“บิ๊กป้อม” บินสิงคโปร์ ถกความมั่นคง ปฏิเสธข่าวปฏิวัติ ยันไม่มีอะไร ด้านโฆษกกลาโหม ย้ำเป็นช่วงการฝึกกองทัพเคลื่อนยุทโธปกรณ์ ไม่เกี่ยวการเมือง ขอปชช.อย่าตื่นตระหนก หลงเชื่อข่าวปลอม
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 31 พ.ค. ที่ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม เดินทางมาขึ้นเครื่องบิน เพื่อไปร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านความมั่นคงของภูมิภาค ในการประชุม IISS Shangri – La Dialogue ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 31 พ.ค. – 2 มิ.ย. โดยพล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าทหารจะทำการปฏิวัติรัฐประหาร จนทำให้ประชาชนตื่นตระหนกตกใจว่า “ไม่มีอะไร”
ขณะที่ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในช่วงนี้มีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ซึ่งเป็นการปฎิบัติภารกิจการฝึกตามวงรอบประจำปี ดังนั้นประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะเป็นเรื่องปกติ ส่วนที่มีการเชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่ลงตัวในขณะนี้ว่าอาจจะนำไปสู่การปฏิวัติได้นั้น ตนมองว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นเรื่องของการเมือง วันนี้ทุกอย่างเข้าสู่ระบบแล้ว โดยขอให้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่ต้องไปพูดคุยกัน
อย่างไรก็ตามมองว่าการเรื่องการปฏิวัติเป็นการปล่อยข่าว ซึ่งการรับฟังข้อมูลข่าวสารจะต้องมีการกลั่นกรองและใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลว่าเรื่องใดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องใดเป็นเรื่องไม่จริง วันนี้สังคมปั่นป่วนเพราะการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยเฉพาะข่าวปลอม หรือ fake news ซึ่งเราก็มีบทเรียนอยู่แล้ว
นอกจากนี้เรายังมี พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ดำเนินการกับการเผยแพร่ข่าวที่ไม่เป็นจริง ใครทำอะไรหรือโพสต์ข้อความที่ไม่เป็นจริง จะเป็นหลักฐานที่จะนำไปดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ได้ ส่วนเว็บไซต์ที่มีข้อมูลไม่น่าเชื่อถือก็ไม่ควรนำมาแชร์ต่อ
‘บิ๊กตู่’ โนแคร์! จัดตั้งรัฐบาล ไม่คืบหน้า เดินหน้าลุยงาน สั่งทีมโฆษกทุกกระทรวงเดินหน้าตีปี๊บผลงานรัฐสัปดาห์หน้า ด้านเพจหนุนออกโรงเตือนข่าวปลอมระบาด วอนอย่าหลงเชื่อ
วันที่ 31 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางเข้าทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ตามปกติ โดยไม่มีวาระงานใด ๆ เป็นพิเศษ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ตามปกติ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะต้องมารอรับบริเวณทางขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าเป็นประจำ แต่วันนี้ปรากฏว่าไม่ได้มาทำหน้าที่เหมือนเช่นทุกครั้ง โดยมีรายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.วิลาศ ใช้สิทธิลาพักร้อนยาวตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้หมดหน้าที่ไปพร้อมกับรัฐบาลปัจจุบัน แทนการลาออก
ทั้งนี้ แม้จะเป็นช่วงนับถอยหลังเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเดินหน้าทำงานเต็มที่ โดยได้สั่งทีมโฆษกรัฐบาล เดินหน้าเปิดเชิงรุกงานประชาสัมพันธ์ เร่งสรุปผลงานรัฐบาลที่โดดเด่น เพื่อแจ้งให้ประชาชนรับทราบทุกช่องทาง โดยได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติทีมประชาสัมพันธ์ทุกกระทรวงในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ก่อนทยอยเปิดผลงานตลอด 5 ปี ในช่วงสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงปฏิบัติงานตามปกติ และติดตามสถานการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางกระแสข่าวปลอม ที่ปล่อยออกมาในช่วงนี้ตลอด
ซึ่งเช้าวันเดียวกันนี้เพจเฟซบุ๊ก “ลุงตู่ตูน” ที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ได้เผยแพร่ชี้แจงข่าวปลอม พร้อมขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อความที่ส่งต่อกันทางไลน์ โดยมีใจความว่า จะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรง ฉบับที่ 1 ตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ มี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้อำนวยการ ฉบับที่ 2 ให้ พ.ร.บ.พรรคการเมืองสิ้นสุดลง ไม่ยุบสภา แต่ยุบพรรคการเมือง ทำให้ ส.ส. 500 คนพ้นหน้าที่
งานนี้มีเดิมพัน! จับตาพรรคประชาธิปัตย์ระหว่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ 4 นิวเดม” กับ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน และสมาชิกอีก 10 กว่าคน” ใครจะเป็นฝ่ายโบกมือลาเก้าอี้ ส.ส.กับเลขาธิการพรรค วงในชี้ ปชป.ร่วมรัฐบาล พปชร.หนุน “บิ๊กตู่” แน่นอน แค่รอ พปชร.จัดการภายใน ระบุข่าวตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยแล้วยุบสภาเป็นแค่เสียงขู่ บวกกับการใช้อำนาจ “บิ๊กแดง” อาจทำให้รัฐบาลเดินหน้าได้เร็วขึ้น ชี้หลัง 4 มิ.ย.ได้เลือกนายกฯ
ความแตกแยกภายในพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กำลังเข้าสู่โหมดที่จะต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น กับการเดินหน้านำพรรค ปชป.ไปสู่การเป็นฝ่ายค้านอิสระเพียงประการเดียว
ที่แน่ๆ ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะตัดสินใจเลือกเดินเส้นทางใดก็ตามจะเกิดการสูญเสียขึ้นในพรรคแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าพรรคจะเลือกเดินเส้นทางไหน
แหล่งข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า เวลานี้สมาชิกพรรคได้มีการพูดคุยและประเมินกันว่า ถ้าพรรคเข้าร่วมรัฐบาล พปชร. พรรคจะต้องเสียนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค และกลุ่ม “นิวเดม” หรือกลุ่มประชาธิปัตย์ยุคใหม่ประมาณ 4 คน ประกอบด้วย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือไอติม หลานชายนายอภิสิทธิ์, นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ลูกชายของ กิตติ ธนากิจอำนวย มหาเศรษฐีหมื่นล้านด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด, นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ลูกชายนายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ปัจจุบันเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค ปชป. และ นพ.คณวัฒน์ จันทรลาวัลย์ หรือหมอเอ้ก
แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจไม่เข้าร่วมรัฐบาล ไปเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” เชื่อว่านายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ปชป.จะลาออกจากเลขาฯ และลาออกจากสมาชิกพรรค ปชป. โดยจะมีสมาชิกที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งครั้งนี้และอาจมีที่ได้ ส.ส.จะร่วมลาออกไปด้วย ว่ากันว่าประมาณ 10 กว่าคนขึ้นไป
“จริงๆ เลขาฯ ได้ประกาศชัดในงานปราศรัยเมื่อ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่อำเภอปราณบุรี เรื่องจะเสนอให้พรรคเข้าร่วมกับรัฐบาลพลังประชารัฐ แต่เมื่อมาเป็นเลขาฯ พรรคก็เคารพมติกรรมการบริหารพรรค แต่ต้องไม่ลืมว่าก่อนที่นายเฉลิมชัย ตัดสินใจมาเป็นเลขาฯ คู่นายจุรินทร์ ทั้ง 2 คนมีเงื่อนไขอะไรต่อกัน”
โดยก่อนที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จะลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แทนนายอภิสิทธิ์ ได้ไปทาบทามนายเฉลิมชัยด้วยตัวเอง ในวันนั้นนายเฉลิมชัยได้ยื่นเงื่อนไขในเรื่องการร่วมรัฐบาล พปชร.ให้กับนายจุรินทร์ไว้แล้ว และถ้าไม่ตกลง นายเฉลิมชัยก็จะไม่มาเป็นเลขาฯ แต่ปรากฏว่านายจุรินทร์ตอบตกลงตามเงื่อนไข
“ก่อนที่จะตกลงกัน เชื่อว่าหัวหน้าจุรินทร์ได้หารือผู้ใหญ่ของพรรคฯ ที่ให้การสนับสนุนอยู่แล้ว ก็แปลว่าผู้ใหญ่ยอมตกลงตามเงื่อนไข เพราะหากจุรินทร์ไม่ไปทาบทามและไม่รับปาก มีการพูดกันว่านายเฉลิมชัย กำลังจะพากลุ่มของตัวเองย้ายไปอยู่ภูมิใจไทยอยู่แล้ว แต่เมื่อประชาธิปัตย์ยังให้โอกาสและรับเงื่อนไขทั้งๆ ที่นายเฉลิมชัยไม่ได้เป็น ส.ส.เพราะไม่ได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ จึงทำให้นายเฉลิมชัยตัดสินใจมาช่วยขับเคลื่อนประชาธิปัตย์อีกครั้งหนึ่ง”
และหากผู้ใหญ่ของพรรคผิดคำสัญญา เป็นผลให้นายเฉลิมชัยและกลุ่มสมาชิกตัดสินใจลาออก จะมากล่าวโจมตีไม่ได้ เพราะนายเฉลิมชัยได้ยื่นเงื่อนไขให้เป็นที่รับรู้กันในพรรคอยู่แล้ว
แหล่งข่าวบอกอีกว่า หากนายเฉลิมชัยลาออกจริง คนที่ถูกหมายตาให้มาเป็นเลขาธิการพรรคแทนก็จะเป็น “นายนิพนธ์ บุญญามณี” เพราะทั้งนายเฉลิมชัย และนายนิพนธ์ จะเป็นคนที่มีความคล่องตัว มีประสบการณ์หรือเขี้ยวเล็บทางการเมืองที่ไม่ต่างกัน
“ในพรรคประเมินกันว่าคนที่จะเป็นฝ่ายต้องลาออก คือ นายอภิสิทธิ์ และนิวเดม เพราะจริงๆ พรรคประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐมีการคุยกันรู้เรื่อง คือ ได้ 7 ตำแหน่ง เพียงแต่ว่าเกิดปัญหาขึ้นมาก็ตรงที่มีการขอคืนกระทรวงเกษตรฯ และให้พลังงานมาแทน แต่นโยบายพรรคเน้นแก้ปัญหาสินค้าเกษตรจึงอยากได้ทั้งเกษตรฯ และพาณิชย์ทั้ง 2 กระทรวง”
แต่ในที่สุดก็จะสามารถเจรจากันลงตัวซึ่งผู้ใหญ่ภายในพรรคประชาธิปัตย์คาดว่าจะมีการประชุมเลือกนายกรัฐมนตรีได้หลังวันที่ 4 มิถุนายนนี้
ส่วนนายอภิสิทธิ์นั้นพรรคเชื่อว่าจะลาออกแน่นอน เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองที่มีความซื่อสัตย์ เป็นคนรักษาสัจจะ และมีอุดมการณ์ชัดเจน เมื่อประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลก็ต้องเลือกเดินออกมาด้วยการลาออกจาก ส.ส. แต่ยังคงเป็นสมาชิกพรรคและทำงานให้แก่พรรค
“อภิสิทธิ์จะมีความสง่างาม เพราะไม่ได้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ แต่เป็นสัจจะของคนเป็นนักการเมืองที่หายากในยุคนี้ และเมื่อลาออกก็ยังทำงานให้พรรคเพราะพรรคมีสภาที่ปรึกษาซึ่งเป็นแหล่งรวมของอดีตหัวหน้าและเลขาธิการพรรคมานั่งทำงานที่นี่ คอยเป็นพี่เลี้ยงให้พรรค”
