กัวลาลัมเปอร์ (เอเอฟพี/รอยเตอร์) - ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด เผยว่า อาจจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 1-2 ปี หลังจากนั้นจะมีบทบาทอยู่ข้างหลังแม้ลงจากตำแหน่งแล้ว ส่วนนายอันวาร์ อิบราฮิมจะต้องเป็น สส.ก่อนจึงจะสามารถมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี หรือนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ดร.มหาเธร์ซึ่งจะมีอายุครบ 93 ปี ในเดือนกรกฎาคมนี้ ให้สัมภาษณ์ที่ประชุมวอลล์สตรีทเจอร์นัล ในกรุงโตเกียว ของญี่ปุ่น ผ่านวีดีโอทางไกล
จากมาเลเซียว่า ในเบื้องต้นเขาอาจจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 1-2 ปี หลังจากนั้นจะมีบทบาทอยู่ข้างหลังแม้ลงจากตำแหน่งแล้ว ส่วนนายอันวาร์ อิบราฮิม จะต้องเป็น สส.ก่อนจึงจะสามารถมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี แต่จะมีบทบาทในรัฐบาลผสมเหมือนผู้นำอีกสามพรรคในพันธมิตรปากาตันฮารับปัน อย่างไรก็ดี เขาจะตัดสินใจเรื่องตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
ดร.มหาเธร์เคยกล่าวระหว่างหาเสียงเลือกตั้งว่า จะให้นายอันวาร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอันวาร์กำลังรับโทษจำคุก 5 ปี ตั้งแต่ปี 2558 ข้อหามีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เขาเคยถูก ดร.มหาเธร์ปลดจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีปี 2541 ทั้งคู่เป็นคู่อริทางการเมืองกัน แต่กลับมาจับมือกันเมื่อ ดร.มหาเธร์หวนคืนเวทีการเมืองในฐานะแกนนำฝ่ายค้านชักชวนคนโค่นล้มนายนาจิบ ราซัค ที่เขาเคยอุปถัมภ์มาก่อน ดร.มหาเธร์ตอบข้อซักถามเรื่องจะดำเนินคดีกับนายนาจิบหรือไม่ว่า คิดว่ารัฐบาลจะฟ้องร้องนายนาจิบได้ในเร็วๆ นี้ นายนาจิบจะติดคุกหรือไม่ก็ขึ้นกับผลการสอบสวน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวด้วยว่า ต้อนรับการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติทั้งจีนและประเทศอื่นๆ แต่จะต้องเป็นการลงทุนที่นำมาซึ่งทุนและเทคโนโลยี รวมทั้งสร้างงานให้ชาวมาเลเซีย ส่วนเรื่องคนเข้าเมืองเขามองว่า มาเลเซียก็เหมือนประเทศอื่นที่จำเป็นต้องจำกัดการรับเฉพาะจำนวนที่สามารถดูแลได้เท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่ง สำนักพระราชวังมาเลเซียและพรรคพีเคอาร์ของนายอันวาร์เผยว่า คณะกรรมการพิจารณาการอภัยโทษเปิดประชุมเมื่อวันที่ 15 พ.ค. เพื่อหารือเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายอันวาร์ หากได้รับการพระราชทานอภัยโทษจากสมเด็จพระราชาธิบดีเขาก็จะพ้นโทษและกลับเข้าสู่สนามการเมืองได้อีกครั้ง สมาชิกพรรคพีเคอาร์หวังว่าเขาจะได้รับอิสรภาพภายในวันพุธ ขณะนี้กำลังพักฟื้นที่
โรงพยาบาล ภายหลังรับการผ่าตัดหัวไหล่ สมาชิกพรรคคนหนึ่งกล่าวว่า เอกสารการขอพระราชทานอภัยโทษพร้อมเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ดร.มหาเธร์ ที่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยรับปากระหว่างหาเสียงว่า หากชนะเลือกตั้งจะขอพระราชทานอภัยโทษให้นายอันวาร์ แล้วจะส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ต่อไป
จับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดของตำรวจกองปราบปราม ที่ร่วมกันจับกุม นายสุเมธ โสภณ หรือ นายศิริทัศน์ เอียดแก้ว อายุ 46 ปี และ น.ส.กิรณา หรือ มิกิ ลีกุล อายุ 31 ปี ที่ห้องพักในแมนชั่นแห่งหนึ่ง ซอยลาดพร้าว 4 แขวงจอมพล จตุจักร กรุงเทพฯ พร้อมยึดของกลางเป็นยาไอซ์ประมาณ 90 กรัม ยาอี 45 เม็ด กัญชา 8.35 กรัมและเครื่องกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง
พฤติการณ์ของ นายสุเมธ จะขับรถเบนซ์ที่ถูกระงับการใช้ทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2547 มาเพื่อใช้ส่งยาเสพติด ซึ่งนายสุเมธ มีหมายจับคดียาเสพติดของศาลอาญา มาตั้งแต่ปี 2556 และหนีคดีมาแล้ว 4 ปี ยังมีการจำหน่ายยาเสพติด อย่างต่อเนื่อง
ในวันจับกุม เจ้าหน้าที่เฝ้าดูพฤติการณ์ที่แมนชั่นดังกล่าว พบผู้หญิงเป็นผู้เดินออกมาเปิดประตูจึงได้แสดงหมายค้นและตรวจค้นพบ นายสุเมธ ที่พยายามปีนหลบหนีออกด้านหลังแต่พบเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ด้านล่างจึงกระโดดกลับเข้ามาในห้องก่อนถูกควบคุมตัวได้และทำการตรวจค้นห้องพบยาเสพติดของกลาง
จากการตรวจสอบประวัติพบว่า นายสุเมธ เป็นอดีตตำรวจ ชื่อเดิม คือ สิบตำรวจโท ศิริทัศน์ เอียดแก้ว สังกัด 191 เป็นตำรวจดีเด่นในนครบาล เมื่อปี 2550 แต่ถูกตำรวจ สน.ห้วยขวาง จับกุม คดียาเสพติดและครอบครองอาวุธปืนและโดนไล่ออก เมื่อปี 2552
ความคืบหน้ากรณีคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา อนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนค่าก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ ค่าควบคุมงานก่อสร้าง และค่าที่ปรึกษา รวมวงเงิน 512.20 ล้านบาท แต่ให้ตีกลับงบประมาณในส่วนเทคโนโลยีและสารสนเทศ วงเงิน 8,135 ล้านบาท เนื่องจากมีรายละเอียดไม่ชัดเจนและมีอุปกรณ์บางอย่างราคาสูงเกินควรนั้น
แหล่งข่าวระดับสูงในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เปิดเผยว่า วงเงิน 512.50 ล้านบาทที่ ครม. อนุมัติมาเป็นเพียงงบสำหรับบริษัทควบคุมงานและผู้รับเหมาเท่านั้น ส่วนงานระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบไอที ไม่ได้รับการอนุมัติเพราะอยู่ในวงเงินตีกลับ 8,135 ล้านบาท ซึ่งถ้าไม่ได้รับงบประมาณที่ขอไป การก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่อาจสะดุด และล่าช้ากว่าแผนกำหนดเดิม
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สภาผู้แทนราษฎร ประสานกับทางสำนักงบประมาณ อยู่ตลอดเวลา แต่สังคมไปติดยึดเรื่องเงินไอทีทั้งหมดว่าจำนวนเงินสูงกว่า 8 พันล้านบาท ถ้ารัฐสภาชี้แจงอะไรไป พูดอะไรไปสังคมก็จับตาดูว่าจะมีการโกงกินทุจริตคอร์รัปชั่นอยู่ดี ซึ่งระบบสาธารณูปโภคภายในอาคารทั้งหมด ระบบการสื่อสาร ระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด อาคารมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ถ้าไม่ได้งบจะทำให้การก่อสร้างมีสะดุดแน่นอน
ทั้งนี้ เนื่องจากเส้นตายที่ประธาน สนช.กำหนดไว้คือภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 จะต้องมีการย้ายที่ทำการทั้งหมด ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญ และทางผู้รับเหมาตกลงแล้วว่า ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 จะเร่งก่อสร้างห้องประชุม ส.ว.ให้แล้วเสร็จก่อน เป็นอันดับแรก ส่วนห้องประชุม ส.ส.หรือที่จะใช้ประชุมร่วม จะไปแล้วเสร็จเดือนมีนาคม 2562
“ผู้รับเหมาได้บอกว่า ถ้าเงินไม่มา ก็ต้องก่อสร้างตามจำนวนเงินที่มีอยู่ ก็อาจจะได้อาคารออกมาแบบพิกลพิการ ส่วนราคาไมโครโฟนในห้องประชุมที่ราคาเป็นแสนบาท เพราะเป็นไมโครโฟนที่มีระบบแสดงตน มีระบบหลายๆ อย่าง ที่ใช้ในห้องประชุมสภา ในการลงมติกดปุ่มเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ก็พยายามปรับลดราคาลง นอกจากนี้ยังมีระบบ สารสนเทศสำหรับเจ้าหน้าที่ (Data Center) ซึ่งต้องใช้เงินมาก ทางสำนักงบประมาณกำลังดูอยู่” แหล่งข่าวระบุ
ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาแถลงกรณีดังกล่าวว่า ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องและบริษัทออกแบบมาประชุมหารือในวันที่ 18 พ.ค.นี้ จากนั้นจะแถลงข่าวให้สื่อมวลชนรับทราบโดยจะให้บริษัทที่ออกแบบร่วมชี้แจงต่อสื่อมวลชนด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกตราคาไมโครโฟนสูงถึงตัวละ 1.2 แสนบาท และนาฬิกาเรือนละ 7 หมื่นบาท ซึ่งถือว่าสูงเกินเหตุ นายสรศักดิ์ ตอบว่า เรื่องนี้ถือเป็นการมองต่างมุม ฝ่ายบริษัทออกแบบอาจจะมองว่ามีความจำเป็น แต่อีกฝ่ายมองว่า น่าจะใช้ของที่มีราคาถูกกว่านี้ได้ อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นจะต้องมีการปรับลดงบประมาณลงมาอย่างแน่นอน ขอยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่มีโกง ไม่มีทุจริต ทุกอย่างมีความถูกต้อง โปร่งใส และต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด
16 พ.ค.61 นางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวภายหลังการเข้าเยี่ยมนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า นายจตุพร ได้วิเคราะห์กรณี กสทช.มีคำสั่งปิดสถานีโทรทัศน์พีซทีวี เป็นเวลา 30 วัน ว่า อาจจะสัมพันธ์กับสถานการณ์
ทางการเมืองในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ที่กลุ่มคนอยากอยากเลือกตั้งจะบุกทำเนียบหรือไม่ ซึ่งตนทบทวนก็ดูแล้วก็อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องเพราะครั้งแรกปิด 30 วันช่วงทำประชามติ ต่อมาปิดอีก 30 วันช่วงคดีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และครั้งนี้สั่งปิดอีก 30 วันก็น่าสงสัยว่าจะเกี่ยวกับสถานการณ์วันที่ 22 พ.ค.นี้หรือไม่
นอกจากนี้นางธิดา ยังกล่าวว่า ขณะนี้แกนนำนปช.กำลังหารือกันว่าในวันที่ 19 พ.ค.นี้จะทำบุญให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 53 โดยตอนแรกจะทำที่วัดเดิม(วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร) แต่ตอนนี้วัดที่เราเคยไปทำก็ถูกกดดัน ตนอยากถามว่านี่เป็นเมืองพุทธศาสนาหรือเปล่าแค่จะทำบุญให้กับคนตายก็มีปัญหา แล้วทีเสือดำตายไปหนึ่งตัวมีคนไปประท้วงกดดันไม่เห็นไปมีปัญหาอะไร ซึ่งตนก็ไม่ได้ว่าอะไร
“แต่ตอนนี้เรากำลังจะทำบุญให้กับคนตาย กลับไม่มีสิทธิแม้กระทั่งจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนตาย แล้วนี่คือการทำบุญทางศาสนาพุทธ หรือจะให้ไปทำบุญศาสนาอะไร หรือจะให้ไปทำพริกเกลือสาปแช่ง เราไม่ได้ไปนัดหมายคนไปประท้วง แต่เราจะไปทำบุญโดยการบอกต่อๆกันไปเท่านั้นเอง แต่ถ้าท่านชอบมองเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ก็อาจจะได้เรื่องใหญ่” นางธิดา กล่าว
ส่วนจะมีการเปลี่ยนสถานที่ทำบุญหรือไม่นั้น นางธิดา กล่าวว่า กำลังหารือกันอยู่ ถ้าทางวัดไม่มีปัญหาอะไรก็ทำกันที่เดิม แต่ถ้ามีปัญหามากก็อาจจะเปลี่ยนสถานที่ใหม่ หรือจะให้ไปทำที่ข้างถนนแล้วนิมนต์พระไป จะเอาอย่างนั้นก็ได้เพราะพระสงฆ์ที่เต็มใจไปก็มีเหมือนกันถ้ามีการไปกดดันวัดมากๆ ซึ่งเผด็จการยุคโบราณก็ไม่เคยทำถึงขนาดนี้เนื่องจากยังเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้เสียอีก
กัวลาลัมเปอร์ (เอเอฟพี/รอยเตอร์) - นายโทนี เฟอร์นันเดซ ประธานกรรมการบริหาร (ซีอีโอ) แอร์เอเชีย สายการบินราคาประหยัดขอโทษที่แสดงตัวสนับสนุนนายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยระบุว่าทำไปเพราะถูกกดดัน
นายเฟอร์นันเดซบันทึกคลิปที่มีการเผยแพร่วานนี้ว่า ขอโทษต่อสิ่งที่ทำไป เขายอมจำนนต่อช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ประเทศ เป็นสิ่งไม่ถูกต้องและจะรู้สึกเสียใจไปตลอดกาล ซึ่งหมายถึงการที่เขาเผยแพร่คลิปสองวันก่อนการเลือกตั้งวันที่ 9 พฤษภาคม กล่าวยกย่องนายนาจิบและรัฐบาลที่สนับสนุนสายการบินของเขา จากนั้นวันถัดมานายนาจิบได้โพสต์ภาพถ่ายคู่กับนายเฟอร์นันเดซยืนหน้าเครื่องบินแอร์เอเชีย ตกแต่งด้วยคำหาเสียงของพันธมิตรบาริซันนาซิออนนัล
นายเฟอร์นันเดซกล่าวว่า ที่ทำไปทั้งหมดเพราะต้องการเอาใจรัฐบาลนาจิบเพราะถูกกดดันอย่างหนักในช่วงก่อนการเลือกตั้ง หลังจากที่ได้เพิ่มเที่ยวบินพิเศษอำนวยความสะดวกให้คนเดินทางในวันเลือกตั้งและไม่ยอมปลดนางราฟิดาห์ อาซิซ อดีตรัฐมนตรีที่หาเสียงให้พันธมิตรปากาตันฮารัปปันของ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ออกจากตำแหน่งประธานแอร์เอเชียเอ็กซ์ ที่เป็นบริษัทลูกของแอร์เอเชีย สายการบินถูกคณะกรรมการการบินมาเลเซียเรียกเข้าพบด่วนใน 24 ชั่วโมง ให้ยกเลิกเที่ยวบินพิเศษทั้ง 120 เที่ยว ด้านคณะกรรมการการบินมาเลเซียแถลงตอบโต้ว่า ถ้อยแถลงของนายเฟอร์นันเดซเป็นการกล่าวหาร้ายแรง และได้เปิดการสอบสวนโดยทันทีแล้ว
ขณะเดียวกัน อดีตเจ้าหน้าที่คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตมาเลเซีย (MACC) ยื่นรายงานร้องเรียนนายนาจิบหลายข้อหา ทั้งต้องสงสัยขัดขวางการสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับกองทุนบำนาญและกองทุนพัฒนามาเลเซีย (1MDB) โดยได้ขอให้ MACC สอบสวนนายนาจิบข้อหาใช้อำนาจขัดขวางการสอบสวนคดีเหล่านี้ และสั่งให้นายนาจิบแจ้งบัญชีทรัพย์สินด้วย นอกจากนี้ สำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซียยังได้อ้างแหล่งข่าวว่า นายซูลคิฟี อาหมัด ประธาน MACC ได้ยื่นหนังสือลาออกต่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้วในเช้าวันจันทร์ ทั้งที่จะหมดวาระดำรงตำแหน่งในวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 เพราะได้รับแต่งตั้งเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2559
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012