ข่าว
สหรัฐฯเตือน'โควิด-19'ระลอกสอง จะ‘ร้ายแรงกว่าครั้งแรก’

22 เมษายน 2563 สำนักข่าวซินหัวรายงาน หนังสือพิมพ์เดอะ วอชิงตัน โพสต์ (The Washington Post) รายงานว่า เมื่อวันอังคาร (21 เม.ย.) โรเบิร์ต เรดฟิลด์ (Robert Redfield) ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ กล่าวเตือนว่าการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ระลอกสองจะรุนแรงยิ่งกว่าในปัจจุบัน และคาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงเดียวกับที่ไข้หวัดแพร่ระบาด

“มีความเป็นไปได้ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในฤดูหนาวครั้งถัดไปจะยิ่งร้ายแรงกว่าครั้งที่ผ่านมา” เรดฟิลด์กล่าว “และเมื่อผมบอกเรื่องนี้กับคนอื่นๆ พวกเขาไม่เข้าใจว่าผมพูดถึงอะไร”

“เราจะต้องเผชิญการแพร่ระบาดของไข้หวัด และโรคโควิด-19 พร้อมๆ กัน” เรดฟิลด์อธิบาย และกล่าวกับเดอะ วอชิงตัน โพสต์ว่าการที่โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ 2 โรคแพร่ระบาดพร้อมกันจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบบริการสุขภาพ

เรดฟีลด์กล่าวถึงสถานการณ์ย่ำแย่ที่อาจเกิดขึ้นในฤดูหนาว หลังหลายรัฐในสหรัฐฯ เตรียมเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง

หนังสือพิมพ์รายงานคำกล่าวของเรดฟีลด์ว่า เจ้าหน้าที่รัฐต้องย้ำให้ประชาชนรับรู้ถึงความสำคัญของการรักษาระยะห่างทางสังคม หลังรัฐประกาศยกเลิกคำสั่งให้ผู้คนอยู่แต่ในบ้าน

อนึ่ง ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเชิงระบบ (CSSE) มหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ รายงานว่าสหรัฐฯ มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 อยู่ที่ 824,889 ราย และผู้เสียชีวิต 45,042 ราย เมื่อนับถึงเวลา 10.00 น. ของวันพุธ (22 เม.ย.) ตามเวลาประเทศไทย

จบแล้ว! คดี'ดีเจภูมิ'ตกปลาในเขตอุทยาน ศาลตัดสินแล้วคุก 4 ปี รอลงอาญา 2 ปี

จากกรณี นายภูมิใจ ตั้งสง่า อายุ 41 ปี หรือ ดีเจภูมิ พร้อมพวก รวม 7 คน ถูกอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร แจ้งความ 5 ข้อหา กรณีตกปลาในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพรโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อช่วงเดือน ส.ค.2562

ความคืบหน้าล่าสุด ดีเจภูมิ ได้ลงคลิปใน ยูทูป เผยภาพขณะที่ตนเองพร้อมเพื่อนอีก 6 คน ได้เดินทางไปที่ จ.ชุมพร อีกครั้ง เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา เพื่อฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าว พร้อมเปิดเผยว่า ถูกตัดสินในโทษสูงสุดของคดีนี้คือ จำคุกคนละ 4 ปี ปรับ คนละ 4 หมื่นบาท แต่ตนและเพื่อนยอมรับผิดทั้งหมดจึงได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง เป็น จำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท

โดยศาลพิพากษาให้ ดีเจภูมิ และเพื่อนอีก 6 คน รอลงอาญา 2 ปี ซึ่งในระหว่าง 2 ปีที่รอลงอาญานั้น ในปีแรกต้องรายงานตัวทุกๆ 2 เดือน พร้อมบำเพ็ญประโยชน์ 36 ชั่วโมง และเสียค่าปรับไปทั้งหมด 120,000 บาท พร้อมถ่ายทำคลิปอีก 2 คลิป เพื่อโปรโมตเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติไทย

ทั้งนี้ ดีเจภูมิ ยืนยันว่า ที่ตนเองทำรายการนั้น ทำเพราะรักทะเลไทยและธรรมชาติ และจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่คุมประพฤติอย่างเต็มที่ พร้อมแนะนำคนที่อยากเป็นยูทูบเบอร์ว่า ก่อนที่จะออกไปถ่ายทำธรรมชาติ ต้องพยายามศึกษากฎหมายให้ดี


