จากกรณี น.ส.กวิศรา ณ กาฬสินธุ์ อายุ 25 ปี ลูกสาว อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้าแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ โดยระบุว่า ถูกดาราสาว ชื่อย่อ ด. ที่รับบทนางร้ายในละคร ทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บ เหตุเกิดที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ เมื่อวันเสาร์ที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณตีสอง โดยตัวเองเดินอยู่ในผับดังกล่าว ก่อนเดินไปชนกับ ดาราสาวคนนี้ ซึ่งรู้จักกันเพียงว่าเป็นเพื่อนของเพื่อน จากนั้นก็ทะเลาะมีปากเสียงกันรุนแรง ทำร้ายร่างกาย จนตัวเองบาดเจ็บ และแยกย้ายกันไป
ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 12 ต.ค. ที่ MADDOX HOUSE STUDIO ชั้น 2 โครงการ PARC39 ซอยพร้อมศรี 1 สุขุมวิท 39 “ดิว-อริสรา” ได้ตั้งโต๊ะชี้แจงเกี่ยวกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้น โดยกล่าวว่า ดาราสาวดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์ ได้แถลงข่าวเปิดใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กล่าวว่า จากกระแสข่าวทั้งหมดมันคงเป็นไปไม่ได้นอกจากดิว ทุกคนคงรู้สึก ว่า ดิวเป็นคนทำ แต่เหตุการณ์จริงๆ ไม่ใช่แบบนั้น เริ่มจากเหตุการณ์ทั้งหมด ดิว ออกไปเที่ยวเจอเพื่อน วันเกิดเหตุเดินไปเข้าห้องน้ำ โดยมีรุ่นพี่ 2 คน รุ่นน้อง 2 คน ซึ่งที่แคบก็จะมีการเบียดผลักกันอยู่แล้ว พอโดนชนไม่ได้คิดอะไรก็ผลักแล้วหันไปคว้ามือรุ่นน้องข้างหลัง โดยระหว่าง ดิว หันไปคว้ามือรุ่นน้องโดยหันหลัง ซึ่งขณะนั้นกลับโดนจิกหัวจนก้มหน้าเหมือนกดหัวลงไป ซึ่งเด็กคนนี้เคยเจอหน้ากันแต่ไม่เคยมีปัญหากัน เป็นเพื่อนกับรุ่นน้องของดิวด้วยซ้ำ ซึ่งตามสัญชาติญาณ เมื่อโดนจิกและกดหัวก็ต้องมีกัน มีมือผลักออกไป
“ขณะเกิดเหตุมีบอดี้การ์ด 8-9 คน เข้ามาล้อม ซึ่งมีทั้งบอดี้การ์ดของร้านและน้องคนนั้น เข้ามาล้อม แต่ไม่มีใครช่วยดิวเลย ส่วนเพื่อนโดนการ์ดกันออกไปหมด โดยไม่มีใครช่วยดิวได้เลย ดิว โดนจิกหัว จนก้มลงและโดนกระชากแขน มีแผล มีรอยเขียวๆ อยู่ ซึ่งรุ่นน้องถ่ายรูปรอยไว้ให้ พอบอดี้การ์ดเข้ามาเกี่ยว ทำให้ตัวดิวช้ำไปหมด ระหว่างนั้น มีรุ่นน้องดิวที่เป็นผู้ชาย กระโดดเข้ามาช่วยไว้บอกให้ปล่อย ซึ่งตอนนั้นดิว ปล่อยเค้าแล้ว โดยรุ่นน้องดิว กัดแขนจนเขายอมปล่อย ยอมรับ ว่า ได้ตะโกนออกไป ว่า มึงเปรี้ยวมากเหรอ เก๋ามากเลยเหรอ ยอมรับว่าฉุน เพราะไม่ได้ทำก่อน และเจ็บ หลังจากที่การ์ดกัน เขาชี้หน้าเราว่า มึงทำไมๆ บอดี้การ์ดเริ่มเห็นแล้วว่า จะมีเรื่องกัน เลยพยายามเคลียร์ให้ เขายังส่งนาฬิกาให้คนข้างๆ และพูดว่า “เก็บโรเล็กซ์กูไปสิ” และตะโกนท้ากันว่ามาเลย ”
“ระหว่างนั้น พอเริ่มเห็นหน้ากัน จึงรู้ว่าเป็นรุ่นน้องคนที่เราเคยรู้จัก และเขาก็น่าจะเห็นว่าเป็นเรา เป็นธรรมดา ที่เห็นว่าเป็นเด็กกว่า เราก็ไม่พอใจ ว่า เด็กกว่าแล้วทำแบบนี้ บอดี้การ์ด เห็นว่าจะมีเรื่องกัน จึงไล่ให้กลับไปก่อน ซึ่งเด็กคนนั้น ยังไม่พอใจบอกว่า “มึงจำไว้นะเมิงไล่กูเหรอ เราจบกัน” และก่อนกลับไป เขายังตะโกนใส่เราว่า “เดี๋ยวมึงเจอพ่อกูแน่ เดี๋ยวกูจะเอาพ่อกูมาเล่นพวกมึง” ซึ่งข่าวออกไปว่า เราข่มขู่เขา แต่เราโดนข่มขู่ไม่ใช่เหรอ ซึ่งเวลาเราไปเที่ยวไม่มีบอดี้การ์ดไปด้วยเลย”
“หลังจากจบเหตุการณ์คืนนั้น รุ่นน้องที่ดิว รู้จักได้โทรมาหาทันที ว่า พี่ดิว อย่าไปอะไรเขาเลย เพื่อนเขาเมา ยังได้ตอบกลับไปว่า “น้อง เพื่อนน้องเด็กกว่าต้องเป็นคนขอโทษดิวสิ” ซึ่งหลังจากนั้น มีความพยายามติดต่อกลับมาหาดิว ผ่านเพื่อนหลายรอบด้วยกัน ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ เขาฝากข้อความมาว่า เขาขอโทษ”
“ก่อนที่จะขอโทษมีการนัดดิว รอบที่ 3 เพื่อนัดมาเจอกัน เพื่อเคลียร์กัน ซึ่ง คำว่าเคลียร์ ไม่ได้นัดเพื่อไปทำร้ายเขา แต่เพราะเราเคยเจอหน้ากัน แค่อยากรู้ว่า ทำไมถึงทำเราได้ ไม่มีการจะนัดกันมาเพื่อจะทำร้ายอะไร อยากให้ใช้วิจารณญาณว่า ถ้านัดเจอกันแล้วเราไปทำร้ายเขา ถือว่าดิว โง่ มาก ที่จะไปทำเพื่อตอกย้ำเรื่องราวที่เราทำมาในอดีต เคลียร์ ของเรา หมายถึงการคุยกันหลังจากเขามีสติแล้ว เพราะเขาเป็นคนละคนจากก้าวร้าวเป็นเด็กที่นอบน้อม ซึ่ง ดิว มีบทเรียนว่าทำอะไรโดยขาดสติมันมีผลกระทบกับชีวิต”
“ถ้าดิว ผิด จริง น้องจะขอเคลียร์กับดิว ทำไม และ งง ว่า ทำไมเขาถึงทำกับเราแบบนี้ สำหรับตัวดิวเองนั้น คนเรามันผิดพลาดได้และเปลี่ยนแปลงได้ สังคมต้องโอกาสกันบ้าง ดิว ไม่เคยไม่ยอมรับความจริง ถ้าเรื่องนี้ดิว เคยทำดิว ก็จะยอมรับ แต่อย่าเอาสิ่งที่ดิว เคยทำมาขยี้ดิว ตลอดเวลา ถ้าเป็นดิว เมื่อก่อนคงไม่รอถึงวันนี้”
“ถ้าเขาขอโทษดิว ดิวก็ไม่รู้จะเอาโทษอะไรเขา ซึ่งดิว ก็ยัง งง ว่า ทำไมกลายเป็นดิวผิดได้ ที่นัดเจอ เพราะอยากเคลียร์ ด้วยเพราะไม่อยากต้องไปเจอหน้ากันที่ไหน แล้วตึงใส่กัน เป็นเหตุผลที่ เราได้นัดเคลียร์กัน แต่กลายเป็นว่า เราถูกแจ้งความว่า เราทำร้ายและข่มขู่ ซึ่งเรามีหลักฐานต่างๆ”
“เรื่องนี้ ไผ่ วันพอยท์ ไม่พอใจอยู่แล้ว แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงเคลียร์กัน แต่หากดิว เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เขาก็จะมาช่วย แต่ดิว คิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของเด็กที่ดื่มเข้าไป คิดแค่ว่า ถ้าเราขอโทษกันก็จบ ยอมรับว่า งง ว่า น้องทำอะไรอยู่ ซึ่งสำหรับตัวดิว เราจบตั้งแต่เราอภัยให้เขาแล้ว ส่วนเขาจะขอโทษหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่เขา ทุกอย่างรู้อยู่แก่ใจ คำขอโทษก็แค่คำๆ หนึ่ง ถ้าน้องคิดไม่ได้ก็แล้วแต่ ”
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อย่างหาที่สุดมิได้ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของสยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และสยามพารากอน ร่วมร้อยดวงใจชาวไทยเป็นหนึ่งเดียว จัดกิจกรรมพิเศษ “ใต้แสงแห่งพระบารมี” เนื่องในวันครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต 13 ต.ค. 2560
และภายในงานได้มีการเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยร่วมยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 89 วินาที ในเวลา 15.52 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต พร้อมร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีให้ดังกึกก้องในหัวใจคนไทย ซึ่งถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ประชาชนชาวไทยจะได้แสดงความจงรักภักดีแด่พระองค์ท่านก่อนถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยเรื่องราวของพระองค์ท่านจะสถิตอยู่ในใจของปวงชนชาวไทยตราบนิจนิรันดร์
ภายในงานได้รับเกียรติจากผู้บริหารบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด พร้อมด้วยผู้ประกาศข่าวช่อง 9 MCOT HD อาทิ วศิน บุณยาคม, กีรติ ศุภดิเรกกุล และ สมประสงค์ ศรีบัว ร่วมด้วยศิลปิน ดารา อาทิ แพนเค้ก เขมนิจ, จ๊ะจ๋า พริมรตา, ตุ๊กกี้ สุดารัตน์, นนท์ ธนนท์, เบสท์ The Voice, ท๊อฟฟี่-บ๊อบบี้ วง 3.50 บาท ฯลฯ มาร่วมแสดงความอาลัยและน้อมสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
นอกจากนี้ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมชมพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยผลงานสุดวิจิตรสร้างสรรค์จากศิลปิน ชื่อดังของเมืองไทย ซึ่งติดตั้งเพื่อให้ประชาชนได้ชมและร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเพื่อแสดงความอาลัยและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เริ่มตั้งแต่วันนี้-29 ตุลาคม 2560 ณ พาร์ค พารากอน ชั้น M สยามพารากอน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-610-8000.
วันที่ 13 ต.ค. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงโพสต์ข้อความในอินสตาแกรมส่วนพระองค์ ระลึกถึงวันครบรอบวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครบ 1 ปี
โดยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงโพสต์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แล้ว ระบุว่า “วันนี้…เมื่อปีก่อน #พ่อของพวกเราเสด็จสู่สวรรคาลัย ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์”
โลกโซเชียลมีการแชร์ภาพและเรื่องราวสุดประทับใจ โดยสมาชิกเฟซบุ๊ก พรรษประเวศ พลอยสีสุข ได้โพสต์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “เมื่อเวลา 09.20 (12 ต.ค.) ผมมีคนไข้ฉุกเฉิน บนรถ ระหว่างทางนำส่งได้ เจอกับ ขนวบรถพระที่นั่งของสมเด็จพระเทพฯ ด้วยมีรถติดตาม 10 กว่าคัน แต่รถท่านทรง เบี่ยงซ้ายและ เปิดทางให้กับ รถพยาบาล ของผม ด้วยให้ไปก่อน ผมพูดอะไรไม่ออก #ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
โดยผู้โพสต์ได้เปิดเผยว่า ในวันดังกล่าวได้ไปรับผู้ป่วยย่านประชานิเวศน์ 1 เพื่อนำส่ง รพ.รามาธิบดี โดยผู้ป่วยมีขาดอ๊อกซิเจน จึงมีการเปิดไฟและเสียงไฟเรน ระหว่างทางจะถึงโรงพยาบาล ขณะนั้นเจอขบวนรถพระที่นั่งแต่ไม่มีการปิดถนนแต่อย่างใด โดยมีสัญญาณจากรถคันที่ 4 ในรถขบวน โบกให้รถพยาบาลไปก่อน ระหว่างผ่านรถขบวนได้เห็นตราสัญลักษณ์บริเวณหลังรถจึงทราบว่าเป็นขบวนรถของพระองค์ใด ซึ่งตนรู้สึกปลื้มปิติในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
รัฐบาลสหรัฐฯ ทำยูเนสโก ผิดหวัง...ออกแถลงการณ์ขอถอนตัวจากการเป็นสมาชิกยูเนสโก ชี้ยังคงดำเนินนโยบายที่มีอคติกับอิสราเอล แต่จะมีผลบังคับ สหรัฐฯ สิ้นสุดการเป็นสมาชิกยูเนสโกสิ้นปีหน้า
กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2560 (ตามเวลาท้องถิ่น) ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แจ้งไปยังนางอิรินา โบโคว่า ผู้อำนวยการใหญ่แห่งองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO (ยูเนสโก) เพื่อขอถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของยูเนสโก และสหรัฐฯ จะจัดตั้งคณะสังเกตการณ์ถาวร ขึ้นมาทำหน้าที่แทนคณะทำงานเดิมที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐฯ ประจำสำนักงานใหญ่ของยูเนสโกในกรุงปารีส
แถลงการณ์ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งออกโดย Heather Nauert โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังระบุด้วยว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจขอถอนตัวจากการเป็นสมาชิกยูเนสโก เนื่องจากมีความกังวลต่อหนี้สินที่มากขึ้นของยูเนสโก, ความจำเป็นในการปฏิรูปองค์กรจากฐานราก รวมทั้งการดำเนินนโยบายของยูเนสโกที่ยังคงมีอคติต่ออิสราเอล
สหรัฐฯ ได้แจ้งต่อผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกแล้วว่า สหรัฐฯ จะยังคงเกี่ยวข้องกับยูเนสโกในฐานะผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก เพื่อแสดงความเห็นของสหรัฐฯ รวมทั้งมุมมอง และความชำนาญในประเด็นสำคัญบางประการที่ดำเนินการโดยยูเนสโก รวมทั้งการปกป้องรักษามรดกโลก , การเกื้อหนุนเสรีภาพของสื่อมวลชน ตลอดจนการส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษา
อย่างไรก็ดี ตามมาตรา 2(6) ของธรรมนูญยูเนสโก ทำให้การขอถอนตัวจากสมาชิกยูเนสโกของสหรัฐฯ นั้น จะมีผลบังคับในวันที่ 31 เดือนธันวาคม 2018 ซึ่งทำให้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของยูเนสโกจนถึงวันดังกล่าว
บีบีซีรายงานวันที่ 13 ต.ค. ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา แถลงว่าเจ้าหน้าที่สหรัญอเมริกาพร้อมด้วยทหารของปากีสถานบุกช่วยคู่สามีภรรยาชาวอเมริกันและชาวแคนาดาที่ถูกกองกำลังตาลิบันลักพาตัวไปมานาน 5 ปี พร้อมลูกเล็กๆ 3 คนได้แล้ว
ตัวประกันคู่รักดังกล่าวชื่อ นายโจชัว บอยล์ ชาวแคนาดา และน.ส.เคตแลน โคลแมน ชาวอเมริกัน ทั้งสองประสบเหตุ ขณะเดินทางไปท่องเที่ยวแบบแบกเป้ ในอัฟกานิสถานเมื่อปี 2555
เจ้าหน้าที่ปากีสถานเปิดเผยว่า ทั้งหมดได้รับความช่วยเหลือระหว่างกองทัพสหรัฐในปากีสถานไปปฏิบัติการใกล้กับพรมแดนอัฟกานิสถาน ในจังหวะที่ตัวประกันถูกย้ายมายังเขตคูร์รัม ฝั่งปากีสถาน
เหตุการณ์นี้ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงกับกล่าวว่า จะเป็นเรื่องที่ช่วยปรับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับปากีสถานให้ดีขึ้น
“น.ส.โคลแมนให้กำเนิดลูก 3 คนระหว่างถูกจับเป็นตัวประกัน วันนี้ทั้งหมดเป็นอิสระแล้ว ความร่วมมือของรัฐบาลปากีสถานครั้งนี้เป็นสัญญาณขานรับความปรารถนาของสหรัฐที่อยากเห็นปากีสถานเพิ่มการทำงานด้านความมั่นคงในภูมิภาค” แถลงการณ์ทำเนียบขาวระบุ
ก่อนหน้านี้ คู่รักคู่นี้ถูกบันทึกภาพวิดีโอเผยแพร่ผ่านเครือข่ายฮักคานีของกลุ่มตาลิบัน โดยเมื่อเดือนธันวาคม เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่ามีลูกๆ สองคนอยู่ด้วย หลังจากทั้งสองถูกจับในขณะที่ฝ่ายหญิงตั้งครรภ์อยู่
หนังสือพิมพ์โทรอนโต สตาร์ของแคนาดา รายงานว่างลินดา บอยล์ พร้อมนายแพทริก แม่และพ่อของตัวประกันฝ่ายชาย ได้พูดคุยกับลูกทางโทรศัพท์แล้ว ดีใจมากที่ได้ยินเสียงลูกครั้งแรก ลูกและหลานของตนเฝ้ารอที่จะกลับมาพบพวกตนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ด้านรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวของสหรัฐว่า นายบอยล์ไม่ยอมขึ้นเครื่องของกองทัพสหรัฐ ขอรอเจ้าหน้าที่ทางการแคนาดาแทน เพราะกลัวว่าจะถูกสหรัฐจับไปดำเนินคดี จากที่ครั้งหนึ่งเคยแต่งงานกับหญิงสาวที่มีมุมมองสุดโต่งและหญิงคนนี้ยังเป็นน้องสาวของนักโทษคดีก่อการร้ายที่ถูกขังอยู่ที่เรือนจำกวนตานาโม
ครีสเทีย ฟรีแลนด์ รมว.ต่างประเทศแคนาดา กล่าวยืนยันว่านายโจชัวจะไม่ถูกสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทางการมุ่งเน้นช่วยให้ครอบครัวนี้ปลอดภัย เพราะทั้งหมดเผชิญเรื่องเลวร้ายมามากแล้วใน 5 ปีที่ผ่านมานี้ ต้องขอบคุณสหรัฐ อัฟกานิสถานและปากีสถานที่ช่วย
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012