เว็บไซต์ต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุเหตุฆาตกรรมนายริชาร์ด มัวร์ อายุ 66 ปี ที่บ้านในเมืองแม็คคินนีย์ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา โดยผู้แจ้งเหตุคือนางจันทร์สมร โพธิ์ไก่ อายุ 33 ปี ภรรยาชาวไทยของผู้ตาย ซึ่งบอกกับตำรวจว่าเมื่อเธอกลับมาจากธุระข้างนอกก็พบว่าสามีของเธอถูกยิงเสียชีวิตแล้ว
จากการตรวจสอบสภาพศพนายมัวร์ถูกยิงเข้าที่ร่างกายหลายนัดที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยการบุกรุกหรือการต่อสู้แต่เงินสดจำนวน 10,000 ดอลลาร์ หรือราว 329,000 บาท หายไปจากตู้เซฟ ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดา
แต่หลังการสืบสวนนานนับ10วันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ทราบว่าภรรยาของผู้ตายคือ นางจันทร์สมร โพธิ์ไก่ มีส่วนในการฆาตกรรมสามีของตัวเอง โดยสมคบกับนายสตีเฟ่น บร็อกเวย์ อายุ 31 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนชายคนสนิท จ้างให้นายโรนัลด์ ร็อซเซอร์ อายุ 51 ปี เป็นผู้ลงมือฆ่านายริชาร์ด มัวร์ โดยการวางแผนสังหารครั้งนี้เพื่อหวังทรัพย์สินของนายริชาร์ดด้วย
โดยตำรวจสืบพบว่านางจันทร์สมรและนายบร็อกเวย์มีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวกันทั้งที่นางจัทร์สมรแต่งงานกับสามีได้นานกว่า 5 ปีแล้ว และทั้งคู่ยังมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน อายุ 7 ปี ซึ่งหน่วยงานคุ้มครองเด็กและตำรวจจะได้หาที่อยู่ที่เหมาะสมให้แก่เด็กต่อไป
ขณะนี้ผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมทั้งนางจันทร์สมร นายสตีเฟ่น บร็อกเวย์ และนายโรนัลด์ ร็อซเซอร์ ถูกควบคุมตัวโดยมีวงเงินประกันคนละ 1 ล้านดอลลาร์หรือกว่า 32 ล้านบาท
วันที่ 14 มีนาคม ที่วัดพระไกรสีห์(น้อย) เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ พระมหาโชว์ ทสฺสนีโย ที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา(สนพ.) พร้อมด้วยนายเสถียร วิพรมหา รักษาการนายกสนพ.พร้อมคณะ เข้ายื่นหนังสือเรื่อง ลงนิคหกรรมให้สึก พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือพระพุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ต่อพระครูอุดมพัฒนคุณ เจ้าคณะแขวงบางกะปิ เจ้าอาวาสวัดพระไกรสีห์(น้อย) ในฐานะเป็นพระสังฆาธิการผู้ปกครองสงฆ์ ในเขตพื้นที่แขวงวังทองหลาง อันเป็นสถานที่กิดเหตุ
พระมหาโชว์ กล่าวว่า เนื่องจากพฤติกรรมของพระพุทธะอิสระ ทางสนพ.ขอเรียกว่า “ผู้ถูกกล่าวหา” เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 ได้นำผู้ชุมนุมจากเวทีแจ้งวัฒนะจำนวนมากเดินทางไปยังโรงแรมเอสซีปาร์ค ซึ่งตั้งอยู่แขวงวังทองหลาง เพื่อเข้าพัก โดยโทรจองและมัดจำ 4,200 บาท แต่ทางโรงแรมระบุว่าห้องไม่ว่าง จะคืนเงินมัดจำให้
แต่พระพุทธะอิสระ ไม่ยอมพร้อมเรียกเงิน 120,000 บาท จากโรงแรมดังกล่าว เป็นค่าเสียเวลาและโอกาส นี่คือพฤติกรรมของพระพุทธะอิสระที่ทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรง เข้าข่ายข่มเหงกรรโชกทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นของตน ที่มีมูลค่าเกินกว่า “5 มาสก” จึงต้อง “อาบัติปาราชิก” ตามสิกขาบทที่ 2 ส่งผลให้พระพุทธะอิสระขาดจากความเป็นพระภิอกษุมานานแล้ว
“ถ้าภายในเวลา 15 วัน พระพุทธะอิสระไม่มาชี้แจงต่อเจ้าคณะแขวงบางกะปิ ถือว่าผิดกฎหมายบ้านเมืองด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับสึกได้เลย จากนี้ทางสนพ.จะไปยื่นหนังสือต่อเจ้าคณะเขตบางกะปิ และเจ้าคณะกรุงเทพมหานครตามลำดับต่อไป”
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 15 มีนาคม พ.ต.ท.หญิงแพทย์ หญิงอัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล หรือ หมอแอร์ จิตแพทย์ชื่อดังประจำโรงพยาบาลตำรวจ ได้แถลงข่าว กรณีถูกคุกคามและฟ้องคดีไฮโซดัง ที่ดิแอร์คลินิก อาคารคิวเฮาส์ ถนนสาธรใต้ จากกรณีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาหมอแอร์ พร้อมทนายความ ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. เพื่อให้ดำเนินคดีกับเจ้าของเฟซบุ๊ก รายหนึ่งในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และผิด พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์
ซึ่งวันนี้ หมอแอร์ เปิดผยว่า ผู้ใช้เฟสบุ๊ก ยังมีการโพสข้อความหมิ่นประมาทอย่างต่อเนื่อง ทั้งกล่าวหาเรื่องส่วนตัว พาดพิงถึงธุรกิจดิแอร์คลินิก และกล่าวหาเรื่องชู้สาว จึงได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งให้กับพนักงานสอบสวน ปอท. และทราบว่าทางพนักงานสอบสวน อยู่ระหว่างสอบปากคำพยานเพิ่มเติม และตำรวจทราบผู้ก่อเหตุแล้ว เตรียมออกหมายเรียกในสัปดาห์หน้า
ระหว่างที่หมอแอร์กำลังแถลงอยู่นั้นปรากฎว่าได้มีไฮโซสาวคนดัง“ตั๋ม”น.ส.วิชชุดาลีนุตพงษ์เข้ามากลางคลินิกพร้อมชี้แจงกับสื่อมวลชนว่าอย่าฟังความข้างเดียว และกล่าวหาว่าการที่หมอแอร์จัดแถลงที่คลินิกเพราะอยากดังต้องการโปรโมทคลินิก พร้อมระบุว่า ทราบว่าวันนี้หมอแอร์ จะมีการแถลงข่าว จึงต้องการชี้แจงเรื่องนี้ ว่าตัวเองถูกแย่งแฟนหนุ่ม ไปจริง มีหลักฐานชัดเจน และยอมรับว่ามีการโพสข้อความด่าทอแต่ไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็นใคร และขอให้หมอแอร์หากมีเรื่องอะไรให้ชี้แจงกันต่อหน้า ส่วนแฟนหนุ่ม ตัวเองได้เลิกราไปแล้ว และไม่ได้ติดต่อกันอีก หลังชี้แจงอย่างดุเดือดอยู่ฝ่ายเดียว ไฮโซสาวคนดังได้เดินออกจากคลินิกไป โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ขณะที่หมอแอร์ ไม่ได้ตอบโต้อะไร ก่อนจะยุติการแถลงข่าวและหลบเข้าไปด้านในคลินิกทันที
แรกๆ เป็นข่าวแค่แชร์กันสนั่นตามโซเชียลมีเดีย ต่อมา ขึ้นหน้า 1 กับการตกหลุมรักของ เผด็จ ภูรีปฏิภาณ เจ้าของนามปากกา "พญาไม้" คอลัมนิสต์หน้า 4 และประธานที่ปรึกษาหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ กับการประกาศสละโสดอีกรอบด้วยวัย 72 ปี เดินตามโปร ฉลอง ภักดีวิจิตร ผู้กำกับคนดังติดๆ ทำพิธีวิวาห์เงียบกับเจ้าสาวรุ่นลูกที่ "หลุบพญารีสอร์ท" กาญจนบุรี ไปเมื่อวันวาน มีเพื่อนเลิฟตลอดกาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หิ้วไวน์ระดับ 5 อรหันต์ไปร่วมฉลอง และแสดงความยินดีถึงถิ่น เจ้าสาวมีชื่อเล่นว่า "น้ำตาล" นักธุรกิจร้านอาหาร (วัย 28ปี) ตามข่าวระบุว่า ศรรักปักใจ ระเบิดตูมขึ้นตอนที่ "ป๋าเด็จ" ป่วยเข้าโรงพยาบาล "น้องน้ำตาล" หมั่นไปเยี่ยมไปเยือนมากเป็นกรณีพิเศษ บางวันถึงขั้นเฝ้าไข้ ความรักต่างวัยเลย "วูบ" ออกจากโรงพยาบาลได้ไม่กี่วัน "พญาไม้" เลยบุกขนขบวนขันหมากไปสู่ขอ กับว่าที่ "พ่อตา" ซึ่งอายุน้อยกว่า "ลูกเขย" เกือบ 20 ปี ที่นครศรีธรรมราช เรื่องของ "พรหมลิขิต" ก็เป็นไปด้วยประการฉะนี้แล
(16 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีขว้างระเบิดใส่ศาลอาญา ว่า สำหรับการตั้งข้อกล่าวหาอั้งยี่และซ่องโจรกับผู้ต้องหาบางคนนั้น ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติศาลทหารออกหมายจับไปแล้ว 5 ราย ซึ่งจากการสอบปากคำและตรวจสอบพยานหลักฐานพบว่ายังมีผู้ที่จะต้องแจ้งข้อหาดังกล่าวเพิ่มเติมอีกนอกเหนือจากผู้ร่วมขบวนการทั้ง 14 คน และกำลังจะออกหมายจับเร็วๆนี้ ส่วนผู้ที่จะถูกออกหมายจับนั้นจะอยู่เหนือกว่า นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ และนายมนูญ ชัยชนะ หรือ “อเนก ซานฟราน” หรือไม่นั้น เบื้องต้นทราบว่าเป็นระดับผู้ปฏิบัติหรือผู้ดำเนินการก่อเหตุ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะมีจำนวนเท่าใด แต่ยืนยันว่ามีเพิ่มเติมอย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการขอส่งตัว นายอเนก กลับมาดำเนินคดี พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการก่อนดำเนินการต่อไป ถามว่านายอเนก หลบหนีอยู่ในประเทศใด ผบช.น. ตอบว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน แต่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ส่วนนายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือ ใหญ่ พัทยา นั้นขณะนี้กำลังติดตามหาตัวอยู่
เมื่อถามว่านายอเนก ได้เดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยบ้างหรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ยังไม่พบว่านายอเนก เดินทางเข้ามาในประเทศไทยแบบถูกกฎหมาย ส่วนในทางการข่าวเกี่ยวกับการลักลอบเดินทางเข้ามาแบบผิดกฎหมายนั้นไม่สามารถเปิดเผยได้
เมื่อถามถึงเงินว่าจ้างให้ก่อเหตุนั้นเป็นของนายอเนก หรือคนที่สนับสนุนนายอเนก อีกต่อหนึ่ง พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ตามหลักฐานมันเป็นแบบนั้นคือนายอเนก เป็นเจ้าของเงิน ส่วนรายละเอียดยังอยู่ในสำนวนไม่สามารถเปิดเผยได้ ถามว่าน่าจะมีคนที่ใหญ่กว่านายอเนก หรือไม่ ผบช.น. กล่าวว่า ต้องเป็นไปตามพยานหลักฐานต่างๆ หากพบว่ามีการพาดพิงถึงใครอีกก็ต้องออกหมายจับเพิ่มเติมแน่นอน จะใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ร่วมกันทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหาย
"การจะออกหมายจับเพิ่มเติมได้กี่คนนั้น ต้องพิจารณาไปตามพยานหลักฐานที่ได้ทั้งพยานเอกสาร พยานบุคคล และพยานวัตถุ จึงต้องมีการชั่งน้ำหนักดูให้ดีว่าเหมาะสมที่จะออกหมายจับหรือไม่ ไม่ใช่เชื่อตามที่ผู้ต้องหาคนอื่นซัดทอดเพียงอย่างเดียว ต้องพิจารณาข้อมูลด้วยความรอบคอบรัดกุม" พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าว
เมื่อเวลา 10.00น. วันที่ 17 มี.ค. ที่สตูดิโอช่อง8 ได้มีการบันทึกเทปรายการ “ปากโป้ง” ซึ่งมี ‘หนุ่ม’กรรชัย กำเนิดพลอย และ‘หนิง’ปณิตา พัฒนาหิรัญ เป็นพิธีกร โดยมีแขกรับเชิญคือ หม่อมลูกปลา หรือ น.ส.โชติกา ขวัญฐิติ อดีตชายา หม่อมเจ้าฐิติพันธ์ ยุคล หรือ ท่านกบ ที่ได้รับการอภัยโทษหลังจากถูกตัดสินจำคุกในข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เป็นเวลา 4 ปี 8 เดือน โดยจะต้องเข้ารายงานตัวทุกเดือน
อดีตชายาท่านกบ กล่าวว่า “ตอนนี้ออกมาจากเรือนจำได้ประมาณ 1 เดือนแล้วตอนที่ศาลตัดสินนั้น 4 ปี 8 เดือนแต่อยู่ในเรือนจำจริง 2 ปี 6 เดือนเพราะได้รับการอภัยโทษ ซึ่งก่อนหน้านี้สู้คดีกันมา 15 ปี โดยศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 9 ปี 6 เดือนมาถึงศาลอุทธรณ์ตัดสินยกฟ้อง จนมาถึงศาลฎีกาก็ตัดสิน4 ปี 8 เดือน ตอนแรกที่เข้าไปในเรือนจำก็ท้องได้ประมาณสองเดือนแล้วตอนนั้นแพ้ท้องมากด้วยกินข้าวไม่ค่อยได้ด้วยเข้าไปแรกๆ ก็อยู่ในแดนแรกรับก็เครียดเหมือนกันเพราะเราท้องก็กังวลว่าจะทำอะไรทันคนอื่นมั้ย แต่โชคดีตอนหลังได้ย้ายไปอยู่แดนนอกที่มีคนท้อง คนแก่ ก็เลยรู้สึกโล่งขึ้น และก็คลอดลูกในเรือนจำนี้เลย”
หม่อมลูกปลากล่าวอีกว่า “ตอนนี้ก็ออกมาได้ประมาณ 1 เดือนแล้วก็ยังไม่ได้คิดว่าแผนชีวิตอะไรคงจะต้องรออีก 2 ปีเพราะช่วงนี้จะต้องเข้าไปรายงานตัวทุก 1 เดือนเพราะว่าได้รับการพักโทษเราเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมเมื่อออกมาแล้วก็เลยต้องไปรายงานตัวจนกว่าจะครบ 2 ปี ตอนนี้อายุก็จะ 50 แล้วเรื่องการแพลนอะไรนั้นคงยังคงต้องรออีก 2 ปีก่อนแต่ช่วงนี้ก็คงจะช่วยสามีทำงานเป็นเด็กรถไปก่อน ตอนนี้สามีเป็นพนักงานขับรถส่งพนักงานเมื่อเราออกมาก็คงจะไปเป็นเด็กรถช่วยเขาไปอย่างน้อยก็มีรายได้เพิ่มเลี้ยงครอบครัว สำหรับลูกนั้นตอนนี้มีลูก 3 คนกับสามีเก่า 2 คนและสามีใหม่อีก 1 คน ช่วงที่อยู่ในเรือนจำลูก 2 คนก็แฟนเก่ารับไปเลี้ยง ส่วนลูกคนเล็กก็เลี้ยงในเรือนจำจนอายุเกือบขวบก็ส่งออกมาให้สามีเลี้ยงต่อเพราะถ้าไม่ส่งออกมาเขาจะส่งไปสถานสงเคราะห์ แฟนเลยต้องรับมาเลี้ยงตอนนี้ออกมาแล้วลูกๆ ก็รู้แล้วว่าเราออกมาจากเรือนจำ แต่ตอนแรกก็ไม่อยากบอกลูกเหมือนกันเพราะลูกโตแล้วอายุ 19 กับ 14 กลัวว่าเขาจะถูกเพื่อนล้อว่ามีแม่เป็นคนขี้คุก แต่ลูกก็เข้าใจและก็ให้กำลังใจดี”
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของโปแลนด์ ค้นเจอหญิงสาวชาวรัสเซียคนหนึ่งซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทางของสามี เพราะต้องการเดินทางเข้าสู่สหภาพยุโรป
เหตุเกิดเมื่อชายอายุ 60 ปี คนหนึ่งจะเดินทางเข้าโปแลนด์โดยมาจากเบลารุส แต่เมื่อถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองโปแลนด์ เจ้าหน้าที่ก็ได้สังเกตเห็นความน่าสงสัย เพราะกระเป๋าเดินทางของชายคนนั้นมีขนาดใหญ่ผิดปกติ เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดกระเป๋าออกเพื่อตรวจสอบ ก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่พบคือหญิงสาวตัวเป็นๆที่กำลังคลานออกมาจากกระเป๋าใบนั้น ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นชาวรัสเซีย อายุ 30 ปี
เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า "ผมรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เห็นผู้หญิงซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทาง แต่เธอดูปกติดี และไม่ต้องไปพบแพทย์แต่อย่างใด"
เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารของทั้ง 2 ก็ถึงกับหัวเราะออกมา เพราะชายผู้เป็นสามีนั้นมีสัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งสามารถนำภรรยาเข้ามาในสหภาพยุโรปได้อย่างถูกกฎหมายอยู่แล้ว โดยไม่ต้องซุกซ่อนเธอไว้ในกระเป๋าเดินทาง
เจ้าหน้าที่อธิบายเพิ่มเติมว่า "เธอสามารถข้ามแดนมาได้อย่างถูกกฎหมายอยู่แล้วเพราะสามีของเธอมีสัญชาติฝรั่งเศส แต่ตอนนี้พวกเขาต้องถูกตั้งข้อหาพยายามทำผิดระเบียบการเข้าเมือง"
ในขณะที่โฆษกของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกล่าวว่า เขาพบชาวต่างชาติที่พยายามลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายหลายรูปแบบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีคนซ่อนตัวเองในกระเป๋าเดินทาง
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012