สำหรับกลุ่มนิวเดมก็ยังคงอยู่ เพียงแต่ว่าจะมีสมาชิกบางคนลาออกไปซึ่งไม่ได้ทำให้พรรคเสียหายหรือด้อยลงแต่ประการใด
ด้านสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่า การที่นายอภิสิทธิ์ถอยออกไปในวันนี้จะทำให้เขามีโอกาสกลับเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งหนึ่ง เพราะพรรคมีกฎระเบียบมีวาระดำรงตำแหน่ง และหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง มีการยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ คาดกันว่านายจุรินทร์อาจไม่สามารถนำพาพรรคได้ ก็อาจมีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ถึงเวลานั้นชื่อของนายอภิสิทธิ์จะถูกเสนอเข้ามาชิงหัวหน้าพรรคอีกครั้งหนึ่ง
ขณะเดียวกัน มีกระแสข่าวออกมาว่าจะมีการยุบสภาเกิดขึ้นหากประชาธิปัตย์ไม่เข้าร่วมรัฐบาล โดย พปชร.จะตั้งรัฐบาลไปก่อน ด้วยการใช้เสียง ส.ว.หนุนในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี และบริหารงานภายใต้เสียงข้างน้อยเพียง 200 เสียงเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะเลือกยุบสภา
“เรื่องยุบสภาน่าจะเป็นการขู่ แต่การตั้งรัฐบาลถ้ายังมีเสียงปริมน้ำ หรือน้อยมากๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน”
อย่างไรก็ดี แกนนำ ส.ส.ขั้วพลังประชารัฐ และเพื่อไทย มีการวิเคราะห์ตรงกันว่า เรื่องยุบสภาไม่มีทางเป็นไปได้
เหตุผลก็คือหากยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ มีการวิเคราะห์และประเมินผลจากข้อมูลที่พรรคมีการสำรวจ เชื่อว่าตัวเลข ส.ส.พลังประชารัฐ จะลดลงและคาดว่าจะไม่เกิน 60 คน ส่วนประชาธิปตย์จะไม่เหลือแค่ 30 ที่นั่ง แต่พรรคที่จะได้มากยังจะเป็นเพื่อไทย อนาคตใหม่ ขั้วนี้จะเกิน 270 ที่นั่ง
“อนาคตใหม่จะกวาด กทม.หัวเมืองเกือบทุกแห่ง ภาคใต้จะได้เขต อ.เมืองฯ ส่วนเพื่อไทยจะยึดเหนือและอีสานได้เหมือนเดิม ขั้วนี้ตัวเลขที่คาดการณ์จะเกิน 270ที่นั่ง”
ขณะที่ “บิ๊กตู่” จะเป็นฝ่ายที่เหนื่อยที่สุด เพราะรัฐบาลต่อไปไม่มีอำนาจเต็มหรืออำนาจเบ็ดเสร็จ เหมือนสมัยที่บิ๊กตู่ยังมีมาตรา 44 ที่จะใช้ในการจัดการใดๆ เพราะหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลแล้วอำนาจต่างๆ จะกระจายไปสู่โหมดการเมือง เป็นผลให้การสั่งการจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายเหมือนเช่นที่ยังมีมาตรา 44 อยู่ในมือ
“บิ๊กตู่เป็นรัฐบาลมาถึง 5 ปี มี ม.44 ในมือ มีนโยบายใช้เงินลงไปจำนวนมาก พปชร.ยังไม่สามารถชนะเพื่อไทยได้ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา แล้วจะหวังในช่วงรัฐบาลบิ๊กตู่ 2 ก็ยิ่งเป็นเรื่องยาก ยกเว้นแต่ว่ารัฐบาลต่อไปสร้างผลงานได้ดี ประชาชนสนับสนุนจึงจะเป็นโอกาสได้ ส.ส.มากขึ้น”
อีกทั้งสงครามไซเบอร์จะถูกนำมาใช้ จะมีความพยายามโจมตีให้เบื่อกองทัพ และที่ผ่านมา พปชร.ได้คะแนนขึ้นมาเป็นผลจากฮ่องกงเอฟเฟกต์ เและยังมีภาพความกลัวพรรคเพื่อไทยในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันจะหวนคืนมา คนจึงเทคะแนนเลือกบิ๊กตู่
นอกจากนี้ ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งต้องใช้เงิน ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกพรรคต้องคิด!
ที่สำคัญสุดคือ ปัญหาเศรษฐกิจที่คนไทยกำลังเผชิญ ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ รากหญ้าลำบาก แรงงานตกงานเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเด็กจบใหม่ ไม่มีงานทำ สิ่งเหล่านี้ทำให้คนคาดหวังว่า รัฐบาลหลังเลือกตั้งจะมาช่วยแก้ปัญหาเพื่อให้สามารถลืมตาอ้าปากได้ หากบริหารไม่ทันไรแล้วยุบสภา เชื่อว่าปัญหาเศรษฐกิจจะถูกขยายวงทันที
ดังนั้น กระแสข่าวว่าจะเลือกยุบสภาจึงเป็นเรื่องที่ขั้วพลังประชารัฐเชื่อว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้เตรียมยุทธศาสตร์ในการแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ ในการจัดตั้งรัฐบาลและร่วมรัฐบาลไว้พร้อมแล้ว และรู้ว่าหากเกิดปัญหาขึ้นจะมีวิธีการจัดการอย่างไรเพื่อให้รัฐบาลบิ๊กตู่อยู่ได้นานที่สุด
“เรื่องของงูเห่าก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง และถือเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แล้วไปซื้องูเห่า เพื่อให้บริหารงานต่อไปได้ เป็นเรื่องที่บิ๊กตู่เชื่อว่าไม่สง่างามเช่นกัน”
ส่วนกรณี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพียง 10 นาที ก็เป็นภาพสะท้อนทางการเมืองได้เป็นอย่างดี และอาจเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์จัดการปัญหาภายในพลังประชารัฐได้เช่นกัน เพราะความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นเพราะการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีภายใน พปชร.ไม่ลงตัว เป็นผลให้การเจรจากับพรรคร่วมก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเก้าอี้รัฐมนตรีไปด้วย จนเป็นเหตุให้ต้องมีการนับหนึ่งเพื่อเจรจากันใหม่
“บิ๊กแดงอาจจะเป็นคนที่ต้องไปประสานงานกับกลุ่มหรือคนที่คุยไม่รู้เรื่อง การได้บิ๊กแดงไปคุย ก็จะทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่ไปคุยกับประชาธิปัตย์ เพราะประชาธิปัตย์ไม่มีแผลจึงไม่ต้องกลัว”
ขณะที่การจับมือจัดตั้งรัฐบาล พปชร.ที่มีบิ๊กตู่ เป็นนายกฯ ยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งเชื่อว่าจะสำเร็จได้หลังวันที่ 4 มิถุนายน และสามารถอยู่ยาวได้หรือไม่? ต้องติดตามเป็นระยะๆ เพราะรัฐบาลต่อไปจะเป็นอำนาจทางการเมืองล้วนๆ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้!
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ และหัวหน้ากลุ่มวังน้ำยม แถลงวันนี้ (31 พ.ค.) ว่า ข่าวที่สะพัดตนจะพาสภาผู้แทนราษฎรและนักการเมืองในกลุ่มของตนราว 30 คน ย้ายกลับไปสังกัดพรรคเพื่อไทย หากไม่ได้ตำแหน่งในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเรื่องเข้าใจผิด และการปล่อยข่าวดังกล่าวทำให้ตนเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อม
"อันนี้เป็นการปล่อยข้าวให้เกิดความเสียหาย ถ้าหากว่าบุคคลที่ไม่เข้าใจการเมืองมากนัก เมื่ออ่านหรือทราบข่าวก็จะเกิดความเข้าใจผิด ก็จะมองให้เห็นเหมือนว่า ผมและพรรคพวกเป็นคนเกเร ตีรวน ในส่วนของการทำงาน การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว การทำงานหรือการพูดคุยในเรื่องของกระทรวงต่างๆ เหล่านั้น คณะกรรมการได้มอบอำนาจให้หัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรค" นายสมศักดิ์ กล่าว
อยู่พลังประชารัฐตลอดไป
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ตนและพรรคพวกจะสังกัดพรรคพลังประชารัฐตลอดไป และข่าวที่มีการปล่อยออกมานั้นมีความต้องการให้เกิดความไม่สงบ
"เรามีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่คิดทำอย่างนั้น" นายสมศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สมาชิกพรรคพลังประชารัฐรายนี้ บอกอีกว่า ตนไม่ทราบว่าฝ่ายใดเป็นคนปล่อยข่าว แต่การปล่อยให้ข่าวนี้หายไปตามเวลาจะดีกว่า
เตรียมผลักดันนโยบายเกษตร ไม่สนวืดเก้าอี้
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตำแหน่งในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารของพรรคว่าจะจัดสรรและตัดสินใจอย่างไร และแม้จะได้หรือไม่ได้ ตนก็มีหน้าที่ผลักดันนโยบายตามที่เคยไปหาเสียงกับพี่น้องประชาชนให้เกิดขึ้นจริง
ไม่ทราบโคบาลประชารัฐเกิดหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามนายสมศักดิ์ว่า ถ้าหากตนไม่ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว นโยบายโคบาลประชารัฐที่เคยหาเสียงไว้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบเพียงสั้นๆ ว่า "ไม่ทราบ" เพราะตนไม่ได้เป็นรัฐมนตรีเกษตร
สุดารัตน์พูดไม่เหมาะสม
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังพูดถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานฝ่ายยุทธศาสตร์เลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย ที่กล่าวเมื่อวานนี้ (30 พ.ค.) ว่าไม่ต้อนรับตนและพรรคพวกกลับพรรคเพื่อไทย เพราะ "กรวดน้ำ" ให้กันไปแล้ว อีกด้วย ซึ่งนายสมศักดิ์ มองว่า เป็นคำพูดที่ไม่คิดว่าคนระดับ "คุณหญิง" จะพูดออกมา
วอนไม่ต้องห่วงเป็น-ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
แกนนำพรรคพลังประชารัฐรายนี้ พูดต่อไปว่า ไม่ต้องกังวลว่าจะมีรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จะลงตัว และพรรคการเมืองหลายพรรคก็มีนโยบายที่อยากทำแล้วในขณะนี้ ตนย้ำอีกว่า เวลาจะเป็นตัวรักษาทุกอย่าง และเมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็จะดีเอง
ลุงตู่เป็นนายกฯ แน่นอน
นายสมศักดิ์ พูดถึงประเด็นตัวนายกรัฐมนตรีคนต่อไปว่า จะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แน่นอน และแม้ว่าจะมีกระแสรัฐบาลปรองดองแนะนายกรัฐมนตรีคนนอกมานานเป็น 1-2 ปีก่อนการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายก็เป็นแค่กระแสข่าว ไม่ใช่ข่าวจริงๆ และในที่สุดก็มีการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นไม่ว่ากระแสข่าวจะเป็นอย่างไร จะมีคนนอกหรือคนใน สุดท้ายตัวนายกรัฐมนตรีก็จะต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์
"ผลประโยชน์" ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
นายสมศักดิ์ พูดอีกว่าคำว่าผลประโยชน์ฟังดูน่าเกลียดน่ากลัวในสายตาคนอ่าน ในสายตาคนทั่วไป แต่คำนี้ถ้าหากเป็นผลประโยชน์ของประชาชน คงไม่ใช่เรื่องนี้
"ทุกคนมีนโยบายที่ให้สัจจะวาจากับพี่น้องประชาชนรากหญ้า เขาก็ต้องทำ ก็ต้องดำเนินการกันทุกคน" นายสมศักดิ์ กล่าว
“ไพบูลย์” ชี้รัฐบาล”บิ๊กตู่”ได้เสียงข้างมากในรัฐสภา สามารถบริหารประเทศได้ แม้จะเป็นเสียงขัางน้อยในสภาผู้แทน
31 พ.ค. 62 นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป เห็นว่า สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันยังไม่ถึงทางตัน เพราะสามารถดำเนินการตั้งรัฐบาลตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ โดยหากรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภา 400 เสียง แต่มีเสียงในสภาผู้แทนฯไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ก็สามารถบริหารประเทศไปได้ระยะยาว เพราะสามารถแก้ไขปัญหาการพิจารณากฏหมายงบประมาณแผ่นดินด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ให้พิจารณาโดยที่ประชุมรัฐสภา และหากฝ่ายค้านเสียงข้างมากในสภาผู้แทนเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีผลให้รัฐบาล"พลเอกประยุทธ์ 2 "พ้นออกไป ก็เสนอให้รัฐสภาเสียงข้างมากเลือกกลับมาเป็นรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ 3 อีกวาระหนึ่งได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 และฝ่ายค้านจะเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอีกไม่ได้ไปตลอดปี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 154
ทั้งนี้ หากการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้เสียง ส.ส. สนับสนุน เกิน 251 เสียง ยังมีปัญหายุ่งยากในการแบ่งกระทรวงให้พรรคการเมืองต่างๆมากขนาดนี้ เชื่อว่าการจัดตั้งรัฐบาลขั้วที่ 3 จะต้องให้ได้เสียง ส.ส. สนับสนุน เกิน 376 เสียง ยิ่งมีปัญหายุ่งยากเป็นทวีคูณในการแบ่งกระทรวงให้พรรคการเมืองต่างๆพอใจ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จ
"ดังนั้น การจัดตั้งรัฐบาลโดยมีเสียงข้างมากในรัฐสภาสนับสนุน แม้จะมีเสียง ส.ส. สนับสนุนไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แต่แบ่งกระทรวงต่างๆให้พรรคการเมืองได้ลงตัวง่ายที่สุด จึงเป็นแนวทางที่ควรจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านหลังการเลือกตั้ง"
กองประกวด “นางสาวถิ่นไทยงาม 2562" นำโดย สมใจนึก เองตระกูล ประธานที่ปรึกษา และ สินีนารถ เองตระกูล ประธานบริหาร กองประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม จัดการประกวด “นางสาวถิ่นไทยงาม 2562" รอบคัดเลือก 40 คนสุดท้าย เพื่อเฟ้นหาสาวงามแบบไทยร่วมสมัยที่เพียบพร้อมและมีความสามารถรอบด้าน เข้าร่วมประชันความงาม ณ โรงแรมโซลิแทร์ แบงค็อก สุขุมวิท 11 เมื่อวันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา
โดย สินีนารถ เองตระกูล ประธานกองประกวดฯ ได้เปิดเผยว่า "การประกวดในปีนี้ มุ่งเฟ้นหาสาวงามที่สวยทันสมัย บุคลิกภาพดี มีความสามารถ และพร้อมที่จะนำเสนออัตลักษณ์ความเป็นไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยจะยังคงรักษาวัฒนธรรมและความงดงามในความเป็นไทยไว้ และจะผสมผสานความร่วมสมัยให้เข้ากันกับเอกลักษณ์ดั้งเดิมอย่างลงตัว ซึ่งปีนี้เป็นปีที่คณะกรรมการตัดสินใจยากมาก เพราะมีสาวงามที่สวย เก่ง และโดดเด่นมาประกวดกันเยอะมากจริงๆ โดยแต่ละคนต่างก็นำจุดเด่นของตนมาประชันกันอย่างเต็ม คงต้องมาลุ้นกันว่าใครจะได้เป็นผู้ครองมงกุฎนางสาวถิ่นไทยงาม 2562 ซึ่งนอกจากจะได้รับเงินรางวัล 500,000 บาท และมงกุฎเพชรแล้วยังได้เป็นพรีเซนเตอร์ของ บีบีคลินิก และเป็นตัวแทนของสาวไทย ไปประกวดในเวทีระดับนานาชาติอีกด้วย
รอบตัดสินจะจัดประกวดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน 2562 ที่ คฤหาสน์ "ลลีล์ยา" รังสิต (เอสสตูดิโอ) โดยจะยังคงรักษารูปแบบการประกวดในชุดว่ายน้ำย้อนยุคและชุดราตรีผ้าไทย รวมถึงการแสดงบนเวทีทั้งหมดที่จะสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทย ถ้าว่างกลับไทยไปในช่วงนี้ก็เชิญไปชมได้ สนใจติดต่อรายละเอียดที่ หมู 086-351-6426 ,โบว์ 088-768-0245 และ เอรี่ 093-298-2495