น่ารักซะไม่มี!! คุณยายไกวเปลให้'เจ้ามะเหมี่ยว' ทำหน้าแป้นแล้นสบายใจเฉิบ

22 เมษายน 2563 สบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เมื่อเฟซบุ๊ก Peerapat Boonkaew โพสต์คลิปความน่ารักของเจ้ามะเหมี่ยว (หลานยาย) สุนัขสายพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ ที่ดูจะมีความสุข แฮปปี้เป็นพิเศษ เมื่อได้นอนเปลแถมมีคุณยายคอยไกวเปล พัดวีปัดแมลงให้เป็นอย่างดี ทำให้มีผู้เข้าชมและชื่นชอบน้องมะเหมี่ยว จนยอดแชร์สูงถึง 2.9 หมื่นครั้ง

และแน่นอนว่า เหล่าทาสหมาทั้งหลายก็สามารถติดตามความน่ารักได้อีกมากมายที่เพจเฟซบุ๊ก มะเหมี่ยว หลานยาย นะจ๊ะ


สลดใจ! ดับเพิ่มอีก1 จิตอาสาดับไฟป่าวัย 21 ถูกไฟคลอกเสียชีวิต

เหตุสลด! จิตอาสาดับไฟป่าอำเภอขุนยวม แม่ฮ่องสอน เสียชีวิตอีกราย ขณะที่ประธานเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง (IMN) และอดีตสมาชิก สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วอนรัฐบาลฯบิ๊กตู่ ให้กระจายอำนาจ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติสู่ชุมชนชัดเจนกว่านี้

22 เมษายน 2563 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก ว่าที่ร้อยตรีณรงค์ชัย จินดาพันธ์ นายอำเภอขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ว่าได้รับรายงานจากกำนันตำบลแม่ยวมน้อย อ.ขุนยวม ว่าได้เกิดเหตุราษฎรในพื้นที่ไปดับไฟป่าและเกิดถูกไฟป่าครอกตายเสียชีวิตในป่า จะได้มอบหมายให้นายสกล ศรีมณีทองกุล ปลัดอำเภอขุนยวม เจ้าหน้าที่ อส.อ.ขุนยวมที่ 6 ร่วมกับ กำนันตำบลแม่ยวมน้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ขุนยวม และแพทย์เวรโรงพยาบาลขุนยวม ลงพื้นที่เพื่อทำการชันสูตรพลิกศพ

ที่เกิดเหตุอยู่ในบริเวณป่าบ้านแม่โกปี่ หมู่ 2 ต.แม่ยวมน้อย อ.ขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน พบศพผู้เสียชีวิตชื่อ นายสิทธิชัย กองแก้วสีงาม อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 หมู่ 2 ตำบลแม่ยวมน้อย อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอนอายุ ที่เกิดเหตุการเสียชีวิตบริเวณป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ทั้งนี้ โดยก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 15.00 น. ได้มีการแจ้งเสียงตามสายในหมู่บ้านให้ราษฎรในหมู่บ้านไปร่วมดับไฟที่กำลังลุกลามเข้ามาหมู่บ้าน ผู้เสียชีวิตและราษฎรในหมู่บ้าน จึงได้ช่วยกันดับไฟป่า แต่ขณะดับไฟได้เกิดกระแสลมแรงพัดเปลี่ยนทิศทางทำให้ผู้เสียชีวิตถูกไฟคลอกเสียชีวิต เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. คณะเจ้าหน้าที่ได้ทำการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นเวลาประมาณ 20.00 น. ที่ผ่านมา

นายอำเภอขุนยวม กล่าวอีกว่า เบื้องต้นได้รายงานความคืบหน้าให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้ว ในการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต คือจะส่งให้การชาดสาขาอำเภอขุนยวม อส.องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น.ตลอดจนจิตรอาสาในพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือแก่ครอบครัวน้องสิทธิชัย กองแก้วสีงามในวันพรุ่งนี้เป็นระดับต่อไป

ด้านนายไวยิ่ง ทองบือ ประธานเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง (IMN) และอดีตสมาชิก สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ก่อนแสดงความคิดเห็นในกรณีดังกล่าว ก็ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวน้องสิทธิชัย กองแก้วสีงาม จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งจากปัญหาหมอกควันไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือในปีนี้ พบว่าพี่น้องชนเผ่า ปกาเกอะญอ ( กะเหรี่ยง ) ได้สูญเสียชีวิตในการดับไฟป่ามาจำนวนหลายรายแล้ว ทั้งที่ไม่ได้เป็นหน้าที่หรือรับเงินเดือนกับเขาแต่อย่างใด เนื่องจากพี่น้องชนเผ่าปกาเกอะญอ เป็นชนเผ่าที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วยจิตวิญญาณ แต่บรรพบุรุษมานาน เมื่อเกิดไฟป่าในพื้นที่หมู่บ้านใด และช่วยกันไปดับไฟป่าทุกพื้นที่ทุกหมู่บ้านทำกันมานานแล้ว ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีและช่วยเหลือเจ้าหน้าที่รัฐฯได้อย่างมาก แต่ในการสูญเสียชีวิตของคนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะย้อนคืนมาได้

อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นโอกาสอันดีในเวลานี้ จึงฝากไปยัง พลเอกประยุทย์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีผู้นำสูงสุดของประเทศ และนายศรวุฒิ ศิลปะอาญา รัฐมนตรีว่ากระกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้ดูแลทรัพยากรป่าไม้ทั่วประเทศฯโดยตรง ว่าควรให้ความสนในและรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ให้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยและดูแลพื้นป่าในภาคประชาชนให้มากกว่า ที่ท่านจะฟังเพียงการรายงานของเจ้าหน้าที่ป่าไม้หน่วยโน้น หน่วยนี้ ซึ่งกลุ่มนี้จะเสนอแต่ข้อดีเพื่อได้รับงบประมาณในการบริหารจัดการในองค์กรของเขา สิ่งสำคัญที่รัฐบาล ชุดปัจจุบันต้องทำคืน ควรกระจายอำนาจการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ (ป่าไม้ ) รวมทั้งการกระจายงบประมาณให้กับในชุมชนให้เพื่อชุมชนบริหารจัดการด้วยองค์ความรู้ ซึ่งทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ป่าไม้แต่ละหน่วยมีพนักงานดูแลป่าเพียงไม่กี่คนแต่เขตพื้นที่รับผิดชอบกว้างกว่าจำนวนคนอีกด้วย ในฐานะชนเผ่า ได้ตั้งความหวังกับรัฐบาลยุค พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะดำเนินการกรณีดังกล่าวแล้วเสร็จในยุคของท่านด้วย


วิจัยพบผู้ป่วย'โควิด-19'ควบอาการท้องร่วง มีแนวโน้ม'ปอดอักเสบ'รุนแรงกว่า

23 เมษายน 2563 สำนักข่าวซินหัวรายงาน บทความวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารโรคทางเดินอาหารและตับแลนเซต (Lancet Gastroenterology and Hepatology) เมื่อไม่นานนี้ เปิดเผยว่าคณะนักวิจัยพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่มีอาการท้องร่วง มีแนวโน้มของอาการปอดอักเสบรุนแรงกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีอาการท้องร่วง

คณะนักวิจัยจากโรงพยาบาลแห่งที่ 6 และสถาบันวิจัยโรคทางเดินอาหาร สังกัดมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น ได้ร่วมกันตรวจสอบลำไส้ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 จากศูนย์การแพทย์หลายแห่งในจีน

พวกเขารวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วย 232 ราย ที่มีผลทดสอบโรคโควิด-19 เป็นบวก และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 14 แห่งในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) หูเป่ย และเจียงซี ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. ถึง 6 มี.ค. โดยไม่ได้วิเคราะห์ผู้ป่วย 2 ราย ที่เป็นโรคระบบทางเดินอาหารอยู่ก่อนแล้ว

บทความระบุว่าอาการแรกเริ่มที่พบได้บ่อยที่สุดของผู้ป่วยกลุ่มนี้ ได้แก่ มีไข้ ไอ และมีเสมหะ ส่วนอาการท้องร่วงพบในผู้ป่วย 49 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 21 ของผู้ป่วยทั้งหมด และพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการท้องร่วงมีอายุมากกว่าและมีแนวโน้มจะมีภาวะโรคร่วมมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีอาการท้องร่วง

คณะนักวิจัยยังพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการท้องร่วงมีอาการปอดอักเสบรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่มีอาการท้องร่วง และแม้อาการท้องร่วงจะไม่มีความเกี่ยวโยงกับการรักษาด้วยออกซิเจน แต่สัดส่วนของผู้ป่วยที่มีอาการท้องร่วงที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและเข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยหนักนั้นมีจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี คณะนักวิจัยไม่ได้สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างอาการท้องร่วงกับการใช้ยาต้านไวรัสหรือยาปฏิชีวนะ และดำเนินการวิเคราะห์โดยไม่ได้พิจารณาข้อมูลความชุกของผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ รวมถึงชี้ว่าเป็นที่ทราบกันดีว่ายาบางรายการ อาทิ ยาต้านไวรัส ยาโลพินาเวียร์ (Lopinavir) และยาริโทนาเวียร์ (Ritonavir) ส่งผลให้เกิดอาการท้องร่วงได้


สื่อสิงคโปร์ตีข่าวพิษศก.จาก'โควิด' น้ำใจคนไทยแจกอาหารเพื่อนร่วมชาติพึ่งพาได้กว่ารัฐบาล

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 สำนักข่าว Channel News Asia ของสิงคโปร์ เสนอข่าว “Queues for food as COVID-19 pandemic causes pain for jobless Thais” ระบุว่า มาตรการล็อกดาวน์ (Lockdwon) ปิดสถานที่ต่างๆ เพื่อตัดการรวมตัวของผู้คนอันเป็นปัจจัยการระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้น้อยที่สุด ที่รัฐบาลไทยนำมาใช้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากที่ต้องกลายเป็นคนตกงาน ซ้ำร้ายจากผู้ได้รับผลกระทบ 27 ล้านคนที่ยื่นขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ได้รับอนุมัติ นั่นทำให้อารมณ์คนไทยเริ่มรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคท่องเที่ยวและบริการ อาทิ Chare Kunwong อายุ 46 ปี อาชีพพนักงานนวด ที่รายได้หายไปตั้งแต่เกิดวิกฤติไวรัสโควิด-19 ระบาด จากการไม่มีนักท่องเที่ยวมาเยือน กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้ช่วยอะไรประชาชนเลย ทำให้ตนตัดสินใจมารับแจกอาหารจากผู้มีน้ำใจ ณ ย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย เพราะหากยังหวังรอแต่ภาครัฐคงได้อดตายเสียก่อน การดิ้นรนทำนองเดียวกันยังสะท้อนผ่านภาพผู้คนนำทองคำไปขายในช่วงที่ราคาขึ้น รวมถึงการจับปลาในคลองที่ดูขมุกขมัวใน จ.ปทุมธานี

ความคับแค้นของชาวไทยยังปรากฏในเหตุการณ์ประชาชนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันชุมนุมที่กระทรวงการคลังหลังถูกตัดสิทธิ์จากมาตรการเยียวยาของรัฐบาล ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพารายได้หลักจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ในปี 2563 คาดว่าจะหดตัวถึงร้อยละ 6.7 ซึ่งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2541 อนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (Prayut Chan-O-Cha) นายกรัฐมนตรีไทย ยังเคยกล่าวอย่างขัดแย้งกัน เกี่ยวกับจำนวนเงินเยียวยา 5,000 บาทต่อเดือน ว่าจะสามารถจ่ายได้เป็นเวลาเท่าใด

'ญี่ปุ่น'ผวาซ้ำ!! เรือสำราญจอดซ่อม ลูกเรือติด'โควิด' 33 คน

22 เมษายน 2563 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ทางการจังหวัดนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 บนเรือสำราญสัญชาติอิตาลี ‘คอสตา แอตแลนติกา’ (Costa Atlantica) ที่กำลังจอดซ่อม

บนเรือลำดังกล่าวไม่มีผู้โดยสาร มีลูกเรือทั้งหมด 623 คน ผลตรวจหาเชื้อเป็นบวก 33 คน จากทั้งหมด 56 คนที่เคยสัมผัสใกล้ชิด โดยผู้ติดเชื้อที่มีอาการป่วยเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีอาการเลย จะต้องพักอยู่บนเรือต่อไปเพื่อเฝ้าดูอาการ ส่วนผู้ที่อาการรุนแรงจะถูกส่งต่อไปยังสถานพยาบาล และสำหรับผู้ที่ไม่ติดเชื้อจะถูกส่งกลับไปยังประเทศบ้านเกิด

ขณะที่ทางการจังหวัดนางาซากิเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลกลางญี่ปุ่นเข้ามาให้ความช่วยเหลือเรื่องการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อลงจากเรือและการฆ่าเชื้อ เนื่องจากเกินกำลังในการคัดแยกผู้ป่วยของทางจังหวัด

ทั้งนี้ เรือสำราญ คอสตา แอตแลนติกา ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท คอสตา ครูสส์ เอสพีเอ ถูกส่งมายังอู่ซ่อมเรือในเมืองนางาซากิเมื่อปลายเดือน ก.พ. จากเดิมที่จะถูกส่งไปซ่อมในจีน ทว่า มิตซูบิชิ ชิปบิลดิงส์ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของบริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสตรีส์ ได้ตกลงรับคำสั่งซ่อมแทน เนื่องจากเกิดวิกฤตไวรัสโคโรนาระบาดในจีน