ข่าว
'ชาคริต' เผยครั้งแรก! หลังหย่าขาด 'วุ้นเส้น'

ชาคริต แย้มนาม เปิดใจอย่างละเอียดครั้งแรก หลังมรสุมข่าวรักร้าว "วุ้นเส้น" วิริฒิพา ลั่นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและเลือกคนไม่ผิด

เก็บตัวเงียบหลังจากมีกระแสข่าวลือมากมายในเรื่องความสัมพันธ์ที่มาถึงทางตันของพระเอกไม้เลื้อย ชาคริต แย้มนาม กับ "วุ้นเส้น" วิริฒพา ภักดีประสงค์ว่าได้ยุติคำว่า "สามี-ภรรยา" เป็นที่เรียบร้อย โดยล่าสุดวันนี้ (9 ธ.ค.)วุ้นเส้นได้เปิดเผยแล้วว่า ตอนนี้ชีวิตโสดแฮปปี้ดี

ล่าสุด ได้มีโอกาสพบกับหนุ่มชาคริต เพื่ออัพเดทชีวิตที่ผ่านมา ณ ร้าน KRitchen by ครัวแล้วแต่คริต โดยชาคริตเปิดใจให้ฟังดังนี้

"สภาพจิตใจตอนนี้ผมโอเคนะ ชีวิตเราก็ต้องดำเนินต่อไป สุขทุกข์เสียใจมันต้องมีอยู่แล้วนะ ผมก็ยังหายใจอยู่ และผมก็มีสิ่งที่สำคัญที่ต้องดูแลแม่ เพราะว่าแม่ไม่ได้แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน มันอาจจะทำให้เราอ่อนแอไปบ้าง คือแม่เราป่วยแต่เราไม่ต้องป่วยตามไปด้วย แต่เป็นเราต่างหากที่ต้องเข้มแข็งและค่อยดูแลแม่ ถือว่าเราได้ตอบแทนคุณของแม่ (ที่ผ่านมาตั้งแต่มีกระแสข่าว หลายคนอยากฟังคำตอบจากปากชาคริตล่ะ) มันไม่มีอะไรนะ (ยิ้ม) ถามว่าผมอึดอัดไหม ในเรื่องนั้น มันไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่ว่าที่ผ่านมา ผมทำดีที่สุดแล้ว เราไม่มีอะไรจะว่าหรือติกันและกัน เนื่องจากว่ามันเป็นเรื่องของคนสองคน คือคนสองคนมาแต่งงานกัน ก็ต้องรักกันนะ" ชาคริตบอก

ถามถึง สถานะวันนี้ ใช้คำว่า"โสด"ได้ไหม พระเอกหนุ่มเผยว่า

"โสดนะ ผมบอกตลอดนะว่าใครเข้ามา ไม่ว่าจะเข้ามาเป็นเพื่อน หรือจะมาเป็นเพื่อนแล้วรู้สึกเปลี่ยนไป ใครที่เข้ามาแล้วเข้าใจเรา ผมขอขอบคุณนะ ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นคนนะ ไม่ใช่แค่วัตถุ ผมขอขอบคุณนะ เอาจริงๆ ผมอาจจะแข็งแรงกว่านี้ ผมไม่เคยสนใจข่าว เพราะทุกคนสบายดี แต่ว่าตอนนี้มันอาจจะจิตตกลงไปบ้าง เนื่องจากคุณแม่ ผมไม่ใช่คนที่ห่วงข่าวหรือสังคมนะที่ไม่ได้มารู้จักผม บ้างครั้งผมก็หยวนๆไป แต่ผมกังวลในเรื่องของคุณแม่มากกว่า (ถามว่าให้กำลังใจตัวเองอย่างไร)ผมคิดถึงแม่นะ " ชาคริตบอก

ถามต่อว่าการใช้ชีวิตหลังจากนี้จะยากขึ้นไหม ในเรื่องของความรัก

"ผมก็เป็นของผมแบบนี้นะ ผมใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ปกตินะ (ความรักที่มันไม่ประสบความสำเร็จทำให้เลือกมากขึ้นไหม) เรื่องแบบนี้ถ้ามันจะเกิด อย่าเรียกว่าคัดเลย ผมมีให้คัดเหรอ ผมนะเคยพูดเล่นๆ ว่าผู้หญิงเขาจะมาสนใจผมเหรอ (ยิ้ม) เอาจริงๆ สิ่งเหล่านี้มันต้องเปิดใจนะ แต่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้มีโมเม้นท์แบบนี้ ขอโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงนี้ก่อน ซึ่งบางทีข่าวจะว่าอย่างไรนั้น ก็ดีนะจะได้ไม่มีคนมายุ่งนะ ถ้าใครเข้ามาเขาคงอยากจะดูเราจริงๆ คิดไปคิดมาเราอยู่กับปัจจุบันนะ"ชาคริตบอก

ถามว่า ยังเชื่อว่าสักวันจะเจอรักแท้ไหม

"ผมยังศรัทธาและยังเชื่อ (ถึงแม้ว่ามันจะล้มเหลว)ผมไม่ได้รีบและคิดต่อนะ ตอนนี้คิดอย่างเดียวว่าตอนบั้นปลายชีวิต น่าจะบวชตลอดชีวิตนะ ผมโดนทักมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าตอนที่บวชเมื่อคราวที่แล้ว ทำให้กลับมาคิดถึงความพอดีของชีวิต แต่ว่ามันก็ยังไม่ได้นะ เพราะว่าเรามีคุณแม่ที่ต้องดูแล ถ้าจะไปบวชจริงๆ ทุกคนต้องสบาย อยู่ดี แต่ว่ามันเป็นแค่ความคิดมากกว่านะ ผมขอโฟกัสในความเป็นปัจจุบันทำให้ดีที่สุด ผมเคยใช้ชีวิตที่จมอยู่กับอดีต และมันไม่เป็นผลดีสำหรับเราเลย ทำให้เราไม่ก้าวไปข้างหน้า ชีวิตต้องเป็นไป"ชาคริตบอก

ณ วันนี้ยังติดต่อพูดคุยกันอยู่ไหม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปต่อกันแล้ว

"ก็มีดิ เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เรายังทำธุรกิจกันอยู่ (เจอกันแสลงใจไหม) ผมไม่เป็นนะ เขาเคยเป็นภรรยาผมนะ มันเป็นการตกลงกันของทั้งสองฝ่าย เขายังมีอะไรทำเยอะแยะ มีภาระที่ต้องทำ และยังมีชีวิตของเขา แล้วชีวิตผมก็มีเท่านี้ มีแม่ที่ต้องดูแล ผมไม่สามารถติดปีกมีอิสระอะไรมากมาย มันก็ไม่แฟร์สำหรับเขานะ บางทีเราเองก็ยังให้เขาไม่ได้ แต่เราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ แต่ว่ามันเป็น 5 ปีที่ผมมีความสุข ครั้งหนึ่งเราได้เลือกคนที่ไม่ผิดคน มันก็ใช่ และมันก็มาถึงจังหวะหนึ่งที่ต้องไป (โอกาสรีเทิร์นล่ะ)ไม่รู้นะ ผมทำวันนี้ให้ดีที่สุด ผมยึดหลักนี้มาตลอด ผมยึดมั่นกับศิลปะ ชีวิตผมกว่าจะมีวันนี้มันหักแหมาเยอะนะ"ชาคริตบอก

นายกฯ ชม 'ตูน บอดี้สแลม' วิ่งระดมทุนช่วยโรงพยาบาล

นายกฯ ชื่นชม "ตูน บอดี้สแลม" วิ่งระดมทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลบางสะพาน ยกเป็นความคิดที่สร้างสรรค์ของผู้ที่มีชื่อเสียงอยู่ในสังคม ทำการกุศลที่สิ้นเปลืองน้อยที่สุด

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.59 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืน" ว่า อยากให้ทุกคนและเยาวชน ได้น้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” ในเรื่องของคุณธรรม-จริยธรรม มาปฏิบัติ ขอบคุณ กอ.รมน.ร่วมกับเสถียรธรรมสถานปลูกฝังลูกหลานไทย นำเด็กๆทุกชาติ ทุกศาสนาที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยร่วมกันร้องเพลง “พระราชาในนิทาน” ที่แสดงถึงพระราชจริยวัตรอันงดงามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมชนกนาถ และทรงเป็นแบบอย่างที่ดี ให้กับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 แตกต่างจากการดำรงตนของพระราชาในเทพนิยายที่เด็กๆ คุ้นเคย พระองค์ทรงนั่งอยู่บนพื้นดินร่วมทุกข์กับประชาชน ทรงตรากตรำพระวรกาย เสด็จฯ ไปทุกหนแห่ง เพื่อดูแลพสกนิกรของพระองค์

อีกตัวอย่างของการ “ทำดีเพื่อพ่อ” ได้แก่ “โครงการก้าวคนละก้าว” ซึ่ง นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ในการวิ่งเพื่อระดมทุนจากผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ มาช่วยเหลือโรงพยาบาลบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ยังขาดแคลน โดยได้มีการออกวิ่งจากกรุงเทพฯ ไปอำเภอบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางรวม 400 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 10 ธ.ค.อาจติดขัดการจราจรอยู่บ้าง ก็ถือว่าช่วยกันแล้วกัน เพราะนอกจากจะเป็นการอุทิศแรงกาย แรงใจ ทำงานเพื่อสังคมแล้ว ยังเป็นการออกกำลังเป็นตัวอย่างให้กับเยาวชนและประชาชน เป็นความคิดที่สร้างสรรค์ของผู้ที่มีชื่อเสียงอยู่ในสังคม สำคัญเป็นการทำการกุศลที่สิ้นเปลืองน้อยที่สุด ใช้แรงกาย แรงใจ แต่ได้รับผลตอบรับมากที่สุด ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้


“ตูน บอดี้สแลม” วิ่งถึงอำเภอทับสะแก ขอปิดยอดบริจาคช่วย รพ. 55 ล้าน

“ตูน บอดี้สแลม” วิ่งถึงอำเภอทับสะแก โดยมีดาราสาว “ก้อย-รัชวิน” แฟนสาว วิ่งตามอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นห่วงหลังมีอาการบาดเจ็บบริเวณเอ็นร้อยหวาย พร้อมวอนประชาชนไม่วิ่งตัดขบวน และไม่เซลฟี่ ขณะที่ยอดบริจาควันนี้พุ่งไปที่ 50 ล้านบาทแล้ว แต่นักร้องหนุ่มยังอยากให้ประชาชนร่วมบริจาคเพิ่มเพื่อขอปิดยอดบริจาคที่ 55 ล้านบาท

(9 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าบรรยากาศการวิ่งการกุศลของ “ตูน บอดี้สแลม” หรือ นายอาทิวราห์ คงมาลัย นักร้องชื่อดัง พร้อมทีมวิ่งโครงการวิ่งการกุศล โครงการก้าวคนละก้าว เพื่อระดมทุนซื้ออุปกรณ์การแพทย์มอบให้โรงพยาบาลบางสะพาน อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเริ่มต้นออกวิ่งตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา มีกำหนดถึงโรงพยาบาลบางสะพาน ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ รวมระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร ซึ่งล่าสุด ยอดบริจาคล่าสุดขณะนี้พบว่ามียอดบริจาครวมทุกช่องทางทะลุ 50 ล้านบาท

โดยช่วงเย็นวันนี้ ตูน บอดี้สแลม ได้ออกวิ่งในช่วงที่ 4 จาก ปตท.ทับสะแก มุ่งหน้าหน่วยบริการประชาชนบ้านอ่างทอง ระยะทางวิ่ง 12.1 กม. โดยมีแฟนดาราสาว ก้อย รัชวิน วงษ์วิริยะ ร่วมวิ่งตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความเป็นห่วงนักร้องหนุ่ม เนื่องจากขณะนี้มีอาการบาดเจ็บเอ็นร้อยหวาย และช่วยประชาสัมพันธ์ไม่ให้ประชาชนวิ่งเข้ามาตัดขบวนนักวิ่งซึ่งอาจจะเป็นอันตรายทั้งสองฝ่าย และขอความกรุณาจากชาวบ้านไม่ถ่ายภาพเซลฟี่

รวมทั้งยังมีศิลปินชื่อดังอย่าง โน้ส อุดม แต้พานิช พิธีกรชื่อดัง น้าเน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ซึ่งมาสร้างสีสันร่วมวิ่งในชุดสูท โจอี้ PARADOX เมธี LABANOON พี่ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ และทีมอิไตรอิไตร

นอกจากนี้ ยังมีทั้งพ่อและแม่ของนักร้องหนุ่มมาคอยให้กำลังใจลูกชายตลอดทาง บรรยากาศตลอดทางยังคงมีประชาชนมารอให้กำลังใจ และร่วมบริจาคกันเป็นจำนวนมาก

ตูน บอดี้สแลม บอกว่า แม้ร่างกายจะมีอาการบาดเจ็บ แต่ก็มีกำลังใจดีเต็มเปี่ยม มั่นใจว่าจะวิ่งถึงบางสะพาน อย่างแน่นอน

สำหรับโครงการก้าวคนละก้าว นอกจากจะเป็นเครื่องมือสื่อสารส่งผ่านการช่วยเหลือไปยังโรงพยาบาลที่ขาดแคลนแล้ว ยังอยากให้เป็นการจุดประกายเรื่องการออกกำลังกายให้แก่เยาวชนอีกทางหนึ่ง

สำหรับตอนนี้ยอดบริจาคไปถึง 50 ล้านบาทแล้ว แม้จะเกินเป้าหมายที่วางไว้แต่แรก แต่ตนก็ยังอยากให้ประชาชนบริจาคกันเข้ามาเรื่อยๆ และขอปิดยอดบริจาควันสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ (10 ธ.ค.) ที่ 55 ล้านบาท เพื่อส่งมอบเงินบริจาคของประชาชนให้แก่โรงพยาบาลบางสะพาน เพื่อนำไปพัฒนาโรงพยาบาลให้ดีขึ้น


ปฏิบัติการล่า “ธัมมชโย” ขึงขังเพราะรู้ว่า “จั่วลม”

ฮึ่มกันแปลกๆ ถ้วนหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้บางคนสงวนเนื้อสงวนตัวแบบสุดๆ ตั้งแต่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ออกมาระบุว่า จะดำเนินคดีกับ “ธัมมชโย” อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเหมือนกับคนทั่วไป หรือพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจมีแผนการแล้ว หรือแม้กระทั่ง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ขู่ฟ่อหนักกว่าคนอื่นๆ เลยว่า จะไม่ให้ประกันตัว

สอดรับการ พ.ต.ท.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้รับผิดชอบโดยตรง ที่เผยมาตรการครั้งนี้ คือ 1.จะให้สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี นำ “ธัมมชโย” มามอบตัวเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และ2.หากไม่เข้ามอบตัวก็ให้เข้าร่วมการตรวจค้นวัดพระธรรมกายและจับกุม “ธัมมชโย” เนื่องจากไม่ประสงค์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ปิดทีวีช่อง DMC ของวัดพระธรรมกาย 15 วัน จนสำเร็จลุล่วงแล้ว

ดูอาการผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมด บอกเลยว่าหนนี้ขึงขังกว่าทุกครั้ง และเป็นน้ำเป็นเนื้อกว่าหนอื่นๆ มาตรการมีความเฉียบขาดขึ้น ไม่ใช้วิธีซ้ำๆ เดิมๆ ที่เข้าไปแล้วแป้กเหมือนที่แล้วมา เพราะติดกำแพงมนุษย์หลายชีวิต จนคนนินทาหมาดูถูกว่า ชาตินี้ไม่น่าจะจับ “ธัมมชโย” ได้แน่ๆ บางคนค่อนแคะหนักกันถึงขั้นว่า ชอบแอ็กชั่นสร้างปาหี่ให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่พยายาม

คราวนี้บิ๊กๆ ในรัฐบาลดูเอาจริงเอาจัง คงต้องรอดูกันว่า ที่สุดจะลาก “ธัมมชโย” ออกจากถ้ำได้หรือไม่ เพราะหนนี้คนเริ่มจับจ้องและคาดหวังกันไว้สูง เพราะอาณาจักรแห่งนี้ได้บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้ามานานนม แต่ไม่เคยมีใครทำอะไรได้ ด้วยเพราะรับรู้กันว่า คอนเนกชั่นกว้างขวาง ทุนหนา และแบ็กใหญ่ เข้าไปทีไรมักจะสะดุดเจอตัวทุกที ดูอย่างคราวที่แล้วละกัน ดีเอสไอ ตำรวจ หรือรัฐบาลยังต้องพับแผนเอาไว้ก่อน

ง่ายๆ คือ ถ้าไม่ใช่ยุค “รัฐบาลบิ๊กตู่” ที่มีอำนาจล้นฟ้า มีมาตรา 44 เป็นแก้วสารพัดนึก ใช้กฎหมายได้เฉียบขาด คงไม่มีทางจับ “ธัมมชโย” เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้แน่ๆ เพราะต้องยอมรับว่า ลูกศิษย์ลูกหาของวัดนี้ มีนักการเมืองระดับประเทศรวมอยู่ไม่น้อย บางคนห่มขาวเข้าไปร่วมกับเป็นเกราะกำบังกับเขาด้วย บางคนออกโรงปกป้องอย่างไม่ลืมหูลืมตา บางคนมีผลประโยชน์ร่วมกันกับวัด ถ้าจะให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งจัดการ น่าจะชาติหน้าตอนบ่ายๆ

ครั้งนี้น่าสนใจ แผนที่วางเอาไว้ดูมีความหวัง การปิดทีวีซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารทำให้ตัดกำแพงมนุษย์ออกไปได้เยอะ เพราะที่ผ่านมาถือเป็นช่องทางในการปลุกระดมหรือรวมพล แถมรอบนี้ดีเอสไอประสานขอกสทช.ไป แปบเดียวกสทช.อนุมัติเร็วอย่างกับจรวดโดยไม่ลังเล งานนี้มันเลยน่าจะมีการนัดแนะรู้เห็นกันแล้วสำหรับปฏิบัติการลาก “ธัมมชโย” ไม่ใช่แค่ทำโดยพละการหน่วยงานใดหน่วยงานเดียวเหมือนแต่ก่อน แต่เป็นการลงขันกันทำเลยทีเดียว

ดีเอสไอเองก็ดูมีความมั่นอกมั่นใจไม่น้อย แม้วันนี้จะไร้เงาผู้นำอย่าง “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา อดีต รมว.ยุติธรรม ที่มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรีไปเรียบร้อยแล้ว เพราะงานนี้ฝ่ายบริหารทำกันเป็นขบวนการ แต่ความมั่นใจที่เกิดขึ้นมันก็น่าสงสัยว่า อยู่ดีๆ ดีเอสไอไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน ชนิดที่ขู่รายวันว่าบุกจับแน่ หรือโทนเสียง “บิ๊กแป๊ะ” ที่กล้าประกาศถึงขั้นว่า จะไม่ให้ประกันตัวทั้งที่ยังไม่ได้บุกเข้าไปด้วยซ้ำ และยังไม่รู้เลยว่าข้างในจะเจอกับอะไรบ้าง

เรื่องนี้เอาจริงๆ มันมีจุดพิลึกพิลั่นอยู่เหมือนกันว่าเหตุใดรัฐถึงขยันขันแข็งจะลากตัว “ธัมมชโย” ให้ได้ เท่านั้นไม่พอยังแสดงความมั่นใจออกมาว่าจะเข้าวัดได้อีกด้วย มันก็เลยชวนให้อดคิดไม่ได้ว่า ฝ่ายรัฐไปรับรู้ข้อมูลอะไรมาหรือไม่ เพราะต่อให้มวลชนในวัดจะมาน้อยลงจากการปิดช่องทีวี DMC แต่การระดมคนเข้าไปเป็นกำแพงมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร อย่างไรเสียเข้าไปก็ต้องเจอขวางอยู่ดี ดีเอสไอและตำรวจจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง

หรือที่มั่นใจเพราะรู้อยู่เต็มอกแล้วว่า “ธัมมชโย” จรลีออกนอกประเทศไปนานแล้ว เพราะนับตั้งแต่วันที่ดีเอสไอบุกวัดครั้งแรกจนมาถึงวันนี้ ผ่านมาหลายเดือนแล้วไม่เคยมีใครเคยพบเห็น หรือมีภาพหลุดของอดีตเจ้าอาวาสจอมฉาวรายนี้แต่อย่างใด ลูกศิษย์ลูกหาหรือแม้กระทั่งโฆษกวัดพระธรรมกาย องอาจ ธรรมนิทา ที่ก็ไม่เจอหน้าศาสดาลัทธิตัวเองมาเนิ่นนานแล้ว

การเข้าไปครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการยืนยันว่า ขณะนี้ “ธัมมชโย” เตลิดหนีไปแล้ว เพื่อให้ศาลรับฟ้องแล้วจำหน่ายคดีเอาไว้เป็นการชั่วคราวไว้ก่อน ทำให้เรื่องนี้มีตอนจบ ไม่คั่งค้างในความรู้สึกคน แต่ถ้าวันนี้ดีเอสไอไม่สามารถเข้าไปได้ ไม่สามารถทำให้คนรู้ว่า ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินและรับของโจรรายนี้ยังอยู่หรือไปแล้ว โอกาสที่ศาลจะไม่รับฟ้อง เพราะดีเอสไอยังไม่สามารถนำตัวมาได้ก็สูงมาก จึงเหมือนเป็นการไปเพื่อยันยืน

แต่ถ้าไม่มองในแง่ร้ายเกินไป รัฐเอาจริงแล้วรอบนี้มันก็มีมูลเหมือนกัน เพราะมีข่าววงในออกมาว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทยมีการประสานลับๆ ไปยังประเทศออสเตรเลียและแคนาดาเพื่อขอให้มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่า เป็นใครเท่านั้น แต่ถ้าสังเกตสาขาวัดพระธรรมกายในต่างประเทศ สองประเทศนี้ถือเป็นประเทศที่มีสาขาวัดลัทธิจานบินอยู่จำนวนมาก เป็นไปได้หรือไม่ที่ “ธัมมชโย” หนีไปแล้วและอยู่ใน 2 ประเทศนี้

ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่า รัฐกำลังเล่น 2 หน้าอยู่หรือไม่นั่นเอง!


จำคุกตลอดชีวิต “ครรชิต ทับสุวรรณ” คดีฆ่า “อุดร” นายก อบจ.สมุทรสาคร

ศาลฎีกาตัดสินจำคุกตลอดชีวิต “ครรชิต ทับสุวรรณ” อดีต ส.ส. สมุทรสาคร ปชป. พร้อมชดใช้ค่าสินไหมแก่ครอบครัวไกรวัตนุสสรณ์ 13.3 ล้าน ในคดียิง “อุดร ไกรวัตนุสสรณ์” นายก อบจ. สมุทรสาคร เสียชีวิตที่ปั๊มน้ำมันตรงข้ามบิ๊กซี มหาชัยเมื่อปี 2554

(8 ธ.ค.) ศาลจังหวัดสมุทรสาคร อ่านคำพิพากษาชั้นฎีกา ในคดีที่ นายครรชิต ทับสุวรรณ อดีต ส.ส. สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ ในคดียิง นายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ อดีตนายก อบจ. สมุทรสาคร เสียชีวิต ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. รุ่งสาคร ตรงข้ามห้างบิ๊กซี มหาชัย หมู่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2554 โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้จำคุก นายครรชิต ตลอดชีวิต และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บิดา มารดา และครอบครัวของนายอุดร 13.3 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

โดยหลังจากการอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ นายก อบจ. สมุทรสาคร กล่าวว่า ตนพอใจ เพราะคนทำผิดได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย แม้จะตัดสินจากโทษประหารชีวิต เป็นจำคุกตลอดชีวิตก็ตาม ถือว่าเราได้รับความเป็นธรรม

ส่วนทางด้าน นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ อดีต ส.ส. สมุทรสาคร พรรคไทยรักไทย น้องชาย, น.ส.อุไร ไกรวัตนุสสรณ์ น้องสาว และ นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ อดีต ส.ส. สมุทรสาคร พรรคไทยรักไทย น้องชายคนเล็ก ก็ได้เดินทางต่อไปยังวัดเจษฎาราม พระอารามหลวง เพื่อไหว้เถ้ากระดูกของผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งนายอุดมได้กล่าวต่อหน้าโดยขอให้หลับให้สบาย ส่วนลูกๆ ของนายอุดร ทางพี่น้องจะช่วยกันดูแลให้ดีที่สุด

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. วันที่ 25 ธ.ค. 2554 ขณะที่นายอุดรกำลังเดินทางไปร่วมงานศพที่วัดราษฎร์บำรุง (วัดหงอนไก่) ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ได้แวะทำกิจธุระส่วนตัวที่ห้องน้ำปั๊มน้ำมันดังกล่าว โดยที่ นายทองพูน พนาราบ คนขับรถประจำตัวนายอุดรนั่งอยู่ในรถ ระหว่างที่นายอุดรล้างมือที่อ่างล้างหน้า คนร้ายใช้อาวุธปืนขนาด .40 มม. ยิงนายอุดรเข้าที่ศีรษะรวม 8 นัด จนถึงแก่ความตาย ก่อนขับรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีทอง 4 ประตู ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนีไป

ต่อมาตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน กระทั่งศาลจังหวัดสมุทรสาครได้อนุมัติหมายจับนายครรชิตในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2554 ต่อมาวันที่ 27 ธ.ค. นายครรชิต ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 กระทั่งวันที่ 28 มิ.ย. 2555 อัยการจังหวัดสมุทรสาคร ส่งฟ้องนายครรชิตต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร

ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2557 ให้ประหารชีวิต นายครรชิต ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ข่มขู่ผู้อื่นให้เกิดความกลัว, ยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันควรในที่สาธารณะ และพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะหรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร ต่อมาได้สู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาเมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2558 ให้จำคุกนายครรชิต ตลอดชีวิต

ถอดถอนประธานาธิบดี “ปาร์กกึนเฮ” รัฐสภาเกาหลีใต้ลงมติ 234 ต่อ 56

9 ธ.ค. สมาชิกสภาเกาหลีใต้ลงมติเห็นชอบกับญัตติถอดถอนประธานาธิบดีปาร์ก กึนเฮ ผู้นำหญิง จากกรณีคอร์รัปชั่นฉาวเพราะมีส่วนในการหาผลประโยชน์ของนางชเว ซุนซิล เพื่อนสนิทที่ได้ฉายาว่า รัสปูตินหญิง ด้วยคะแนน 234 เสียง ต่อ 56 เสียง เกินกว่า 2 ใน 3 ของสภาซึ่งมีทั้งหมด 300 ที่นั่ง ส่งผลให้น.ส.ปาร์กกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเกาหลีใต้ที่อยู่ในตำแหน่งไม่ครบวาระ 5 ปี นอกจากนี้ยังถูกระงับอำนาจบริหารชั่วคราว และจะส่งต่อให้กับนายฮวาง เคียงอัน นายกรัฐมนตรี ระหว่างรอดำเนินการตามกระบวนการถอดถอน ซึ่งขั้นตอนต่อไปเป็นการพิจารณาของคณะผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ

“ผมขอประกาศว่าญัตติถอดถอนประธานาธิบดีปาร์ก กึนเฮ ผ่านมติเห็นชอบแล้ว ไม่ว่าคุณจะสนับสนุนหรือคัดค้าน สมาชิกรัฐสภาและประชาชนเกาหลีใต้ทุกคนที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์สุ่มเสี่ยงนี้ ต่างรู้สึกทุกข์ทนและหนักใจ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่กระทบต่อรัฐธรรมนูญของเราจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง” นายชอง เซคยุน ประธานรัฐสภาเกาหลีใต้ แถลงหลังการลงมติ

ทั้งนี้ น.ส.ปาร์กชนะการเลือกตั้ง และเป็นผู้นำหญิงคนแรกของประเทศ เมื่อปี 2556 ถือเป็นประธานาธิบดีขวัญใจมหาชนในช่วงปีแรกๆ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นบุตรสาวของนายปัก จุงฮี อดีตประธานานธิบดีสายเหยี่ยวซึ่งถูกลอบสังหารเมื่อปี 2522 โดยน.ส.ปาร์กมีวลีเด็ดที่เคยประกาศตั้งแต่รับตำแหน่งว่า “ดิฉันแต่งงานกับประเทศ” เป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าจะทุ่มเทเพื่อชาติ กระทั่งมีการเปิดโปงกรณีที่นางชเวเข้าถึงข้อมูลสำคัญทางราชการตั้งแต่ให้คำปรึกษา แนะนำการกล่าวสุนทรพจน์ ไปจนถึงการรแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสำคัญ และบังคับเรี่ยไรเงินจำนวนมหาศาลจากบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว