ข่าว
โกลาหล ผู้โดยสาร-ลูกเรือ กว่า 300 คน ป่วยปริศนา บนเรือสำราญ Ruby Princess

ผู้โดยสารและลูกเรือกว่า 300 คนล้มป่วยปริศนา บนเรือสำราญ Ruby Princess ขณะล่องทะเลแคริบเบียน เท็กซัส-เม็กซิโก เบื้องต้น ยังไม่ทราบสาเหตุ

เมื่อ 10 มี.ค. 2566 สื่อต่างประเทศรายงาน เกิดเหตุผู้โดยสารและลูกเรือรวมแล้วกว่า 300 คน ล้มป่วยปริศนา บนเรือสำราญ Ruby Princess (รูบี ปรินซ์เซส) ที่กำลังพาผู้โดยสารนับ 2,881 คน ล่องเรือท่องเที่ยวชมทัศนียภาพที่สวยงามในทะเลแคริบเบียน จากรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงเม็กซิโก ระหว่างวันที่ 26 ก.พ. จนถึง 5 มีนาคม ที่ผ่านมา

ตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่า มีผู้โดยสาร 284 คนจากจำนวนผู้โดยสารบนเรือสำราญ “รูบี ปรินซ์เซส” 2,881 คน หรือคิดเป็นเกือบ 10% ล้มป่วย ขณะที่มีลูกเรือ 34 คนจากลูกเรือทั้งหมด 1,159 คน หรือคิดเป็น 3% ล้มป่วยปริศนา มีอาการอาเจียน และท้องเสีย แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร ที่ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือกว่า 300 คนเหล่านี้ล้มป่วย

หลังพบว่ามีผู้โดยสารจำนวนหนึ่งล้มป่วย ทางลูกเรือได้ประกาศให้ผู้โดยสารที่มีอาการป่วยรีบแจ้งต่อลูกเรือ ในขณะที่ลูกเรือได้มีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ รวมทั้งเก็บตัวอย่างอุจจาระ เพื่อนำส่งห้องแล็บของ CDC ในการตรวจหาเชื้อ

ในขณะที่โฆษกของเรือสำราญ รูบี ปรินซ์เซส กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ช่อง CBS News ว่า ดูเหมือนสาเหตุที่ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือกว่า 300 คนล้มป่วยเพราะเชื้อโนโรไวรัส และลูกเรือได้แนะนำให้ผู้โดยสารที่มีอาการป่วยแยกตัวจากพื้นที่ส่วนรวม อยู่แต่ในห้องพัก

ตามข้อมูลของ CDC ระบุว่า เชื้อโนโวไวรัส (Norovirus) เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อกันได้ง่าย ทำให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร สามารถระบาดได้ง่ายและรวดเร็วแม้ร่างกายได้รับเชื้อในปริมาณเพียงเล็กน้อย โดยเชื้อโรคที่เกี่ยวข้องกับการก่อให้เกิดอาการท้องเสียบนเรือสำราญนั้น พบว่ากว่า 90% เกิดจากการติดเชื้อโนโรไวรัส

ด้าน นักระบาดวิทยา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อนามัยสิ่งแวดล้อม และเจ้าหน้าที่ CDC ในสหรัฐฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือบนเรือสำราญลำนี้ ล้มป่วยปริศนา ขณะที่เรือสำราญ

รูบี ปรินซ์เซส แล่นกลับมาที่เมืองกัลเวสตัน รัฐเท็กซัส โดยยังไม่แน่ชัดว่า มีผู้โดยสารป่วยหนักจนต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลหรือไม่

ที่มา : Metro

ไม่พลิกโผ สี จิ้นผิง ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัย 3 ตามคาด

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนเป็นสมัยที่ 3 อย่างเป็นทางการในวันนี้ โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งอีก 5 ปี ทำให้เขากลายเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจมากที่สุดของจีน

สี จิ้นผิง ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางอย่างเป็นเอกฉันท์ ในการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ชุดที่ 14 ซึ่งกำลังประชุมอยู่ในกรุงปักกิ่งขณะนี้ โดยสมาชิกของสภาประชาชนแห่งชาติจีนเกือบ 3,000 คน ลงคะแนนเสียงอย่างเป็นเอกฉันท์ให้นายสี จิ้นผิง วัย 69 ปี ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปเป็นสมัยที่ 3 โดยที่ไม่มีคู่แข่งคนอื่น

ขณะที่นายจ้าว เล่อจี้ วัย 66 ปี ได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการถาวรประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติคนใหม่ ส่วนนายหาน เจิ้ง วัย 68 ปี เป็นรองประธานาธิบดีจีน สำหรับการลงคะแนนเสียงครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงและใช้การนับคะแนนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 นาที นอกจากนี้นายสี ยังได้รับคะแนนเสียงอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการกลางด้านการทหารเป็นสมัยที่ 3 ด้วย

ทั้งนี้ การที่นายสีได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 3 จะทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดของจีน หลังจากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2018 เพื่อยกเลิกข้อจำกัดการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนสองสมัย โดยมีการปูทางการสืบทอดอำนาจของนายสี ตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังจากนายสีได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เป็นสมัยที่ 3 ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 และหลังจากนี้อีก 2 วัน นายสี จิ้นผิง จะมีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในคณะรัฐมนตรีของจีน ซึ่งคาดว่านายหลี่ เค่อเฉียง น่าจะได้นั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ที่มา : แชนแนลนิวส์เอเชีย


คิม จอง อึน สั่งกองทัพเกาหลีเหนือ ซ้อมรบเข้มข้นขึ้น เสมือนเกิดสงครามจริง

คิม จอง อึน สั่งกองทัพเกาหลีเหนือซ้อมรบเข้มข้นขึ้น เสมือนกับเกิดสงครามจริง หลังวันก่อนเพิ่งพาลูกสาวคนโปรดไปดูซ้อมยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้

เมื่อ 10 มี.ค. 2566 รอยเตอร์รายงาน สำนักข่าว KCNA ของเกาหลีเหนือ ออกแถลงการณ์

คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีออกคำสั่งให้กองทัพเกาหลีเหนือจัดซ้อมรบอย่างเข้มข้นขึ้น เพื่อรับมือและตอบโต้ฝ่ายข้าศึก เสมือนกับเกิดสงครามขึ้นจริงหากมีความจำเป็น ซึ่งถือเป็นความคลื่อนไหวทางทหารล่าสุดโดยคำสั่งของผู้นำเกาหลีเหนือ ท่ามกลางการเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. ที่ผ่านมา คิม จอง อึน ได้พาลูกสาวคนโปรดไปเฝ้าชมการซ้อมยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ของเกาหลีเหนือ ที่ยิงไปตกในทะเลนอกชายฝั่งทางตะวันตก ในขณะที่กองทัพเกาหลีใต้ระบุว่าการซ้อมยิงขีปนาวุธในครั้งนี้ของเกาหลีเหนือทำให้มีการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่เกาหลีเหนือจะมีการซ้อมยิงขีปนาวุธหลากหลายชนิดอย่างต่อเนื่องไปตกในบริเวณเดียวกันนี้

ขณะที่สำนักข่าว KCNA กระบอกเสียงทางการเกาหลีเหนือ ยังแจ้งว่า หน่วยทหารในภารกิจจู่โจม ได้ซ้อมระดมยิงขีปนาวุธที่ทรงประสิทธิภาพไปตกยังเป้าหมายในทะเล เพื่อสาธิตให้เห็นถึงศักยภาพในการตอบโต้ของเกาหลีเหนือในยามเกิดสงครามขึ้นจริง


“กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3” ทรงสถาปนา “เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด” เป็น “ดยุกแห่งเอดินบะระ”

สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงแต่งตั้ง เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและพระชายา ดำรงพระอิสริยยศ “ดยุกและ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ”...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ว่า สำนักพระราชวังบักกิงแฮม ออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันคล้ายประสูติ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ว่า ประมุขแห่งสหราชอาณาจักร ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนา เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด และโซฟี พระชายาในเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดำรงพระอิสริยยศ ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินบะระ

ทั้งนี้ ดยุกแห่งเอดินบะระ เป็นพระอิสริยยศเดิมของเจ้าชายฟิลิป พระราชบิดาในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด โดยเจ้าชายฟิลิปทรงดำรงพระอิสริยยศดังกล่าว นับตั้งแต่ทรงเสกสมรสกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อปี 2490 จนกระทั่งพระองค์สิ้นพระชนม์ เมื่อปี 2564

ขณะที่พระพระอิสริยยศ เอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ ซึ่งเป็นพระอิสริยยศเดิมในเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระโอรสใน ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินบะระ ให้ดำรงพระอิสริยยศดังกล่าว คือ เจมส์ เอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ ส่วนพระเชษฐภคินีของเอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ คือ เลดี หลุยส์ วินด์เซอร์

อนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงมีพระบรมราชโองการ สถาปนา เจ้าชายวิลเลียม พระราชโอรส และแคทเธอรีน พระชายา ดำรงพระอิสริยยศเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ และ ดยุกและดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ ซึ่งเป็นพระอิสริยยศเดิมของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา

เว็บเดอะ เทเลกราฟ ของอังกฤษอ้างแหล่งข่าวในราชสำนักเปิดเผยว่า สำนักพระราชวังบักกิงแฮมกำลังเตรียมงานไว้พร้อมสำหรับ เจ้าชายแฮร์รี และ ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ หรือ เมแกน มาร์เคิล พระชายา เสด็จร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรที่จะมีขึ้นวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ในกรุงลอนดอน แม้ว่าเจ้าชายแฮร์รี และพระชายา ยังไม่ให้คำตอบว่าจะเสด็จมาร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 หรือไม่

แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า การเตรียมพร้อม จัดเตรียมทุกอย่างสำหรับแขกที่ไม่มานั้น ‘ง่ายกว่า’ การเพิ่ม หรือแทรกแขกเหล่านั้นเข้าไปภายหลัง และว่าตอนนี้ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องระบบการขนส่ง เดินทาง กำลังดูแลเรื่องนี้ และเป็นที่เข้าใจได้ว่า เจ้าชายแฮร์รี และดัชเชสเมแกน กำลังชั่งใจถึงการเดินทางที่น่าเป็นไปได้ โดยการจัดเตรียมระบบรักษาความปลอดภัยเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งของการพิจารณา

แหล่งข่าวในวัง เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กรมวังที่ดูแลเรื่องงานพระราชพิธีต่างๆ ของราชวงศ์ ได้รับคำแนะนำให้คิดล่วงหน้าไว้ก่อนว่า เจ้าชายแฮร์รี และพระชายาจะเสด็จมาร่วมงาน “เจ้าชายแฮร์รี และ ดัชเชสเมแกน ถูกจัดเตรียมไว้ในแผนงานทุกอย่าง ทั้งเรื่องรถยนต์พระทีนั่ง ตำแหน่งที่นั่ง และในงานเลี้ยงตอนค่ำ ในทุกๆ อย่าง ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทั้งสองพระองค์จะตอบรับหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างทำงานบนความคาดหวังว่า ทั้งสองพระองค์จะมา การจัดเตรียมงานทุกอย่างต้องเตรียมพร้อมไว้อย่างดีล่วงหน้า ”

เดอะ เทเลกราฟ ระบุว่า เจ้าชายแฮร์รี พระชายา มีความกังวลว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างไรจากประชาชนชาวอังกฤษ และสมาชิกราชวงศ์ หลังจากออกมาพูดถึงเรื่องราวขัดแย้งกับสมาชิกราชวงศ์หลายเรื่องใน สแปร์ (Spare) หนังสือบันทึกความทรงจำ แต่ดูจากการสนทนาที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง มีแนวโน้มว่า เจ้าชายแฮร์รี และพระชายาจะเสด็จมาร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ คิงชาร์ลส์ที่ 3 มากกว่าไม่มา

สื่อดังของอังกฤษ ยังว่า หากเจ้าชายแฮร์รี และดัชเชสเมแกน มาร่วมพระราชพิธีฯ ทั้งสองพระองค์สามารถประทับที่ตำหนักฟร็อกมอร์ ในบริเวณพระราชวังวินด์เซอร์ ที่เพิ่งถูกคิงชาร์ลส์ที่ 3 ขับไล่ออกไป ทั้งนี้เพราะคิงชาร์ลส์ที่ 3 ทรงให้พระโอรสองค์เล็ก และพระสุณิสาองค์รอง (ลูกสะใภ้) ยังเข้าประทับที่ตำหนักฟร็อกมอร์ได้ถึงช่วงต้นซัมเมอร์นี้ หรือราวต้นเดือนมิถุนายน-สิงหาคม

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES...(เอพี)


รัสเซียคอนเฟิร์ม ยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกชุดใหญ่ถล่มยูเครน

กองทัพรัสเซียยืนยัน การยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง “จำนวนหนึ่ง” เพื่อทำลาย “เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ทหาร” ของยูเครน ภายในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ว่า พล.ต.อิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซีย กล่าวว่า กองทัพรัสเซียใช้อาวุธโจมตีนำวิถีระยะไกล จากทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง หรือ ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก “คินชัล” หลายลูก ทำลายเป้าหมายที่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางทหาร” ในพื้นที่หลายแห่งของยูเครน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา...

ขณะที่ข้อมูลจากกองทัพยูเครน ระบุเพิ่มเติมว่า ปฏิบัติการทางทหารดังกล่าวของรัสเซีย เป็นการยิงขีปนาวุธ 81 ลูก ในจำนวนนี้ 6 ลูก เป็นขีปนาวุธคินชัล ซึ่งสามารถหลบหลีกระบบป้องกันทางอากาศของกองทัพยูเครน ถือเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพรัสเซีย นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา...

ทั้งนี้ กองทัพยูเครนอ้างว่า ระบบป้องกันสามารถยิงสกัดขีปนาวุธรุ่นอื่นของรัสเซียได้ 34 ลูก และอากาศยานไร้คนขับ ( โดรน ) “ชาเฮด” อีก 6 ลำของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม มีรายงานผู้เสียชีวิตในยูเครนอย่างน้อย 11 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 20 คน นอกจากนี้ บ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนได้รับความเสียหายหลายสิบรายการ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซาโปริชเชีย ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป ประสบปัญหาขัดข้องนานหลายชั่วโมง

ปัจจุบัน รัสเซียยึดครองดินแดนในยูเครนได้แล้วเกือบ 20% และมีเป้าหมายต่อไป คือ เมืองบัคมุต ที่อยู่ในภูมิภาคดอนบาส ซึ่งเป็นพื้นที่ขัดแย้งทางตะวันออก แม้บัคมุตไม่ใช่เมืองขนาดใหญ่ แต่รัสเซียถือว่า มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากเป็นเส้นทางหลัก เชื่อมต่อไปยังเมืองใหญ่กว่าที่อยู่ใกล้กัน คือ ครามาทอร์สค์ และสโลเวียนสค์ นอกจากนี้ เมืองบัคมุต ซึ่งเป็นเมืองเอกของภูมิภาคบัคมุต เป็นแหล่งเหมืองเกลือและยิปซัมที่สำคัญของยูเครนด้วย

เครดิตภาพ : REUTERS...

‘เทสลา’ ประกาศสงครามหั่นราคารถหลายรุ่น หวังผงาดเป็นเจ้าแห่งวงการรถยนต์

บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก เริ่มแผนการลดราคารถรุ่นต่างๆ ภายในปีนี้ สร้างแรงกดดันแก่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นๆ รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วไปอย่าง ฟอร์ด และ จีเอ็ม ด้วย

ตั้งแต่กลางเดือน ม.ค. เป็นต้นมา บริษัท เทสลา มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายสำคัญของโลก ประกาศลดราคารถเก๋งซีดานรุ่น ‘Model 3’ ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ขายดีที่สุดของบริษัท ลงไปราว 6.4% เหลือเพียง 43,990 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.54 ล้านบาท) ในสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ยังเริ่มหั่นราคารถรุ่นเบสิกอย่าง Model Y รุ่นเอสยูวี ให้เหลือเพียง 52,990 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.85 ล้านบาท) ซึ่งถูกลงกว่าราคาเดิมถึง 20%

เทสลา ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น แต่ยังประกาศลดราคาเพิ่มเติมใน Model S รุ่นซีดาน และ Model X รุ่นเอสยูวี จากที่เคยลดมาแล้วในเดือน ม.ค. ทำให้ราคาของ Mdel S ตอนนี้อยู่ที่ 89,990 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.15 ล้านบาท) ซึ่งถูกลงกว่าเดิมถึง 14% ขณะที่ Model X เหลือเพียง 99,990 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.5 ล้านบาท) ซึ่งถูกลงกว่าราคาเก่า 17%

การเคลื่อนไหวเพื่อหั่นราคารถของ เทสลา ทำให้ ฟอร์ด มอเตอร์ส ต้องขยับตาม โดยประกาศลดราคารถอีวีรุ่น Mustang Mach-E ราว 1-8.8%

การหั่นราคาอย่างดุเดือดของ เทสลา มีเป้าหมายเพื่อตัดราคารถคู่แข่งและเพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด การลดราคาเพื่อให้ลงไปแข่งในตลาดรถซีดานและรถเอสยูวีทั่วไปได้ด้วยนั้น ส่อแววว่า เทสลา ต้องการเป็นเจ้าตลาดของวงการอุตสาหกรรมรถยนต์โดยรวม ไม่ใช่เป็นเพียงเจ้าพ่อของวงการรถยนต์ไฟฟ้า

อีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัท เทสลา เชื่อว่าการลดราคาจะช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้มองว่า รถของเทสลามีราคาที่เกินเอื้อม แต่ตอนนี้อยู่ในระดับที่พอซื้อหาได้

แม้จะมีผลข้างเคียงในแง่ลบของแผนการนี้ ก็คือความไม่พอใจของลูกค้าที่ซื้อรถไปก่อนหน้าที่จะมีการลดราคา เทสลา ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปกับแผนการผลิตรถรุ่นใหม่ๆ ที่มีระดับราคาที่คนทั่วไปซื้อหาได้ โดยเฉพาะ Model 2 ซึ่งคาดว่าจะเคาะราคาที่ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 875,225 บาท)

อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นของเทสลาหลายรายแสดงความผิดหวัง เมื่อบริษัทไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดของ Model 2 ในวันประชุมผู้ถือหุ้นที่เพิ่งผ่านไป ขณะที่นักวิเคราะห์ตลาดบางรายเชื่อว่า จะยังไม่มีการปล่อยรถรุ่นนี้ลงสู่ตลาดก่อนปี 2568 โดยมีความเห็นว่า รถ Model 2 รุ่นราคาประหยัด ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะเอาชนะตลาดมวลชนของ เทสลา ด้วยราคาที่ต่ำกว่างบประมาณ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่ถึง 1 ล้านบาท รถ Model 2 อาจกลายเป็น “ห่านไข่ทองคำ” ของบริษัทในอนาคต...

แหล่งข่าว : businessinsider.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES ...