24 ต.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) องค์กรบริหารของ 28 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ได้ประกาศให้ใบเหลืองแก่ประเทศเวียดนาม เพื่อเป็นการเตือนให้เร่งแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ก่อนที่จะมีการคว่ำบาตรการส่งออกอาหารทะเล
โดย อีซี ระบุว่า เวียดนามยังขาดระบบการลงโทษที่มีประสิทธิภาพในการห้ามเรือของเวียดนามไม่ให้เข้าไปทำประมงที่ผิดกฎหมายในน่านน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน และสถานที่ให้บริการเรือประมง-ระบบขนส่งสัตว์นํ้าในประเทศก่อนที่จะส่งออกมีระบบที่ไม่ดี
อีซี ระบุอีกว่า เวียดนามควรแก้ไขปัญหาภายในกรอบเวลาที่สมเหตุผล แต่ไม่กำหนดขีดเส้นตาย โดยนายคาร์เมนู เวลลา กรรมาธิการการประมงยุโรป แถลงว่า "เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อผลกระทบ จากการกระทำที่ผิดกฎหมายของเรือเวียดนาม ที่มีต่อระบบนิเวศทางทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิก เราได้ขอร้องให้เจ้าหน้าที่เวียดนามเพิ่มการต่อสู้ เพื่อที่เราจะได้กลับการตัดสินใจนี้โดยเร็ว"
ข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ระบุว่า เวียดนามอยู่ในกลุ่มประเทศผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารทะเล 10 อันดับสูงสุดของโลก
25 ต.ค.60 บนเพจเฟซบุ๊ก His Majesty King Jigme Khesar Namgyel Wangchuck ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ประมุขแห่งราชอาณาจักรภูฏาน ได้โพสต์พระบรมฉายาลักษณ์องค์จิกมีทรงจุดเทียน พร้อมข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ใจความว่า ราชอาณาจักรภูฏานจะจัดงานราชพิธีสวดมนต์พิเศษในวันที่ 26 ต.ค.นี้ ที่บริเวณองค์พระใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาคุนเซลโพดรัง ในกรุงทิมพู เมืองหลวงของภูฏาน ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งจะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในวันเดียวกันที่ประเทศไทย โดยมีพระสังฆราช หรือ เจ เคนโป เป็นประธาน งานราชพิธีดังกล่าวจะมีพระบรมวงศานุวงค์ของภูฏาน เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง เหล่านักการทูต ชาวไทยในภูฏาน และประชาชนทั่วไปเข้าร่วม
26 ต.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์บีบีซีลงคลิปข่าวนายรูเพิร์ต วิงฟิลด์-เฮยส์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีบรรยายจากบริเวณสนามหลวงว่า วันนี้ประชาชนชาวไทยทุกคนสวมชุดดำมาเฝ้ารอตั้งแต่เช้ามืดหวังได้ใกล้ชิดพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นวันสุดพิเศษอย่างยิ่ง ผู้คนหลายแสนคนเข้าแถวกันยาวเหยียดเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรหวังได้ชมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ หลังจากตลอดปีที่ผ่านมานับตั้งแต่พระองค์เสด็จสวรรคตมีประชาชนเดินทางมาเข้ากราบพระบรมศพร่วม 12 ล้านคน
ผู้สื่อข่าวบีบีซีรายงานว่า ประชาชนที่มาเฝ้าในวันนี้แม้ไม่ได้เห็นพระราชพิธีจริงแต่ก็ตั้งใจมา ชายหญิงคู่หนึ่งกล่าวว่า แค่ได้เห็นริ้วขบวนก็มีความสุขแล้ว สตรีสูงอายุคนหนึ่งบอกว่าทุกวันนี้เห็นข่าวเกี่ยวกับพระองค์ก็ยังคงน้ำตาไหล ขณะที่ชายสูงอายุคนหนึ่งกล่าวว่า ต้องมาในฐานะพสกนิกรของพระองค์และลูกหลานของพระองค์
ขณะเดียวกันสำนักข่าวรอยเตอร์ส ดึงสัญญาณการถ่ายทอดสดจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เพื่อเผยแพร่พระราชพีธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ออกสู่สายตาชาวโลก
รอยเตอร์ส ระบุด้วยว่า พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงเป็น "พ่อของแผ่นดิน" ด้วยทรงทุ่มเทพระวรกายในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่พสกนิกรชาวไทยตลอดรัชสมัย 70 ปีแห่งการครองราชย์
ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีและเอพีรายงานว่า ทางการไทยจัดพระราชพิธีอย่างสมพระเกียรติ ด้วยการถวายพระเกียรติยศสูงสุดในทุกขั้นตอน แด่ "พระราชาผู้เป็นที่รักยิ่ง" ของปวงชนชาวไทย ริ้วขบวนพระราชอิสริยยศทุกขบวนเป็นไปตามโบราณราชประเพณี และได้รับการประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามยิ่ง
25 ต.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ จะไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (อีเอเอส) ที่เป็นหนึ่งในการหารือกลุ่มย่อยของการประชุมสุดยอดผู้นำสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งเวทีที่สำคัญ
โดยรายงานเผยว่าทรัมป์จะเดินทางกลับสหรัฐฯ ก่อนกำหนด 1 วัน เมื่อเสร็จสิ้นการหารือกับประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ที่กรุงมะนิลา ในวันที่ 13 พ.ย. อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวระบุว่า จะมีผู้แทนสหรัฐเข้าร่วมการประชุมอีเอเอส แต่ไม่ได้ให้เหตุผลที่ผู้นำสหรัฐไม่เข้าร่วมการประชุม
ทั้งนี้ ทรัมป์ มีกำหนดการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียระหว่างวันที่ 3-14 พ.ย. ใน 5 ประเทศด้วยกันคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เพื่อหารือทวิภาคีกับเหล่าผู้นำประเทศ และจะเข้าร่วมการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 11 ถึง 12 พ.ย.
25 ต.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศได้เผยแพร่คลิปเหตุการณ์ขณะที่ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กำลังเดินอยู่ในอาคารรัฐสภาสหรัฐ เพื่อไปทานอาหารร่วมกับสมาชิกวุฒิสภา พรรคริพับลิกัน ได้ถูกชายคนหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มสื่อมวลชน ขว้างแผ่นรูปธงชาติรัสเซียใส่ พร้อมตะโกนต่อว่าทรัมป์ว่า เป็นกบฏขายชาติ วางแผนร่วมกับรัสเซียเพื่อชนะการเลือกตั้ง
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนโดยรอบ โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปควบคุมตัวชายคนดังกล่าวไว้ในทันที
24 ต.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน สหรัฐฯ แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงในรัฐยะไข่ของเมียนมา การละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวโรฮีนจาและชุมชนอื่นๆ โดยทางสหรัฐกำลังพิจารณาแนวทางดำเนินการตามกฎหมาย
โดยรัฐบาลวอชิงตันได้ประกาศถอนความช่วยเหลือทางทหารแก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับของกองทัพเมียนมาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุความรุนแรง ระงับการอนุญาตเดินทางเข้าเมืองสำหรับทหารระดับสูง และกำลังพิจารณามาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงดังกล่าว
แถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ มีขึ้นก่อนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเดินทางเยือนเอเชียในช่วงต้นเดือนหน้า เพื่อเข้าร่วมการประชุมอาเซียน ซัมมิท ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์
24 ต.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน นายโจชัว หว่อง และเนธาน ลอว์ สองนักศึกษานักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว จากคดีร่วมกันเป็นแกนนำจัดการชุมนุมผิดกฎหมายนาน 79 วัน เมื่อปี 2557 หรือกรณีปฏิวัติร่ม (Umbrella Movement)
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า หลักทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองคนใช้ยื่นขอรับการประกันตัวเป็นเงินคนละ 50,000 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 2 แสนบาทไทย โดยในระหว่างนี้ศาลห้ามจำเลยทั้งสองคนเดินทางออกจากเกาะฮ่องกง และต้องเข้ารายงานตัวต่อตำรวจสัปดาห์ละครั้ง นอกจากนี้ จำเลยทั้งสองคนต้องมาขึ้นศาลในวันที่ 7 พ.ย. นี้ ซึ่งจะเป็นการไต่สวนนัดแรกในกระบวนการชั้นฎีกา
ทั้งนี้ เมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา โจชัว หว่อง ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน จากความผิดฐานเข้าร่วมการชุมนุมอย่างผิดกฎหมาย และจำเลยร่วมอย่าง นายนาธาน ลอว์ ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 8 เดือน ฐานความผิดชักชวนให้ผู้อื่นมาร่วมการชุมนุมผิดกฎหมาย ส่วนนายอเล็กซ์ โชว์ จำเลยร่วมอีกคนที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 7 เดือน ฐานมีส่วนร่วมกับการชุมนุมผิดกฎหมาย ไม่ปรากฏชื่อในคำแถลงของศาลสูงสุดในครั้งนี้
25 ต.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือซีพีพีซี สมัยที่ 19 มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการกลางเป็นสมัยที่ 2 หรืออีก 5 ปี โดยมี พล.อ.ซู่ ฉีเหลียง และ พล.อ.จาง หยูเซียะ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ
ขณะเดียวกันที่ประชุมได้มีการลงมติเลือกสมาชิกกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ หรือโปลิตบูโร ชุดที่ 19 จำนวน 25 ตำแหน่ง แต่ในจำนวนนี้มี 7 ตำแหน่งซึ่งอยู่ในระดับคณะกรรมการประจำ หรือ Standing Committee ที่ถือว่ามีอำนาจสูงสุด ประกอบด้วย ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง , นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง วัย 62 ปี ทั้งสองดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง
สำหรับกลุ่มผู้นำอีก 5 คน แห่งคณะกรรมาธิการประจำกรมการเมืองฯ ล้วนเป็นผู้นำหน้าใหม่ ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนักงานกลางแห่งพรรคฯ นาย ลี่ จ้านซู วัย 67 ปี , รองนายกรัฐมนตรี นายวัง หยาง วัย 62 ปี , ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยนโยบายแห่งพรรคฯ นายหวัง หู้หนิง วัย 62 ปี , หัวหน้าฝ่ายการจัดตั้งองค์กรกลางแห่งพรรคฯ นายจ้าว เล่อ จี้ วัย 62 ปี และเลขาธิการพรรคฯประจำนครเซี่ยงไฮ้ นายหัน เจิ้ง วัย 64 ปี
ทั้งนี้ สี จิ้นผิง ได้กล่าวแนะนำคณะผู้นำสูงสุดแห่งโปลิตบูโร ในที่ประชุมพบปะกลุ่มผู้สื่อข่าว ณ มหาศาลาประชาคม กรุงปักกิ่ง โดยรัฐบาลปักกิ่งไม่อนุญาตให้สื่อต่างประเทศหลายแห่งเข้าร่วมการแถลงข่าวภายในมหาศาลาประชาชน ไม่ว่าจะเป็นบีบีซี เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส และเดอะ ไฟแนนเชียล ไทม์ส ซึ่งต่อมาสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งจีนออกแถลงการณ์ประณามว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพสื่อ
24 ต.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ (ซีพีซี) สมัยที่ 19 ซึ่งปิดการประชุมในวันนี้หลังหารือการมานานกว่า 1 สัปดาห์ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้บรรจุหลักปรัชญาของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่มีชื่อว่า "แนวคิดสังคมนิยมอันเป็นคุณลักษณะเฉพาะสำหรับชาวจีนในยุคใหม่" ลงไว้ในธรรมนูญพรรค เทียบเท่ากับ เหมาเจ๋อตุง และ เติ้งเสี่ยวผิง ที่ได้รับการจารึกชื่อและแนวคิดลงในรัฐธรรมนูญจีนเช่นกัน
โดยรายงานระบุว่า แนวคิดนี้เน้นหนักเรื่องบทบาทของพรรคในการบริหารประเทศทุกเรื่องตั้งแต่เศรษฐกิจไปจนถึงสิ่งที่ประชาชนโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ ขณะเดียวกัน ที่ประชุมซีพีซียังมีมติเห็นชอบให้นายสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ต่ออีก 1 สมัย หรือ 5 ปี ส่วนคณะกรรมการกรมการเมือง หรือ "โปลิตบูโร" จำนวน 24 คน และสมาชิกสมทบอีก 1 คน รวมเป็น 25 คน จะมีการเปิดตัวต่อสาธารณะชนในวันพรุ่งนี้ (25 ต.ค.)
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012