วันที่ 30 ตุลาคม 2567 นสพ.The Korea Times รายงานข่าว Korea sees increase in 'no-seniors zones' despite aging population ระบุว่า สังคมเกาหลีใต้กำลังเผชิญปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อผู้สูงอายุที่รุนแรงมากขึ้น โดยสถานออกกำลังกายและร้านกาแฟหลายแห่งได้ออกประกาศ “พื้นที่ห้ามผู้สูงอายุใช้บริการ (No-Seniors Zone)” โดยอ้างถึงความกังวลด้านความปลอดภัยหรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบรรยากาศของสถานออกกำลังกาย ในลักษณะเดียวกับประกาศ “พื้นที่ห้ามเด็กใช้บริการ (No-Kids Zone)” แม้ว่าเกาหลีใต้จะเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยแล้วก็ตาม
อาทิ เจ้าของฟิตเนสแห่งหนึ่งในกรุงโซล ซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ ให้ข้อมูลว่า ตนออกประกาศไม่รับผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปเป็นสมาชิกใหม่มาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว โดยอธิบายว่า ลูกค้าสูงอายุได้รับบาดเจ็บขณะออกกำลังกาย และยังได้รับการร้องเรียนจากลูกค้าวัยรุ่นว่ารู้สึกไม่สะดวกสบายที่จะออกกำลังกายในพื้นที่เดียวกับผู้สูงอายุ ตั้งแต่นั้นมา ทางยิมก็ได้ติดประกาศเตือนว่า ห้ามทักทาย เสนอของขวัญ ขอความช่วยเหลือ หรือชมเชยคนหนุ่ม-สาว
เช่นเดียวกับ “จอง (Jeong)” เจ้าของร้านกาแฟในย่านกังนัมของกรุงโซล เล่าว่า ร้านของตนได้รับความเดือดร้อนจากลูกค้าสูงวัย ซึ่งหลายคนแสดงพฤติกรรมหยาบคายกับพนักงาน อาทิ ตะโกนโดยไม่ใช้ตู้รับออเดอร์ที่จัดเตรียมไว้ในร้านกาแฟ และแม้จะมองว่า การประกาศห้ามผู้สูงอายุใช้บริการเป็นมาตรการที่รุนแรงเกินไป แต่ตนก็เข้าใจว่าเหตุใดร้านอาหารหรือร้านกาแฟบางแห่งถึงเลือกวิธีนั้น
ในสังคมเกาหลีใต้ มีการถกเถียงเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง อาทิ ชายชราวัย 77 ปี นามสกุล “โรห์ (Roh)” กล่าวในทำนองตัดพ้อว่า คนชราไม่ควรไปร้านกาแฟอย่างนั้นหรือ ซึ่งตนเป็นห่วงว่าความเกลียดชังต่อผู้สูงอายุจะเพิ่มมากขึ้น และย้ำว่า คนหนุ่ม-สาวในปัจจุบันก็หนีความแก่ชราในอนาคตไม่พ้น เช่นเดียวกับนักศึกษาวัย 22 ปี นามสกุล “ปาร์ก (Park)” ที่กล่าวว่า ในฐานะผู้บริโภค ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะซื้อและดื่มกาแฟได้หากพวกเขาจ่ายเงิน และย้อนถามกลับด้วยว่า ผู้สูงอายุเหล่านั้นต่างจากพ่อแม่ของคนหนุ่ม-สาว (ที่ไม่พอใจการใช้บริการร่วมกับผู้สูงวัย) อย่างไร?
แต่อีกด้านหนึ่ง ก็มีความเห็นจากหนุ่มพนักงานออฟฟิศ นามสกุล “คิม (Kim)” จากเมืองอินชอน ที่ระบุว่า ควรพิจารณาถึงตำแหน่งของเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเป็นที่นิยมในหมู่คนหนุ่มสาวด้วย อย่างตนก็ยังชอบไปร้านค้าและร้านอาหารทันสมัยที่กลายเป็นกระแสไวรัลทางออนไลน์ในหมู่ผู้ใช้ที่เป็นคนหนุ่ม-สาว เช่นเดียวกับ นักศึกษาวัย 24 ปี นามสกุล “จอง (Jeong)” เล่าว่า ตนเคยเห็นผู้สูงอายุพูดคุยกันเสียงดังในยิม ร้านกาแฟ หรือร้านอาหารอยู่บ่อยครั้ง จึงเป็นเรื่องจริงที่วัยรุ่นหลายคนไม่อยากอยู่ใกล้ผู้สูงอายุ
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของเกาหลีใต้ (NHRCK) ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2567 ระบุว่า การปฏิเสธไม่ให้ผู้สูงอายุใช้สิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬาเนื่องจากอายุของพวกเขาถือเป็นการเลือกปฏิบัติ สืบเนื่องจาก กสม. แดนโสมขาว ได้รับเรื่องร้องเรียนจากชายวัย 68 ปี ที่พยายามซื้อสมาชิกรายปีที่สโมสรกีฬาแห่งหนึ่งในย่านกังนัม กรุงโซล แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากมีอายุเกิน 65 ปี
กสม.เกาหลีใต้ เสนอแนะว่า เจ้าของสโมสรกีฬาควรเตรียมมาตรการเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ เพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุถูกกีดกันจากการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา" และแสดงความกังวลว่าข้อจำกัดดังกล่าวอาจแพร่กระจายการรับรู้เชิงลบเกี่ยวกับผู้สูงอายุ และเป็นเหตุให้กีดกันผู้สูงอายุไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ขณะที่ ศ.โอ บอม-โจ (Prof.Oh Beom-jo) ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลโบราแม ในกรุงโซล กล่าวว่า การเลือกปฏิบัติต่อผู้สูงอายุ เช่น การกำหนดห้ามผู้สูงอายุใช้บริการ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้สูงอายุและเพิ่มภาระต้นทุนทางสังคม
ศ.ขอย ชุล (Prof.Choi Chul) ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ผู้บริโภค มหาวิทยาลัยสตรีซุกมยอง ในกรุงโซล ให้ความเห็นว่า การจำกัดกิจกรรมการบริโภคของคนบางกลุ่มอาจทำให้สภาพแวดล้อมการบริโภคของผู้บริโภคทุกคนแย่ลง จึงควรมีฉันทามติจากชุมชนเกี่ยวกับความตื่นตัวนี้ อนึ่ง ข้อมูล ณ เดือน ก.ค. 2567 จากประชากรทั้งหมด 51.6 ล้านคน พบ 1 ใน 5 หรือมากกว่า 10 ล้านคน เป็นผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
ความคืบหน้ากรณีนายวิษณุ เลิศสงคราม ปลัดอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม 1 ใน 14 จำเลยคดีตากใบ ที่ถูกออกหมายจับ ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2567 แต่ไม่มีการแจ้งมายังอำเภอท่าอุเทน เพื่อประสานการส่งตัวผู้ถูกกล่าวหาดำเนินคดีอาญาตามหมายจับ โดยในช่วงต้นเดือนตุลาคม 67 ปลัดอำเภอดังกล่าวยังมาทำงานปกติ แต่ต่อมาภายหลังมีการยื่นลาพักผ่อน ระหว่างวันที่ 15-18 ตุลารคม 2567 หลังมีกระแสข่าวเรื่องคดีตากใบปะทุขึ้นมา เนื่องจากมีบุคคลสำคัญหลายรายที่หายตัวไป เชื่อว่าหลบหนีเพื่อรอคดีหมดอายุความ โดยสิ้นสุดคดีครบ 20 ปีในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา
โดย นายวิษณุ เลิศสงคราม อายุ 45 ปี ปลัดอำเภอชำนาญการ ฝ่ายความมั่นคง อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม พบว่าเพิ่งหายตัวไปช่วงไม่กี่วัน ก่อนคดีหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 พอหลังคดีสิ้นสุดก็ได้รายงานตัวกลับมาทำงานในวันที่ 28 ตุลาคม 2567 กระทั่งถูกขุดคุ้ยจนตกเป็นข่าว
ต่อมาทางผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ พยายามติดต่อเพื่อขอสอบถามข้อเท็จจริง แต่ไม่สามารถติดต่อปลัดอำเภอดังกล่าวได้ สอบถามเพื่อนร่วมงานยืนยันว่า ออกพื้นที่ด้านความมั่นคง ส่วนบ้านพักปิดเงียบ เนื่องจากมีกระแสดรามาโหมกระหน่ำ โดยสังคมตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีการรู้เห็นว่ามีหมายจับ และเปิดช่องช่วยเหลือให้พ้นคดี
ล่าสุด นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มีหนังสือ”ด่วนที่สุด” ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ได้ให้จังหวัดนครพนมตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง โดยประเด็นว่าจังหวัดนครพนมได้รับว่านายวิษณุ เลิศสงคราม ตกเป็นจำเลยในคดีอาญาเมื่อใด ตำรวจได้แจ้งให้ทราบว่ามีหมายจับ และประสานขอให้ส่งตัวเพื่อดำเนินการหรือไม่ และได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง พร้อมสรุปความเห็นและจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงมหาดไทย
อย่างไรก็ตามทางจังหวัดนครพนม อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เนื่องจากตรวจสอบพบว่า ก่อนคดีหมดอายุความ มีการขาดราชการ 6 วัน จึงพิจารณาความผิด โดยกระทรวงมหาดไทย ให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน
ทั้งนี้ คดีสลายการชุมนุมเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 สถานการณ์รุนแรงชายแดนใต้ปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยเหตุการณ์แรกมีการปล้นปืนค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 47 ต่อมาเกิดเหตุวันที่ 28 เมษายน 47 มีการปิดล้อมปราบชาวมุสสิมที่มัสยิสกรือเซะ กระทั่งวันที่ 25 ตุลาคม 47 ก็เกิดโศกนาฎกรรมตากใบ จากการสลายการชุมนุม และขนย้ายผู้ชุมนุมไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 85 คน ในจำนวนดังกล่าวมี 78 คนเสียชีวิตระหว่างการขนย้าย
โดยนายมานิตย์ สุธาพร รองปลัดกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ได้กล่าวถึงสาเหตุที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ที่โรงแรมซีเอส จ.ปัตตานี ว่า รถแต่ละคันมีการวางร่างผู้ชุมนุมนอนคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นชั้นๆ ราว 4-5 ชั้น ประมาณคันละ 50-60 คน มี่เจ้าหน้าที่ควบคุมไปกับรถคันละ 5-6 คน ในจำนวนนั้นมีนายวิษณุ เลิศสงคราม ในขณะที่ยังรับราชการเป็นทหาร ก่อนจะสอบปลัดได้รวมอยู่ด้วย การนำตัวผู้ชุมนุมที่ถูกจับขึ้นรถเป็นจำนวนมาก จึงเกิดความแออัดจนคนที่ถูกอัดอยู่ด้านในสุด หายใจไม่ออกและเสียชีวิตในที่สุด
กองทัพเกาหลีใต้เปิดเผยว่า กองทัพตรวจพบขีปนาวุธถูกยิงออกจากบริเวณใกล้กับกรุงเปียงยาง เมื่อเวลาประมาณ 7.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น (5.10 น. ตามเวลาไทย) ขณะที่กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่า จากการคาดการณ์คาดว่าขีปนาวุธน่าจะตกในเวลาประมาณ 8.36 น. นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะโอคุชิริของจังหวัดฮอกไกโดไปทางตะวันตกเป็นระยะทางราว 300 กิโลเมตร
ด้านข้อมูลจากหน่วยยามชายฝั่งของญี่ปุ่นเมื่อเวลา 8.40 น. ระบุว่า ขีปนาวุธน่าจะตกลงสู่ทะเลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้ (JCS) กล่าวกับนักข่าวว่า “ขีปนาวุธดังกล่าวน่าจะเป็นขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่ยิงในวิถีโค้ง” พร้อมเผยว่า กองทัพเกาหลีใต้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ และได้แบ่งปันข้อมูลขีปนาวุธของเกาหลีเหนือร่วมกับทางการสหรัฐฯ และญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้หลายลูกครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ก.ย. และยิง ICBM ครั้งล่าสุดคือเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.
การยิงขีปนาวุธ ICBM ของเกาหลีเหนือในวันนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เหล่าผู้นำด้านกลาโหมของเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ออกมาประสานเสียงประณามการส่งทหารเกาหลีเหนือไปรัสเซีย ด้วยการใช้คำที่ “รุนแรงที่สุด” ในระหว่างการหารือด้านกลาโหมประจำปีที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อวานนี้
ขณะที่ประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ผู้นำเกาหลีใต้ และประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ประกาศส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงและข่าวกรองระดับทวิภาคี นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยจะมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศ
จนถึงตอนนี้ เกาหลีเหนือ “ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ” กระแสข่าวเกี่ยวกับการส่งทหารเข้าไปในรัสเซีย ส่วนประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลมอสโกกับรัฐบาลเปียงยาง ไม่ว่าในเรื่องใดก็ตาม “ถือเป็นกิจการภายใน”
ยอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของสเปนหลังเกิดฝนตกหนักสุดในรอบ 30 ปีสัปดาห์นี้เพิ่มเป็นอย่างน้อย 95 ราย ยังมีผู้สูญหายอีกหลายสิบคน อาคารบ้านเรือนและยวดยานเสียหายจำนวนมาก
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของสเปนเปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 95 ราย สูญหายอีกหลายสิบคน ในเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงที่สุดในสเปนในรอบ 3 ทศวรรษ หลังฝนตกหนักถล่มหลายพื้นที่ทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของสเปนตั้งแต่วันอังคาร โดยเฉพาะในภูมิภาคบาเลนเซีย อันดาลูเซีย อัลบาเซเต และกาตาลุญญา ส่งผลให้ถนนและเมืองต่างๆ จมอยู่ใต้น้ำ กระแสน้ำกวาดยวดยานจำนวนมากไปตามท้องถนน สะพานข้ามแม่น้ำหลายแห่งถูกกระแสน้ำซัดขาด อาคารบ้านเรือนประชาชนจมอยู่ใต้น้ำเสียหายหนัก
สำนักอุตุนิยมวิทยาสเปนเผยว่า ในเมืองชีวา ภูมิภาคบาเลนเซีย เผชิญฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์เมื่อวันอังคาร ปริมาณฝนตกแค่ 8 ชั่วโมงเทียบเท่าปริมาณฝนตกทั้งปี จนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นทะเลสาบ ยวดยานหลายร้อนคันไหลไปกับกระแสน้ำ เจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้เรือยางทำงานท่ามกลางความมืดเพื่อตระเวนช่วยเหลือผู้ประสบภัยไปยังที่ปลอดภัย
นายกรัฐมนตรี เปโดร ซานเชส ของสเปน แถลงผ่านการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ พร้อมเตือนประชาชนในภูมิภาคบาเลนเซีย อันดาลูเซีย และกาตาลุญญา เฝ้าระวังอันตรายจากน้ำท่วมต่อไป เนื่องจากหลายพื้นที่ยังอยู่ภายใต้ประกาศเตือนภัยระดับสูงสุด ขณะที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในภูมิภาคบาเลนเซีย เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลปลอมที่ถูกส่งในโลกออนไลน์ ทั้งเรื่องเขื่อนหลายแห่งใกล้แตก หรือน้ำประปาปนเปื้อนไม่สามารถดื่มได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศชี้ว่า เหตุน้ำท่วมฉับพลันรุนแรงในสเปนครั้งนี้ มีปัจจัยหลักจากระบบสภาพอากาศเลวร้ายแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่อากาศเย็นและอากาศอุ่นมาปะทะกันและก่อให้เกิดเมฆฝนที่ทรงพลัง และย้ำว่าสภาพอากาศรูปแบบนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012