ในวันจันทร์ที่ผ่านมาผู้ว่าฯ เจอร์รี่ บราวน์คัดค้านกฎหมายที่จะให้แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐแรกในประเทศที่จะได้รับอนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีสัญชาติอเมริกันทำหน้าที่การพิจารณาคดีในศาลด้วยการเป็นลูกขุนเมื่อถูกหมายเรียก
ในช่วงที่ผ่านมาผู้ว่าราชการจังหวัดได้อนุมัติการให้ใบอนุญาตขับรถ และความสามารถในการใช้กฎหมาย เพื่อให้ผู้อพยพที่อยู่ในประเทศ อย่างผิดกฎหมาย และให้บุคคลที่ ไม่ใช่สัญชาติทำหน้าที่ในศาลให้ คณะลูกขุน
กฎหมายนี้จะอนุญาตให้ผู้ที่อยู่ถาวรแต่ไม่ได้ถือสัญชาติทำหน้าที่ในศาลในคณะลูกขุน บราวน์เห็นว่า “ไม่เหมาะสม”คณะลูกขุนมีหน้าที่โหวตและพิจารณาคดีอภิสิทธิ์และหน้าที่นี้เป็นความรับผิดชอบของผู้ที่มีสัญชาติอเมริกันมาทำหน้าที่คัดค้าน"การปล่อยให้ผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติอเมริกาทำหน้าที่ในคณะลูกขุน คุกคามความสมบูรณ์ของระบบการพิจารณาคดีเราเชื่อว่าโจทก์หรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะพิสูจน์ความผิด และการให้ผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติอาจจะทำให้โจทก์หรือจำเลยไม่ได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม”
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บ๊อบ วีโควสกิกล่าวว่า “เขารู้สึกผิดหวังที่ผู้ว่าคัดค้านกฎหมายคณะลูกขุนเป็นผู้อพยพ และอยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นส่วนหนึ่งของของชุมชนของเราและพวกเขาได้รับประโยชน์จากการคุ้มครองของกฎหมายของเรา จึงมีความเป็นธรรมที่พวกเขาจะถูกขอให้มีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ของคณะลูกขุนเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้ทำหน้าที่ในโรงเรียน, กรมตำรวจ และกองกำลังทหาร" วีโควสกิ กล่าว “ฉันไม่เห็นอุปสรรคทางกฎหมายใดๆกับการจัดเก็บภาษีหรือรับภาระหน้าที่ของพลเมืองกับเวลาที่เหลือของชีวิตของพวกเขาในประเทศสหรัฐอเมริกา”
MedPage Today รายงานว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค The Centers of Disease Control and Prevention (CDC) ได้เรียกพนักงานจำนวน 30 คนที่ถูกพักงานเนื่องจากรัฐบาลปิดทำการชั่วคราว กลับเข้าทำงานอีกครั้งเพื่อหยุกการแพร่เชื้อแบ็คทีเรียเซลโมเนลล่าระบาด ที่ทำให้ประชาชนเจ็บป่วยไปแล้วกว่า 300 คน ใน 18 รัฐ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ในเวลาเดียวกันกับที่ทาง CDC ได้ประกาศไว้ว่า จะมีการระบาดของเชื้อโรคสายพันธุ์ในกลุ่ม Salmonella และยังพบว่ามีการต่อต้านยาปฏิชีวนะตามข้อมูลจาเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ มีร้อยละ 42 ของคนที่ติดเชื้อได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว
"เป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงทีเดียว" บาร์บาร่า เรย์นาดส์ โฆกของ CDC กล่าวกับ USA Today ว่า คาดว่ามีเพียงร้อยละ 20 ที่เข้ารับการรักษาจากเชื้อ Salmonella Heidelberg และเหมือนๆ กับอีกหลายหน่วยงานของรัฐ, CDC เองก็ได้ปฏิบัติการจำกัดจำนวนของเจ้าหน้าที่ พนักงานที่ "ไม่จำเป็น" จะไม่ได้ทำงานหรือรับเงินเดือนงวดสุดท้ายตั้งแต่ Government Shutdown ซึ่งสอดคล้องกับอีเมล์ของทาง MedPage Today ที่ได้รับว่า มีพนักงานประมาณ 30 รายที่ทำงานเกี่ยวกับวิเคราะห์อาหารและการตอบสนองของโรคระบาด ถูกนำตัวกลับเข้ามาทำงาน
แหล่งที่มาของโรคระบาด ได้รับการตรวจสอบย้อนกลับไปยังผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ดิบ ที่ผลิตโดย โรงเลี้ยงไก่ ฟอสเตอร์ ฟาร์ม 3 แห่ง ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตามคำสั่งของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ U.S. Department of Agriculture (USDA) การระบาดปรากฎขึ้นในเดือนมีนาคม และทาง USDA ได้รับแจ้งการเจ็บป่วยในเดือนกรกฎาคม จากศูนย์บริการการตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหาร USDA กล่าวว่า นักวิจัยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการหาตำแหน่งของแหล่งที่มาของอาการเจ็บป่วย
โฆษกของฟอสเตอร์ ฟาร์มปฏิเสธผลข้างเคียงและการติดเชื้อโดยมีสาเหตุมาจากการกินไก่ไม่สุกหรือการจัดการไม่ถูกต้อง
ส่วน USDA ก็ยังไม่ได้เชื่อมโยงโดยตรงเรื่องการระบาดของโรค กับการเจาะจงไปที่ผลิตภัณฑ์หรือช่วงเวลาการผลิตใดๆ
ดร.รอน แชฟแมน ผอ.ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ รัฐแคลิฟอร์เนีย เรียกร้องให้ชาวแคลิฟอร์เนียออกมารับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันภาวะโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ อันเนื่องมาจากไข้หวัด พร้อมแนะนำวิธีปรุงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ถูกวิธีเพื่อป้องกันแบ็คทีเรีย "เซลโมเนลล่า" และเตือนอย่าซี้ซั่วใส่เลนส์สายตาสี ซึ่งอาจทำให้ตาบอดได้
ที่ซานคราเมนโต แคลิฟอร์เนีย ดร.รอน แชปแมน กล่าวว่า "โรคร้ายแรงเช่นโรคไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ ถ้าหากชาวแคลิฟอร์เนียได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้" เขากล่าวต่อไปว่า เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไหร่ไข้หวัดจะมาถึง แต่ถ้าได้รับการฉีดวัคซีนในขณะนี้ จะทำให้ครอบครัวมีสุขภาพดีได้
ศูนย์การควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ (ซีดีซี) และ ซีดีพีเอช ได้แนะนำให้คนที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปออกไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งวัคซีนนี้จะมีประสิทธิภาพดีและปลอดภัย ในปีนี้มีวัคซีนออกมาหลายประเภท แต่ที่พบเห็นบ่อยที่สุด โดยทั่วไปแล้วจะเป็นวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยแต่ละชุดประกอบด้วยป้องกันไข้หวัดใหญ่ 3 ชนิด ล่าสุดได้มีวัคซีนชื่อ Quadrivalent ออกมา ซึ่งมีส่วนประกอบคล้ายกับตัวเดิม และยังเพิ่ม ไวรัสายพันธุ์ บี เข้ามาด้วย "แม้ว่าคุณจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในปีที่ผ่านมาแล้ว ก็ยังต้องฉีดวัคซีนใหม่ในปีนี้" ดร.แชปแมนกล่าว
ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อ ประมาณการว่าในทุกๆ ปีมากกว่า 200,000 คนในสหรัฐต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคหวัด และเสียชีวิตอย่างน้อย 3,000 คนทุกๆ ปี และประมาณการอย่างสูงไม่เกิน 49,000 คน เป็นไข้หวัดใหญ่ทำให้ระบบทางเดินหายใจอักเสบจากเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่จะมีอาการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่น มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอและไอ มักจะทำให้คนนอนป่วยเป็นเวลาหลายวัน ไข้หวัดใหญ่สามารถเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีโรคเรื้อรัง เช่นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคหอบหืด
ดร.รอน แชฟแมน กล่าวถึงคำเตือนผู้บริโภคเนื้อไก่ของกระทรวงสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ว่า การที่ไม่เรียกคืนเนื้อไก่ที่มีเชื้อแบ็คทีเรียเซลโมเนลล่า ผลิตโดย Foster Farms ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ว่า เพียงผู้บริโภคเข้าใจว่าการปรุงเนื้อไก่ที่ถูกสุขลักษณะ เนื้อไก่เหล่านั้นก็จะปลอดภัยในการบริโภค สำหรับเนื้อไก่ดิบๆ จะมีเชื้อแบ็คทีเรียบนอยู่แล้วตามธรรมชาติ เราต้องนำมาทำให้สุกที่อุณหภูมิ 165 องศาฟาเร็นไฮท์เสียก่อน และระวังอย่างให้เนื้อไก่ที่สุกแล้วปนกันเนื้อที่ไม่สุก เช่น เขียง จาน และมีด ต้องได้รับการล้างให้สะอาดเสียก่อนกลับมาใช้ใหม่
นอกจากนี้ ดร.รอน แชฟแมน ผอ.ควบคุมโรคติดต่อ ได้กล่าวเตือนผู้ใช้เลนส์สายตาเพื่อความสวยงามว่าอย่าเพิ่งใช้จนกว่าจะได้รับการตรวจสายตาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาเสียก่อน การใช้เลนส์สายตาเพื่อความสวยงาม เลนส์นี้จะไม่ใช่เลนส์สายตาสั้นหรือสายตายาว และอาจจะทำให้เสียสายตาหรือถึงขั้นตาบอดได้ หากจะใช้ก็ควรซื้อเลนส์ที่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย Federal Food, Drug and Cosmetic Act. ซึ่งจะหาซื้อได้จากร้านที่มีชื่อในแผนกขายของเสริมสวย
หอการค้าไทยอเมริกันในแคลิฟอร์เนีย จัดบรรยาย หลักประกันสุขภาพของคนไทยในสหรัฐฯ เกี่ยวกับสิทธิที่สามารถกลับไปรับบริการที่ประเทศไทย จากการสนับสนุนบริการสุขภาพกระทรวงสารธารณสุข ดดย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ ผศ.ดร. นพ. ดำรงศักดิ์ บุลยเลิศ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ นำคณะเดินทางมายังประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2556 ที่ Hollyview Building หอการค้าไทยอเมริกันในแคลิฟอร์เนีย โดยนายพลเทพ อินทุรัตน์ ประธานจัดบรรยายความพร้อมของประเทศไทยในการจัดบริการสุขภาพให้กับนานาชาติ และสิทธิประโยชน์ของคนไทยในการรับบริการสุขภาพในประเทศไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพแห่งเอเชีย โดยรัฐบาลไทยได้เดินสายเชิญชวนชาวต่างชาติทั่วโลก รวมถึงชาวอเมริกัน ให้ลองไปใช้บริการสุขภาพในด้านต่างๆ ที่ประเทศไทย
ผศ.ดร.นพ. ดำรงศักดิ์ บุลยเลิศ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวถึงสิทธิประโยชน์ของคนไทยในการรับบริการสุขภาพในประเทศไทยว่า ปัจจุบันโครงการสุขภาพคุ้มครองคนไทย แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
ชนิดที่ 1 รู้จักกันในนามบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งบัตรชนิดนี้เป็นสิทธิของคนไทยทุกคนที่เชื้อชาติไทย ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่ใดบนโลก หากยังถือสัญชาติไทยก็จะได้รับสิทธิ์นี้ทุกคน
ชนิดที่ 2 รู้จักในนามของบัตรประกันสังคม สำหรับคนที่เริ่มทำงานกับบริษัท ห้างร้าน และองค์กรที่จดทะเบียนเสียภาษีอย่างถูกต้อง บัตรประกันสังคมสามารถใช้รักษาสุขภาพกับโรงพยาบาลในพื้นที่ที่ทางบริษัทเลือกมาให้และลูกจ้างเป็นผู้กำหนดใช้บริการจากโรงพยาบาลนั้นๆ
ชนิดที่ 3 บัตรสวัสดิการข้าราชการและวิสาหกิจ สำหรับลูกจ้างสำนักงาน/หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลไทย จะคุ้มครองสุขภาพของลูกจ้าง โดยชนิดที่ 2 และชนิดที่ 3 นี้นอกจากจะมีสิทธิใช้บริการจากสถานะลูกจ้างแล้ว ยังอยู่ในกลุ่มผู้ที่ได้รับสิทธิจากบัตรชนิดแรก 30 บาทรักษาทุกโรคด้วย
ส่วนโครงการ "ศูนย์สุขภาพแห่งเอเชีย" ของประเทศไทยหรือเมดิคัลฮับไทยแลนด์นั้นเป็นโครงการที่รัฐบาลผลักดันตั้งแต่ปี 2004 สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือผู้ที่ต้องการมารักษาโรคภัยไข้เจ็บที่โรงพยาบาลเอกชนหรือคลินิคต่างๆ ในประเทศไทยซึ่งบัตรทั้ง 3 ชนิดข้างต้นนั้นจะไม่รับรองในส่วนนี้ แต่ผู้ที่มีประกันสุขภาพกับบริษัทประกันเอกชนหรือผู้ที่สามารถรองรับค่าใช้จ่ายเองได้จะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเมดิคัลฮับไทยแลนด์ ซึ่งรัฐบาลจัดกลุ่มนี้เป็น "ชนิดที่ 4"
ชนิดที่ 4 ผู้ประกันสุขภาพกับบริษัทเอกชนหรือผู้ที่สามารถจ่ายค่ารักษาเองได้ เป็นกลุ่มที่รัฐบาลเรียกว่า เมดดิคัลทัวร์ริซึ่ม กลุ่มเป้าหมายหลักที่เข้ามาใช้บริการในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นชาติใดก็ตาม ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
"กลุ่มที่ยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลนั้นเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง และสามารถรองรับค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ ขณะที่กลุ่มลูกค้าของบริษัทประกันสุขภาพเอกชน ทำอย่างไรเขาถึงจะยอมคุ้มครองสิทธิในส่วนนี้นั้น มีความเป็นไปได้ว่าเพราะราคาค่ารักษาสุขาพที่เมืองไทยถูกกว่า และมีคุณภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก ขณะที่การรอคิวเพื่อเข้ารับการรักษาก็ใช้เวลาที่น้อยกว่า ซึ่งกรณีหลังนี้สำคัญมากกับกลุ่มเจ้าของบริษัทที่ไม่ต้องการเสียพนักงานฝีมือดี เขาอาจจะเลือกยอมเสียเงินมากขึ้นเพื่อดูแลลูกจ้าง ให้ไปรักษาตัวที่เมืองไทย และสามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว มากกว่าที่จะรอคิวรักษาที่สหรัฐฯ ขณะที่ค่ารักษาก็แพงมากกว่าด้วย
ผศ.ดร.นพ. ดำรงศักดิ์ บอกด้วยว่า สำหรับกลุ่มที่พร้อมจะจ่ายเองย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน แต่สำหรับกลุ่มที่ต้องการใช้สิทธิประกันสุขภาพของบริษัทเอกชน อาจจะต้องแสดงเจตจำนงค์ว่าต้องการรักษาที่เมืองไทย ซึ่งหากบริษัทพิจารณาแล้วว่าค่าใช้จ่ายถูกกว่า ก็มีความเป็นไปได้ว่า บริษัทประกันสุขภาพจะให้ใช้สิทธิ์ที่เมืองไทยได้
นอกจากเรื่องของการรักษาสุขภาพแล้ว "ศัยลกรรมตกแต่ง" ก็เป็นสินค้าสำคัญที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย จากสถิตพบว่ามีกลุ่มลูกค้าที่มาจากฝั่งยุโรป ออสเตรเลีย โดยเฉพาะกลุ่มเอเชียตะวันออกกลาง เข้ามาใช้บริการเฉลี่ย 1.2 ล้านคน มากกว่าประเทศใดในโลก
ส่วนคู่แข่งสำคัญของประเทศไทยคือ สิงค์โปร์ และอินเดีย สิงค์โปร์มีมาตรฐานเรื่องการบังคับใช้กฎหมายควบคุมได้ดีกว่าเมืองไทย แต่ค่าบริการก็สูงกว่า อินเดียมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าเมืองไทยราว 30% แต่มีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อหลังการผ่าตัด และคุณภาพในการพักฟื้นไม่ค่อยดีนัก
ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิดบนรถไฟฟ้าซานฟรานซิสโก ช่วงเวลาที่คนร้ายสัญชาติไทยใช้อาวุธปืนยิงใส่นักศึกษาหนุ่มวัย 20 ปี จนเสียชีวิต แต่ผู้โดยสารคนอื่นๆ กลับไม่สังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
สถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ซานฟรานฯ เบย์ แอเรีย เปิดเผยว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ผู้ต้องสงสัยเป็นชายชาวเอเชียได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนจ่อยิง นายจัสติน วาลเดซ อายุ 20 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังเสียชีวิต ขณะกำลังลงจากขบวนรถไฟนครซานฟรานฯ
หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นายนิคม เทพเกสร อายุ 30 ปี อาศัยอยู่ย่านโอเชียนวิว ชานเมืองซานฟรานซิสโก ขณะที่ภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นพฤติกรรมของคนร้ายอย่างชัดเจน คนร้ายหยิบอาวุธปืน .45 มม. ออกมาจากข้างลำตัว เมื่อก่อเหตุยิงใส่ นายจัสติน แล้ว ยังมีการเล็งปืนใส่ผู้อื่นอีกหลายครั้งอย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าจับกุมตัว นายนิคม ได้ที่บ้านพัก พร้อมกับตรวจยึดอาวุธปืนไรเฟิล 2 กระบอก อาวุธมีดอีกหลายแบบ เงินสด 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับตั้งข้อหาหนักฐานพกพาและครอบครองอาวุธปืนอย่างผิดกฎหมายและใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ชีวิต เบื้องต้น นายนิคม ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
สำหรับเหตุดังกล่าวกลายเป็นเหตุสะเทือนขวัญของชาวเมือง อีกทั้งยังเป็นคดีที่คลี่คลายปมอย่างยากลำบาก เนื่องจากมีหลักฐานเพียงภาพจากกล้องวงจรปิด ส่วนพยานแวดล้อมต่างไม่มีใครรับรู้ว่า นายจัสติน ถูกจ่อยิง เนื่องจากขณะเกิดเหตุผู้โดยสารส่วนใหญ่จดจ่ออยู่กับแท็ปเล็ตและสมาร์ทโฟน ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวได้มีการไต่สวนในศาลชั้นต้นไปเรียบร้อยแล้ว ศาลสั่งค้านประกันตัวผู้ต้องหา และให้รวบรวมหลักฐาน เพื่อหาแรงจูงใจในการก่อเหตุดังกล่าว ก่อนจะมีกำหนดขึ้นไต่สวนครั้งต่อไป ในวันที่ 20 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้
นับวันจะมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นสำหรับโลกใบนี้มากขึ้นทุกที มีธุรกิจขนาดเล็กกลุ่มหนึ่งในสหรัฐอเมริการับจ้างอุ้มท้อง เพื่อที่ลูกที่เกิดมาจะสามารถยื่นขอใบเขียวให้กับพ่อแม่ได้เมื่อวัย 21 ปี โดยธุรกิจลักษณะนี้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยลูกค้าส่วนใหญ่ราว 65 เปอร์เซ็นต์เป็นลูกค้านอกสหรัฐ
เศรษฐีนีชาวจีนคนหนึ่งที่ใช้บริการนี้กล่าวว่า รู้สึกอึดอัดกับกฎหมายให้มีลูกคนเดียวของประเทศจีน และการให้คนอื่นอุ้มท้องให้ในประเทศจีนนั้นก็เป็นเรื่องผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน
การที่ชาวจีนต้องการลูกเป็นซิติเซ่นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะญัตติที่ 14 ของสหรัฐ ระบุว่า เด็กที่เกิดในสหรัฐให้ถือสัญชาติอเมริกัน ฉะนั้นทำให้จำนวนหญิงชาวจีนที่เดินทางหลั่งไหลเข้ามาคลอดในสหรัฐฯ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากสถิติของสำนักงานอิมมิเกรชั่น จำนวนชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ ในฐานะนักท่องเที่ยวเพิ่มจำนวนจาก 1 ล้านคนในปี 2010 เป็น 1.8 ล้านคนเมื่อปี 2012
เศรษฐีชาวจีนบางคนกล่าวว่าเขาต้องการตัวเชื่อมในต่างประเทศ เพื่อปกป้องสมบัติของตนโดยเลือกประเทศที่เคร่งครัดต่อกฎหมาย
เอเยนต์แห่งหนึ่ง โฆษณาว่ายังมีอีกวิธีที่สามารถเข้ามาสหรัฐได้คือการถือ อีบี-วีซ่า โดยนำเงินเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในสหรัฐฯ ในวงเงิน 5 แสนเหรียญ ทั้งครอบครัวพร้อมด้วยลูก 2 คนก็อพยพเข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ ได้อย่างสบายๆ ขณะที่เอเยนท์ที่ทำหน้าที่ตัวแทนหาคนคลอดบุตรครบวงจร ราคาระหว่าง 120,000 - 200,000 เหรียญ หรือถ้าเพิ่มค่าเครื่องบินและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตกราว 300,000 เหรียญ ทำให้ชาวอเมริกันในปัจจุบันหลายร้อยครอบครับจ้างชาวอินเดียอุ้มท้อง เนื่องจากได้ราคาที่ถูกกว่า
ในกรณีของ คู่สามีภรรยาชาวจีน โทนี่ เจียง และ เชอร์รี่ เคยพยายามหาตัวแทนที่ต่างประเทศเพราะไม่สามารถมีลูกของตัวเองได้ทั้งจากประเทศไทย อินเดีย และยูเครนก่อนที่จะได้ที่สหรัฐฯ เมื่อปี 2010 ทั้งสองคนได้ลูกสาว เกิดที่แคลิฟอร์เนีย จากหญิงรับจ้างอุ้มท้องชาวอเมริกันและเธอก็ได้เด็กแฝดให้กับทั้งคู่อีกด้วย พวกเพื่อนๆ ของนายโทนี่ขอร้องให้ช่วยทำให้บ้าง เขาจึงเปิดทำธุรกิจเสียเองเมื่อปี 2012 ปัจจุบันเขามีลูกค้าชาวจีนราว 75 ราย
ลูกค้าชาวจีนต้องการใช้ไข่และสเปิร์มของตัวเอง และจากการบริจาคซึ่งเลือกที่เป็นชาวจีนหรือชาวเอเชียด้วยกัน แต่ก็มีหลายคนที่อยากได้ลูกที่มีรูปร่างสูง เป็นลูกครึ่ง โดยใช้สเปิร์มของคนผิวขาว เพราะเชื่อว่าลูกผสมจะฉลาดกว่าและหน้าตาดีกว่า แต่ก็ยังนิยมให้เป็นเด็กชาย
การที่ชาวจีนมีลูกคนที่สองเกิดในต่างประเทศ ก็ถือว่าผิดกฎหมายเช่นกัน แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลมีวิธีการเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะบังคับผู้ละเมิด ในกรณีที่ลูกเป็นพลเมืองของประเทศอื่น พ่อแม่จะต้องขอวีซ่าและขอใบอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศได้