้น มั่นใจว่าจะสามารถขยายฐานภาษีได้จากการจัดเก็บรายได้ให้เป็นธรรม และรัฐบาลจะขาดดุลลดลง จะเป็นการลงทุนทางการเงินที่คุ้มค่า
ทั้งนี้ มีอีกหลายนโยบายที่ได้แถลงไว้ ทั้งการเจรจา FTA การยกระดับวีซ่าของไทย ไปจีนโดยไม่ต้องขอวีซ่า การกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยการยกเว้นวีซ่า เรื่องพวกนี้ไม่ใช้งบประมาณ แต่แค่ต้องเปลี่ยนกระบวนการทำงาน ปลดล็อกกฎระเบียบบางส่วน สร้างอิมแพ็คได้อย่างมหาศาล
“ผมมั่นใจครับ แม้เราจะเหลือระยะเวลาในการใช้งบประมาณปี 2567 ไม่นาน แต่รัฐบาลนี้จะใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ใช้อย่างรู้คุณค่า ใช้อย่างมีเป้าหมาย ให้คุ้มกับเงินภาษีประชาชนทุกบาททุกสตางค์ สำหรับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะต่างๆ ที่ทุกท่านได้อภิปรายไว้ ผมขอฝากให้คณะกรรมาธิการวิสามัญที่สภาฯ นี้จะแต่งตั้งขึ้น นำไปใช้ประกอบการพิจารณา ตรวจสอบรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ให้เป็นไปโดยรอบคอบยิ่งขึ้น”
จากนั้นเวลา 20.11 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กดออดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แสดงตนเพื่อลงมติว่าจะรับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในวาระ 1 หรือไม่ พบว่ามีผู้แสดงตน 495 คน (490+5) ถือว่าครบองค์ประชุม จากถามประธานสภาฯ เปิดให้ลงมติมีผลเป็นดังนี้
จำนวนผู้ลงมติ 492 (490+2)
เห็นด้วย (รับหลักการ) 311 (310+1)
ไม่เห็นด้วย (ไม่รับหลักการ) 177 (176+1)
งดออกเสียง 4
ไม่ลงคะแนนเสียง 0
*หมายเหตุ เครื่องหมาย + คือจำนวนผู้ออกเสียงผ่านการขานชื่อ*
ทั้งนี้ หลังจากที่ประชุมมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 72 คน กำหนดการแปรญัตติ 30 วัน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี 18 คน สส. 54 คน ได้แก่
พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล จำนวน 34 คน
พรรคเพื่อไทย 15 คน
พรรคภูมิใจไทย 8 คน
พรรคพลังประชารัฐ 5 คน
พรรครวมไทยสร้างชาติ 4 คน
พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน
พรรคประชาชาติ 1 คน
พรรคร่วมฝ่ายค้าน จำนวน 20 คน
พรรคก้าวไกล 16 คน
พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน
พรรคไทยสร้างไทย 1 คน
จากนั้นประธานสภาฯ กล่าวว่าจะมีการประชุมครั้งต่อไป วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2567 เวลา 13.00 น. ห้องประชุมพรรคร่วมรัฐบาลชั้น 2 ก่อนปิดประชุมในเวลา 20.39 น.
นักเรียนคนหนึ่งก่อเหตุยิงคน 6 คน ที่โรงเรียนมัธยมในรัฐไอโอวาของสหรัฐฯ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ศพ ก่อนมือปืนจะปลิดชีวิตตัวเอง ในวันแรกที่โรงเรียนเปิดการเรียนการสอนหลังวันหยุดยาวช่วงปีใหม่
เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานการก่อเหตุเมื่อเวลา 07.37 น. ตามเวลาท้องถิ่นวานนี้ (4 ม.ค. 2567) โดยเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุภายในไม่กี่นาที
มิทช์ มอร์ทเวดต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกสืบสวนคดีอาญาของรัฐไอโอวา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว และพบบุคคลที่เชื่อว่าเป็นผู้ต้องสงสัยมีบาดแผลจากกระสุนปืนที่ยิงตัวเอง ผู้ต้องสงสัยถูกระบุในเวลาต่อมาคือ ดีแลน บัตเลอร์ นักเรียนวัย 17 ปี ซึ่งพกปืนลูกซองแบบปั๊มแอ็กชันและปืนพกขนาดเล็ก และผู้ต้องสงสัยยังโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียจำนวนหนึ่งในช่วงเวลาก่อเหตุ
ส่วนผู้ที่ถูกยิง 6 คน 5 คนในนั้นคือนักเรียน และอีกหนึ่งคนเป็นผู้บริหารโรงเรียน โดยนักเรียนที่เสียชีวิตกำลังศึกษาในเกรด 6 ซึ่งอายุ 11 หรือ 12 ปี ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย 1 รายอาการสาหัส และ 4 รายอาการทรงตัว เจ้าหน้าที่สืบสวนพบอุปกรณ์ระเบิดที่ไม่ซับซ้อน ที่โรงเรียนมัธยมเพอร์รี และสามารถเก็บกู้ได้แล้ว
เจ้าหน้าที่เขตดัลลัส เคาน์ตี้ เปิดเผยว่า เนื่องจากช่วงเกิดเหตุเป็นช่วงเช้าตรู่ ทำให้มีนักเรียนและครูอยู่ในอาคารค่อนข้างน้อย ทำให้การสูญเสียไม่รุนแรงมากนัก
เจ้าหน้าที่ได้เข้าเคลียร์พื้นที่โรงเรียนมัธยมต้นเมื่อเวลาประมาณ 08.25 น. ตามเวลาท้องถิ่น และโรงเรียนมัธยมปลายเมื่อเวลา 08.27 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยสองโรงเรียนอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
เจ้าหน้าที่จากสำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา หรือเอฟบีไอ และสำนักงานควบคุมแอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธปืน และวัตถุระเบิด รวมถึง สำนักงานสืบสวนคดีอาญาของรัฐไอโอวา เตรียมสืบสวนเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับเหตุกราดยิงครั้งนี้ และได้ติดต่อกับสำนักงานของผู้ว่าการรัฐไอโอวาแล้ว
เมืองเพอร์รีมีประชากรน้อยกว่า 10,000 คน และอยู่ห่างจากเมืองดิมอยน์ เมืองหลวงของรัฐไอโอวาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 64 กม. เหตุกราดยิงเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนการประชุมของพรรครีพับลิกันในรัฐไอโอวาจะเริ่มในวันที่ 15 มกราคม ซึ่งเป็นการเริ่มต้นกระบวนการหลักของการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งขั้นต้นของรีพับลิกันในปี 2567
กองทัพเกาหลีใต้จัดการซ้อมรบด้วยกระสุนจริง ตอบโต้กองทัพเกาหลีเหนือยิงปืนใหญ่ 200 ลูก ตกใกล้กับเกาะสองแห่งของเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ใกล้พรมแดนระหว่างสองประเทศ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ว่า กองทัพเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์ ว่ากองกำลังนาวิกโยธินบนเกาะยอนพยอง จัดการซ้อมรบด้วยกระสุนจริง ตลอดทั้งวันศุกร์ ขณะที่การซ้อมรบด้วยกระสุนจริงระหว่างกองทัพเกาหลีใต้ กับกองทัพสหรัฐ ที่เมืองโปชอน ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 46 กิโลเมตร และเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. ที่ผ่านมา จะยังคงเกิดขึ้นในวันศุกร์
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของกองทัพเกาหลีใต้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังกองทัพเกาหลีเหนือยิงปืนใหญ่ราว 200 ลูก เมื่อช่วงเช้าของวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น มายังชายฝั่งทางเหนือของเกาะแบงนยอง และเกาะ ยอนพยอง ของเกาหลีใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลเหลือง โดยกระสุนปืนใหญ่ทั้งหมดที่เกาหลีเหนือยิงออกมา ตกลงในเขตทางเหนือ ของแนวจำกัดตอนเหนือ หรือ “เอ็นแอลแอล” ซึ่งเป็นเส้นแบ่งพรมแดนทางทะเลระหว่างสองประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้สั่งอพยพประชาชนทั้งหมดบนเกาะทั้งสองแห่งแล้ว เพื่อความปลอดภัย และออกแถลงการณ์ประณามเกาหลีเหนืออย่างหนัก ว่าพฤติการณ์ลักษณะนี้ “ถือเป็นการยั่วยุอย่างร้ายแรง”
อนึ่ง เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อเดือน พ.ย. 2553 โดยกองทัพเกาหลีเหนือยิงปืนใหญ่ราว 170 ลูก มายังเกาะยอนพยองของเกาหลีใต้ ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 2 ราย และทหาร 2 นายในพื้นที่เสียชีวิต ถือเป็นการโจมตีข้ามพรมแดนครั้งแรก นับตั้งแต่ผ่านพ้นสงครามเกาหลี ระหว่างปี 2493-2496
เครดิตภาพ : AFP
วันศุกร์ ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2567: โตเกียว (รอยเตอร์ส/เอ็นเอชเค) - ทางการญี่ปุ่น เปิดเผยผลการสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินโดยสารของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ ชนกับเครื่องบินหน่วยยามฝั่ง อ้างอิงบันทึกหอควบคุมการบิน อนุญาตให้เครื่องบินโดยสารลงจอด ขณะที่เครื่องบินหน่วยยามฝั่งยังไม่พร้อมขึ้นบิน ด้านเจแปนแอร์ไลน์คาด อุบัติเหตุครั้งนี้จะทำให้เกิดค่าเสียหายในการดำเนินงานประมาณ 15,000 ล้านเยน (ราว 3,600 ล้านบาท)
เจ้าหน้าที่ตำรวจและสำนักงานการบินพลเรือนญี่ปุ่น และกระทรวงที่ดิน สาธารณูปโภค คมนาคม และการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เปิดเผยผลการถอดเทปบทสนทนาผ่านวิทยุสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่หอควบคุมการบินของสนามบินฮาเนดะ กับนักบินของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ และนักบินหน่วยยามฝั่งในช่วงก่อนจะเกิดเหตุเครื่องบินชนกันเมื่อช่วงเย็นวันอังคารที่ผ่านมา (2 ม.ค.) พบว่า หอบังคับการบินอนุญาตให้เครื่องบินโดยสารลงจอดได้ และขอให้เครื่องบินของหน่วยยามฝั่งจอดรออยู่ในรันเวย์ใกล้กัน ซึ่งทางนักบินเจแปนแอร์ไลน์ก็บอกเช่นกันว่าได้รับอนุญาตให้นำเครื่องบินลงจอดได้ และบอกด้วยว่าในขณะที่เครื่องบินกำลังจะแตะรันเวย์ไม่เห็นว่ามีเครื่องบินของหน่วยยามฝั่งอยู่บนรันเวย์ และคาดว่าทางหอควบคุมการบินก็ไม่เห็นเครื่องบินของหน่วยยามฝั่งด้วยเช่นกัน
ขณะที่คำให้การของนักบินหน่วยยามฝั่งที่รอดชีวิตมาได้กลับขัดแย้งกัน โดยนักบินระบุว่าได้รับอนุญาตจากหอควบคุมการบินให้นำเครื่องขึ้นบินได้ แต่ในบทสนทนานั้นพบว่าเครื่องบินหน่วยยามฝั่งยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในรันเวย์ และดูเหมือนว่านักบินก็รับทราบคำสั่งนั้นแล้ว
เหตุการณ์เครื่องบินชนกันเกิดขึ้นเมื่อเวลา 17.47 น. เย็นวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นเครื่องบินโดยสารของเจแปนแอร์ไลน์เดินทางมาจากสนามบินชิโตเสะ จังหวัดฮอกไกโด ในขณะที่เครื่องบินหน่วยยามฝั่งก็เตรียมออกเดินทางเพื่อนำสิ่งของไปช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่จังหวัดนีอิงาตะ หลังเครื่องบินชนกันก็เกิดไฟลุกท่วมเครื่องบินทั้งสองลำ ทำให้เจ้าหน้าที่ยามฝั่งเสียชีวิตไป 5 นาย ส่วนนักบินหนีออกมาได้แต่ก็บาดเจ็บสาหัส ส่วนผู้โดยสารและลูกเรือ 379 คน สามารถอพยพออกมาได้ อย่างปลอดภัยทุกคน แม้จะมีผู้บาดเจ็บ 17 คนแต่อาการไม่สาหัส
ทั้งนี้ หลายฝ่ายต่างชื่นชมการอพยพผู้โดยสารออกจากเครื่องบินซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วและทันท่วงที ล่าสุด สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ ได้เปิดเผยรายละเอียดของการอพยพว่า หลังเครื่องบินชนกัน ตัวเครื่องบินเกิดลื่นไถลไปบนรันเวย์ราว 1 กิโลเมตร นักบินยังไม่สังเกตเห็นว่าเครื่องบินเกิดไฟไหม้ แต่ลูกเรือและผู้โดยสารสังเกตเห็น จากนั้นควันไฟก็เริ่มทะลักเข้ามาในห้องโดยสาร ลูกเรือจึงสื่อสารผ่านอินเตอร์คอมเข้าไปยังห้องนักบินเพื่อขออนุญาตเปิดประตูฉุกเฉินเพื่ออพยพผู้โดยสาร โดยเริ่มอพยพออกจากประตูฉุกเฉิน 2 ช่องทางด้านหน้าของตัวเครื่อง จากที่มีทางออกทั้งหมด 8 ทาง ส่วนทางออกด้านหลังนั้นมีเพียงประตูด้านซ้ายเพียงช่องเดียวที่ปลอดภัยจากเปลวไฟ แต่ขณะนั้น ระบบอินเตอร์คอมไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ลูกเรือจึงตัดสินใจเปิดประตูฉุกเฉินบานดังกล่าวเอง ซึ่งก็เป็นไปตามขั้นตอนของการอพยพ ขณะที่กัปตันเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากเครื่องบิน โดยใช้เวลาอพยพทั้งหมดเพียง 18 นาทีเท่านั้นหลังจากเครื่องลงจอด
ทั้งนี้ สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ ประเมินความเสียหายจากเหตุเครื่องบินโดยสารชนกับเครื่องบินของหน่วยยามฝั่งบนทางวิ่งว่า จะทำให้เกิดค่าเสียหายในการดำเนินงานประมาณ 15,000 ล้านเยน (ราว 3,600ล้านบาท) ทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองโดยบริษัทประกันภัย
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012