ได้รับการสนับสนุนท่วมท้นรายได้สุทธิ$9,560.25
งานมนต์รักไทยทาวน์ ครั้งที่ 3 ในธีมกางเกงช้างเสื้อขาว ผ้าพันคอหลากสี จัดได้สนุกสนานและเป็นกันเอง ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของธุรกิจในไทยทาวน์ทั้งด้านอาหารและของรางวัลจับฉลาก Raffle อย่างมากมาย ได้รายได้สุทธินำไปพัฒนาไทยทาวน์และทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับชุมชนไทยในแอลเอและในสหรัฐ เป็นจำนวน $9,560.25
เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2567 สภาไทยทาวน์ลอส แอนเจลิส นำโดยนายกฯ นายโอภาส มะลิพันธุ์ และคณะกรรมการ ได้จัดงานมนต์รักไทยทาวน์ ครั้งที่ 3 ตอน “คิดถึงบ้านเกิด” ในธีมกางเกงช้างเสื้อขาว ผ้าพันคอหลากสี ที่ Arcadia Community Center เมือง Arcadia รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยได้รับเกียรติจาก กงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิส นายต่อ ศรลัมพ์ มาเป็นประธานกล่าวเปิดงาน และมีทีมไทยแลนด์จาก สถานกงสุลใหญ่ฯ ไทยเทรด และ ททท. แอลเอ มาร่วมงานหลายท่านวัตถุประสงค์ของการจัดงานเพื่อจัดหาเงินทุนสำรองนำมาพัฒนาไทยทาวน์และร่วมทำประโยชน์ส่วนรวมให้กับพี่น้องชุมชนไทยในแอลเอและที่ต่าง ๆ
ภายในงานมีขบวนแห่และการแสดงโชว์ของทีมงานบริหารสภาไทยทาวนฯ ด้วยการโปรโมทกางเกงช้าง Hollywood Thai Town ,ร่วมกันร้องเพลงสามัคคีชุมนุม , การแสดงโชว์ศิลปวัฒนธรรมไทยจากลูกหลานชุมชนไทยและครูอาสาฯวัดไทยแอลเอ นักร้องรับเชิญกิตติมศักดิ์ การประกวด Mr.&Miss Thai Town , Mr. & Miss Popular Thai Town ขวัญใจไทยทาวน์ ตื่นเต้นกับการลุ้นวงล้อรับโชคตั๋วเครื่องบิน LA-BKK มูลค่า$1,000 ,TV 55" , iPad 10" และรางวัลอื่นๆอีกมากมาย
สำหรับผลการประกวดในงาน มีดังนี้ เบญจมาศ สตีเว่น ได้รับรางวัล Miss Thai Town Popular 2024 จุฑาภรณ์ ไชยรัตน์ติเวช ได้รับรางวัล Miss Thai Town 2024 ยุพดี เข็มทอง ได้รับรางวัล ขวัญใจไทยทาวน์ 2024 และ ดร.ไฉน น้อยแสง จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ได้รับ 2 ตำแหน่งคือ Mister Thai Town Popular 2024 และ Mister Thai Town 2024
ในส่วนของผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลที่ 1 จากการจับฉลาก Raffle (ใบละ $5 ) คือ นางมาลัย ดาตา เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวแม่มาลัย ในไทยทาวน์ ฮอลลีวูด ได้ตั๋วไปกลับ LA-BKK 1 ที่นั่งมูลค่า $1,000 สปอนเซอร์โดย นายสุรศักดิ์-นางวราภรณ์ วงศ์ข้าหลวง แห่งโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกาเยือนแผ่นดินแม่
ทั้งนี้นายกสภาไทยทาวน์ฯ นายโอภาส มะลิพันธุ์ และคณะกรรมการ ฝากขอบคุณ สปอนเซอร์ และผู้มีส่วนสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ในทุกๆด้าน จนทำให้การจัดงานมนต์รักไทยทาวน์ ครั้งที่ 3 ผ่านพ้นไปด้วยดี ได้รายได้สุทธิ จากการจัดงานนำไปพัฒนาไทยทาวน์ และสนับสนุนช่วยเหลืองานชุมชนไทยในด้านต่างๆ เป็นจำนวนทั้งสิ้น $9,560.25
วันที่ 4 ก.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองบังคับการตำรวจภูธร จ.อุดรธานี มีผู้รับเหมารับจ้างขนดินรายหนึ่งเดินทางมาจากอ.สังคม จ.หนองคาย เดินทางมาพบกับ พ.ต.อ.ฉกาจน์ เทียมวงศ์ รอง ผบก.ตร.ภูธร จ.อุดรธานี หลังเคยถูกแก๊งแอบอ้างเป็นนักข่าวรีดทรัพย์ เรียกเงินถึง 100,000 บาทอ้างว่าขนดินในที่ สปก. พร้อมนำคลิปเสียงที่มีการเจรจาต่อรอง โดยมีหัวหน้าแก๊งคือนายหน่อง บอกว่า นายรับรู้เรื่องแล้ว อยากให้เคลียร์เรื่องรถขนดิน เรียก 100,000 บาท จากนั้นต่อรองเหลือ 50,000 บาท แต่ไม่มีเงินจึงไม่ได้จ่าย แต่ก่อนหน้านั้นเคยจ่ายให้แก๊งนี้ 6,000 บาท (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : เปิดภาพนาที ตร.อุดรลากคอ 4 ผู้ต้องหาอ้างเป็นนักข่าวรีดเงินผู้รับเหมา1แสนลงจากรถ)
นายตาหวาน เล่าว่า ตนเองเป็นผู้รับเหมาขนดินอยู่ที่อ.สังคม จ.หนองคาย เคยถูกนายหน่องที่แอบอ้างเป็นนักข่าว พร้อมพวก 4 คนที่ปรากฏตามข่าว อ้างว่าไปขุดดินในที่ของรัฐ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นผู้รับเหมาช่วงต่อมา จากนั้นก็เรียกรับเงิน ก่อนหนานี้เคยให้ไป 6,000 บาท เพราะเราก็ตกใจเห็นอ้างเป็นนักข่าว ขู่ต่างๆ นานาไม่งั้นจะแจ้งดำเนินคดีกับตำรวจ ต่อมาตนเองไปรับงานต่อถมที่ ของกลุ่มสหกรณ์ยางพาราบ้านม่วงนางิ้ว ก็ถูกนายหน่องไปขู่อ้างว่า ขุดดินในที่ของแผ่นดิน ตอนนี้นายรับรู้แล้ว ต้องเคลียร์เงิน 100,000 บาท ตนเองก็ไม่มี เขาก็ลดให้เหลือ 50,000 บาท ตนก็บอกว่า จะให้หาเงินที่ไหนมาจ่าย ได้วันละหมื่นกว่าบาท รถวิ่งไม่กี่คัน ไหนจะค่าลูกน้อง ค่าน้ำมัน และค่างวดรถอีก จึงได้ขอว่าไม่มีจริงๆ ถ้ามีก็คงให้
นายตาหวาน กล่าวอีกว่า จากนั้นนายหน่องกับพวกก็ไป ตนเองมองว่าเป็นนักข่าวแล้วมารีดทรัพย์ผู้ประกอบการแบบนี้ไม่ถูกต้อง และเท่าที่ทราบผู้เสียหายเยอะมากในพื้นที่ นอกจากจ.อุดรธานี,เลย,หนองคายแล้ว ภาคอีสานตอนบนเกือบทุกจังหวัดเคยถูกแก๊งแอบอ้างเป็นนักข่าวกลุ่มนี้รีดเอาทรัพย์ และเมื่อเดือนที่แล้ว ประธานสหกรณ์ยางพาราบ้านม่วนางิ้ว อ.สังคม ก็ผูกคอตาย คิดว่าแกคงเครียดเรื่องที่ถูกแก๊งแอบอ้างเป็นนักข่าวไปร้อง สปก.ให้มาตรวจสอบสหกรณ์ และแจ้งความดำเนินคดีว่าผู้ประกอบการถมดินและสหกรณ์ลักลอบเอาดินสปก.ไปขาย ซึ่งเรื่องการไปเอาดิน ทางสหกรณ์กับสปก.พูดคุยกันอย่างไรตนเองไม่ทราบ เรื่องอยู่ในสำนวนของตำรวจอยู่
ขณะที่พ.ต.อ.ฉกาจน์ เทียมวงศ์ รอง ผบก.ตร.ภูธร จ.อุดรธานี เผยว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายที่ถูกแก๊งแอบอ้างเป็นนักข่าวรีดทรัพย์เริ่มโผล่ให้เห็นเยอะมาก หากเคยถูกแก๊งนี้รีดทรัพย์ สามารถเดินทางมาพบกับตร.ชุดสืบสวนภูธร จ.อุดรธานีเพื่อแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีได้ทันที เท่าที่ทราบแก๊งแอบอ้างเป็นนักข่าวจะมีความรู้เรื่องถมดินและที่ดิน จึงเดินสายตระเวนรีดทรัพย์ผู้ประกอบการไปทั่ว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการที่แจ้งความ ตร.ชุดสืบสวนบุกชาร์ทเข้าจับกุมแก๊งแอบอ้างเป็นนักข่าว ตอนนี้ห่วงความปลอดภัย เพราะมีการส่งลูกน้องไปข่มขู่แล้ว และมีรายงานว่า หนึ่งในแก๊งนี้ยังอ้างตัวเป็น เสธ.ทหารอีกด้วย
วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย จัดสัมมนา ‘เจตนารมณ์การกำหนดอนาคตกัญชาประเทศไทย’ ณ.ชั้น1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย นายอร่าม ลิ้มสกุล ,นายสุรเดช วัฒนสุนทรกุล ,มล.รุ่งคุณ กิติยากร ,รศ.ดร.พิพัฒน์ นนทนาธรณ์ ,อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ,พลอากาศตรี นพ.ไกรสร วรดิถี ,นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ ,นายณัฐพงษ์ ดำรงค์หวัง และนายประสิทธิ์ชัย หนูนวล โดยทุกคนได้หยิบยกประสบการณ์ การใช้กัญชา ตลอดจนกการศึกษาวิจัยมาอย่างยาวนาน ถึงคุณประโยชน์ของกัญชา โดยยืนยันว่า กัญชาคือพืชสมุนไพร มีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีโทษเหมือนสมุนไพรทั่วไป จึงควรถูกควบคุมการใช้ด้วยกฎหมาย ไม่ใช่นำกลับไปเป็นยาเสพติด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหนึ่งของการสัมมนา นายปานเทพ ได้หยิบยกไทม์ไลน์การนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ซึ่งปรากฏอยู่ในเพจของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่าในวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 จะนำร่างประกาศฯ ที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นเสนอคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข และภายในเดือนกรกฎาคม จะนำร่างประกาศฯ เสนอคณะกรรมการ ป.ป.ส.พิจารณา จึงมีคำถามว่า นายสมศักดิ์ รู้ได้อย่างไรว่ามติของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดจะเป็นอย่างไร เพราะยังไม่มีการประชุม และหากจะนำร่างให้คณะกรรมการ ป.ป.ส.พิจารณาได้ ก็ต้องมีมติว่าต้องนำกัญชาต้องเป็นยาเสพติด แบบนี้แล้วคณะกรรมการฯ จะประชุมกันไปทำไม ถ้ารู้ว่าผลการประชุมจะออกมาเป็นเช่นไร เพราะการจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดต้องมีหลักการและเหตุผล แบบนี้ถือเป็นเรื่องผิดปกติหรือไม่นายสมศักดิ์ต้องตอบคำถามนี้
จากนั้น นายประสิทธิ์ชัย กล่าวเสริมว่า การกระทำของนายสมศักดิ์ และคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ถือเป็นความผิดทางการปกครอง ซึ่งทางเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย เตรียมฟ้องทั้งปกครอง และอาญา และท่านจะเจอกระบวนการทางสังคมด้วย เราไม่สนใจว่าท่านจะเป็นใคร จะเป็นรัฐมนตรี ปลัดฯ หรือ ข้าราชการระดับไหน ถ้าทำผิดเราก็จะฟ้องตามฎหมาย และเราจะจับตาการประชุมคณะกรรมการฯ ในวันที่ 5 กรกฎาคมนี้ด้วย พวกท่านเป็นคนนำกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด แล้ววันนี้ท่านจะกลืนน้ำลายนำกลับไปเป็นยาเสพติดอีกหรือ ท่านอย่าทำตามการเมืองเลยขอเตือนว่า นายสมศักดิ์ ก็จะหมดอำนาจวาสนาในเดือนหน้าแล้ว ไม่แน่ว่านายกรัฐมนตรีเองก็อาจจะเน่าไปด้วยเหมือนกัน
ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร จากพรรคภูมิใจไทย กล่าวยืนยันว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกพรรคทุกคน ยืนยันเจตนารมณ์ยังคงเดิม คือ กัญชาต้องควบคุมโดย พ.ร.บ. และไม่ต้องไม่กลับไปเป็นยาเสพติด ซึ่งตนก็หวังว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลจะมีดวงตาเห็นธรรม เห็นคุณค่าของกัญชาที่ประโยชน์มากมายมหาศาล เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกกฎหมาย พร้อมทั้งยอมรับว่ากัญชามีปัญหาก็เพราะการเมือง
จากนั้นนางสาวช่อขวัญ ช่อผกา ได้อ่านแถลงการณ์เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย โดยมีข้อความระบุว่า ขอคัดค้านการนำกัญชากลับสู่บัญชียาเสพติดและขอให้กระทรวงสาธารณสุขควบคุมกัญชาโดยใช้กฎหมายพระราชบัญญัติกัญชา เพราะสามารถออกแบบกลไกเชิงระบบสำหรับควบคุมและพัฒนารวมทั้งกลไกคุ้มครองเยาวชนหรือบุคคลที่กฎหมายต้องการคุ้มครอง ซึ่งตรงกันข้ามกับการควบคุมโดยกฎหมายยาเสพติดที่จะนำไปสู่การผูกขาดแก่คนกลุ่มเดียวและไร้ซึ่งกลไกในการคุ้มครองเยาวชนและบุคคลที่กฎหมายต้องการคุ้มครอง
การที่รัฐนำกัญชากลับสู่บัญชียาเสพติดจะนำไปสู่การทำลายการใช้ยากัญชารักษาตัวเองตามวิถีภูมิปัญญาของประชาชน เพราะกัญชาจะถูกผูกขาดการปลูกโดยกลุ่มทุนใหญ่ การใช้กัญชาจะถูกสั่งโดยแพทย์เท่านั้นและอาจมีเพียงไม่กี่โรคที่แพทย์จะสั่งจ่ายยากัญชาและยากัญชาที่แพทย์สั่งค่าความเข้มข้นข้นต่ำจนไม่สามารถรักษาโรคใดๆได้
หากรัฐนำกัญชาเข้าสู่บัญชียาเสพติดจะทำให้การปลูกกัญชา การเปิดร้านกัญชา การแปรรูปกัญชาจะผิดกฎหมายทั้งหมดและนำไปสู่การล้างกระดานกัญชาในประเทศไทยด้วยการเกิดกติกาชนิดใหม่ขึ้นที่ประกอบด้วยการผูกขาดการปลูกผูกขาดการสั่งจ่ายและผูกขาดการขายและในกฎหมายยาเสพติดไม่มีมาตรการใดในการปกป้องเยาวชนเลยแม้สักมาตราเดียว รัฐยังอยู่ในความคิดเก่าที่ว่าเมื่อนำสิ่งหนึ่งไปขังคุกแล้วจะปลอดภัย แต่ผลที่เป็นอยู่นั้นกลับพบว่าหลายสิ่งที่ควบคุมโดยกฎหมายยาเสพติดไม่สามารถควบคุมได้จริงฉะนั้นการที่รัฐประกาศนำกัญชาเข้าสู่ยาเสพติดไม่ได้มีเจตนาเพื่อปกป้องเยาวชนแต่ใช้ข้ออ้างนี้ในการผูกขาดกัญชาภายใต้กฎหมายยาเสพติด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลอันบิดเบือนต่อประชาชนตลอดเวลาเพื่อโน้มน้าวประชาชนให้ชื่อว่ากัญชาคือสิ่งร้าย ประชาชนจึงต้องลุกขึ้นมาให้ข้อมูลกับสังคมว่ารัฐกำลังกล่าวร้ายกัญชาโดยปราศจากข้อเท็จจริง เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยได้นำเสนอให้ตั้งกรรมการร่วมเพื่อศึกษาวิจัยร่วมกันและนำข้อเท็จจริงนั้นมาควบคุมกัญชาแต่รัฐปฏิเสธ เพราะรัฐมีเป้าหมายชัดเจนแล้วและไม่ต้องการแสวงหาข้อเท็จจริงใดที่จะนำไปสู่การเบี่ยงเบนจากเป้าหมายการผูกขาดกัญชา
เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยขอเรียนเชิญประชาชนคนไทยทุกคนร่วมกันผลักดันกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะที่ถูกต้องด้วยการใช้ข้อเท็จจริงด้านวิทยาศาสตร์ในการกำหนด และการเรียกร้องดังกล่าวได้ดำเนินมาก่อนหน้านี้และกำหนดนัดหมายสำคัญคือวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 หน้าทำเนียบรัฐบาล จึงขอเรียนเชิญทุกท่านโดยพร้อมเพรียงกันเพื่อกำหนดสิทธิกัญชาให้เป็นของประชาชนทุกคน
ตามที่ปรากฎข่าวในสื่อโซเชียลว่ามีกลุ่มวินรถจักรยานยนต์รับจ้างในเขตพื้นที่ อ.บางละมุง ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับนักท่องเทียวและประชาชนบ่อยครั้ง สร้างภาพลักษณ์ไม่ดีต่อ อ.บางละมุง และเมืองพัทยา เช่น กรณีการทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และกรณีที่ระชาชนร้องเข้ามาว่าวินรถจักรยานยนต์รับจ้างจะคอยไล่รถที่ประชาชนมาจอดรอรับญาติ รอรับแฟน เพื่อน หรือครอบครัว ตามโรงแรมหรือคอนโด ห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพราะคิดว่าเป็นรถที่ขับมารับผ่านแอปพลิเคชัน โดยใช้คำพูดที่หยาบคาย และบางครั้งอาจเลยเถิดไปถึงมีการทำร้ายร่างกายประชาชน ปัจจุบันในพื้นที่ อ.บางละมุง มีวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง และผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่ลงทะเบียนไว้ถูกต้อง โดยมีวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง รวมทั้งสิ้น 786 วิน และมีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง จำนวน 5,946 คน
ต่อมาเมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ที่ห้องประชุมชั้น 2 ที่ว่าการอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี นายวีกิจ มานะโรจน์กิจ นายอำเภอบางละมุง เป็นประธานการประชุมอนุกรรมการประจำท้องที่ ในเรื่องป้องปรามและจัดระเบียบวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง และผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในพื้นที่ โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบางละมุง , เมืองพัทยา , หนองปรือ , ห้วยใหญ่ ตัวแทนจากสำนักงานกรมขนส่งทางบก , ตัวแทนจากฝ่ายทหาร และตัวแทนจากเมืองพัทยา เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
การประชุมมีการถกเถียงในเรื่องวาระสำคัญ การจัดระเบียบและหามาตรการลงโทษ กลุ่มวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง แบบรายตัว และแบบทั้งวิน ในกรณีที่มีการกระทำผิดแบบรายบุคคล จะมีเรื่องของอัตราค่าโดยสาร , ไม่ขึ้นทะเบียนกรมขนส่งทางบก และข่มขู่คุกคามผู้โดยสาร หากทำผิดเกิน 3 ครั้ง จะถูกเพิกถอนใบขับขี่ทันที แต่หากเป็นกรณีกรณีในส่วนของวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง หากกระทำผิดเกิน 3 ครั้ง จะถูกนำเรื่องเข้าที่ประชุมอนุกรรมการ เพื่อประชุมสรุปการลงโทษ โดยจะเริ่มตั้งแต่ พักการการใช้วิน 7 วัน 15 วัน และยกเลิกการจัดตั้งวิน โดยจะดูที่ความรุนแรงของแต่ละเรื่องที่กลุ่มขับขี่วินรถจักรยานยนต์รับจ้างก่อเหตุ
นายอำเภอบางละมุงยัง กล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด โดยจะให้กลุ่มวินรถจักรยานยนต์รับจ้างในแต่ละพื้นที่ของสถานีตำรวจเข้าไปทำการลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด โดยมีทางอำเภอ และกรมขนส่งทางบก เข้าไปช่วยสนับสนุน จากนั้นจะนำรายชื่อไปตรวจสอบ และขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันบุคคลสวมรอยมาขับขี่วินรถจักรยานยนต์รับจ้าง หรือที่เรียกว่าวินผี (วินเถื่อน) ขนาดเดียวกัน จะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปจัดการกับบุคคลที่มีการลักลอบขายเสื้อวินราคาแพง หากพบว่ามีการขายราคาแพงเกินจริง ก็จะดำเนินคดีทันที
นอกจากนี้ ยังฝากไปถึงกลุ่มขับขี่วินรถจักรยานยนต์รับจ้างที่มีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรง จนทำให้ภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวเสียหาย หากพบว่ายังมีพฤติกรรมดังกล่าว ไม่ใช่แค่ผู้ก่อเหตุจะถูกดำเนินคดี แต่สถานที่จัดตั้งวินจะถูกยกเลิกด้วยเช่นกัน
ต้องยกให้เป็นอีกหนึ่งเจ้าแม่คอนเทนต์ สำหรับนางเอกสาว "พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช" เพราะไม่ว่าจะมีเทรนด์อะไรใหม่ๆ ออกมา ก็จะหยิบมาแต่งโคฟเวอร์ให้สวยปั๊วะปัง แถมล่าสุดสาว พิ้งกี้ ก็ไม่พลาดที่จะหยิบเอา MV ROCKSTAR ซิงเกิลใหม่ล่าสุดของศิลปินสายเลือดไทยดังระดับโลก "ลิซ่า ลลิษา มโนบาล" หรือ "ลิซ่า BLACKPINK" ขึ้นมาคัฟเวอร์ บอกเลยว่าเสื้อผ้าหน้าผมเป๊ะ เก็บทุกรายละเอียด ให้เหมือนกับต้นฉบับทุกกระเบียดนิ้วกันไปเลย
โดยสาว พิ้งกี้ เผยคลิปเต้น rockstar และภาพสวยๆ คัฟเวอร์เป็น ลิซ่า ลงอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมเขียนข้อความว่า “Baby I’m a rockstar ลิซ่าลูก พี่สู้สุดเพื่อเพลงนี่ @lalalalisa_m สร้างสรรค์ผลงานโดย… #rockstar #lisa #babyimarockstar”
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน ซึ่งร่วมสอบสวนคดีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนของกลางในคดีหาย เปิดเผยความคืบหน้า ว่า ตามที่ นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด (อสส.) ได้แต่งตั้งตนให้เข้าร่วมการสอบสวนคดีนี้ พร้อมกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ.โดยเบื้องต้นได้สอบปากคำเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร พร้อมขอความเห็นจากกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หลังจากนี้จะลงพื้นที่ไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุที่มีการจับกุม ว่าเกิดขึ้นในน่านน้ำสากลเขตเศรษฐกิจจำเพาะหรือไม่ ประเด็นแรกที่เราต้องสืบหาเลยคือมีการกระทำผิดหรือไม่ ต้องไปดูที่จุดเกิดเหตุจริงๆ ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้น ส่วนประเด็นที่ 2 คือใครเป็นผู้กระทำผิด หากตรวจสอบพบว่าจุดเกิดเหตุอยู่ในพื้นที่น่านน้ำสากล ก็ถือว่าอยู่นอกเหนืออำนาจการจับกุมของทางการไทย ส่วนจะเป็นประโยชน์ให้คุณกับผู้ต้องหาหรือไม่ ขออ้างอิงไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ และยึดข้อกฎหมายเป็นหลัก
สำหรับขั้นตอนหลังลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ก็จะนำข้อมูลที่มีเข้าประชุมร่วมกับ พ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผกก.กก.2 ผบก.ปอศ.ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน วันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ส่วนเจ้าของเรือขณะนี้ปรากฏเพียงชื่อว่า "เล็ก" ส่วนผู้ต้องหาที่เป็นลูกเรือทั้ง 28 คน ได้แจ้งข้อหาไปแล้ว และเตรียมขยายผลหาหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงบุคคลที่เป็นเจ้าของเรือตัวจริง
4 กรกฎาคม 2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลเขตซาร์ลาฮี ในภาคใต้ของเนปาล มีคำตัดสินเมื่อวันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม 2567 ให้จำคุกนายราม พหาทุร พามชาน อายุ 33 ปี หรือที่รู้จักกันด้วยฉายา ‘พระพุทธเจ้าน้อย’ (Buddha Boy) เป็นเวลา 10 ปี จากความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์คนหนึ่ง และสั่งให้จ่ายเงินชดเชยจำนวน 3,750 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 138,000 บาท) แก่ผู้เสียหายด้วย แต่ทนายเปิดเผยว่า เขาจะยื่นอุทธรณ์ โดยมีเวลาภายใน 70 วัน
'นายราม พหาทุร พามชาน' ถูกตำรวจเนปาลจับกุมตัว ที่บ้านชานกรุงกาฐมาณฑุ เมื่อ 9 มกราคมที่ผ่านมา ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงคนหนึ่ง ละทำร้ายร่างกายผู้ศรัทธา ตลอดจนเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของผู้ศรัทธาของเขาอย่างน้อย 4 คน ตำรวจยึดธนบัตรเนปาลมูลค่า 227,000 ดอลลาร์ กับเงินสกุลต่างประเทศอื่นๆ อีก 23,000 ดอลลาร์ ก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินในวันที่ 26 มิถุนายน ว่าเขามีความผิดจริงในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ
'นายราม พหาทุร พามชาน' หรือที่เรียกกันในภายหลังว่า 'ลามะปัลเดน ดอร์เจ' เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลังจากเขาซึ่งตอนนั้นมีอายุเพียง 14 ปี เขาไปนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ในป่า ก่อนจะมีข่าวลือว่า เขานั่งสมาธิติดต่อกันนานถึง 10 เดือนโดยที่ไม่ลุกไปไหน ไม่ดื่มน้ำ ไม่ทาน และไม่นอน แม้ปาฏิหาริย์ของเขายังไม่เคยได้รับการพิสูจน์ แต่ผู้คนต่างเชื่อว่า เขาคือ สิทธัตถะ โคตม ที่ประสูติที่เนปาลเมื่อ 2,500 ปีก่อน ก่อนจะรู้จักในพระนาม "พระพุทธเจ้า" ความน่าเลื่อมใสดึงดูดให้ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อชมปาฏิหาริย์ของเขาขณะนั่งสมาธิในป่า โดยในช่วงพีกที่สุด มีผู้ศรัทธามารวมตัวกันหลายหมื่นคน หลายคนพยายามอย่างมากเพื่อจะพิสูจน์ว่าเขานั้นนั่งสมาธิโดยไม่ทานอะไรเลยจริงหรือไม่ และมีผู้ถ่ายคลิปวิดีโอขณะที่เขาทานอาหาร และนอนหลับระหว่างการทำสมาธิในป่าเอาไว้ได้