หลังจากพบกับหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 4 ปีเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะนี้กรุงโตเกียวและหลายพื้นที่ของญี่ปุ่นยังคงมีอากาศที่หนาวกว่าปกติ โดยในช่วงเช้าอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -4 ถึง -8 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าหนาวที่สุดในรอบ 48 ปี อุณหภูมิที่หนาวเหน็บทำให้แหล่งน้ำต่างๆ เช่น น้ำพุ, สระน้ำ กลายเป็นน้ำแข็ง แม้แต่น้ำประปาจากก็อกน้ำก็แข็งจนใช้งานไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากกว่า 700 ครัวเรือน
เจ้าหน้าที่ระบุว่าไม่เคยพบประสบการณ์หนาวเหน็บขนาดที่น้ำประปาไหลไม่ออกแบบนี้มาก่อน ขณะที่ตามพื้นที่ต่างๆ ยังคงมีหิมะตกค้างอยู่ และต้องเร่งเก็บกวาดออกไป
ส่วนในพื้นที่อื่นๆ อากาศก็หนาวยะเยือกระดับติดลบเช่นเดียวกัน อุณหภูมิเฉลี่ยที่เมืองนาโงยะอยู่ที่ -3.8 องศาเซลเซียส นครเกียวโต -3.6 องศา นครโอซากา -2.5 องศา และเมืองโกเบ -3.2 องศา
สำนักพยากรณ์อากาศของญี่ปุ่น ระบุว่า อุณหภูมิในสัปดาห์หน้าจะสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในระดับ 3-4 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ยังพยากรณ์ว่า ในวันที่ 27 ม.ค.จะมีหิมะตกหนักเป็นพื้นที่กว้างตั้งแต่ภาคเหนือและภาคตะวันตกของญี่ปุ่น โดยเฉพาะชายฝั่งด้านทะเลญี่ปุ่น ขอให้ประชาชนระมัดระวังการเดินทางและเตรียมตัวรับมือกับความหนาวด้วย
อากาศหนาว ทำราคาผักแพง 3 เท่าตัว
อากาศที่หนาวเหน็บทำให้ราคาผักแพงทั่วญี่ปุ่น โดยเฉพาะหัวไช้เท้าและผักกาดขาวที่ราคาแพงขึ้น 2 ถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
สำนักข่าว NHK รายงานว่า ขณะนี้เป็นช่วงกลางฤดูหนาวของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงของการรับประทานหม้อไฟ การที่ราคาของผักที่ใช้ในหม้อไฟมีราคาแพงขึ้นนั้นทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน นอกจากนี้ราคาของน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงก็เริ่มแพงขึ้นด้วย
หลายครอบครัวต่างก็ใช้จ่ายอย่างประหยัดขึ้น ธุรกิจร้านอาหารที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนคนงานอยู่แล้วก็ถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาผักแพงด้วย ร้านอาหารหลายแห่งจึงต้องขึ้นราคาอาหาร บรรดาครอบครัวที่ทั้งสามีภรรยาต่างทำงานและบรรดาผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มักรับประทานอาหารนอกบ้านบ่อย ๆ จะรู้สึกว่าค่าครองชีพของพวกตนสูงขึ้น อาจทำให้การบริโภคส่วนบุคคลอาจลดลง หากหิมะที่ตกหนักและอากาศที่หนาวเหน็บแพร่กระจายทั่วญี่ปุ่นและส่งผลกระทบกับพืชผลต่าง ๆ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่น.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวผ่านรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน"โดยเป็นการบันทึกเทประหว่างเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ที่กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ประจำวันศุกร์ที่ 26 มกราคมว่า บางครั้งการถูกหล่อหลอมรวมกับอารยะธรรมสากล หรือชาติอื่นๆ จนทำให้คนในชาติ หลงลืมกำพืด รากเหง้าของตนเอง เพราะอาจไม่สนใจ ใส่ใจ ศึกษาให้ครบถ้วนถึงที่มาที่ไป เหมือนอ่านหนังสือแค่ตอนจบ เร่งรีบอ่านผ่านๆไป ไม่ประณีต ทำให้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่เกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ ไม่รู้ว่ามีชีวิตจิตใจอย่างไร จิตวิญญาณอย่างไรในตัวหนังสือเหล่านั้น แล้วเอาบางส่วนนั้นมาปฏิบัติตามอย่างผิดเพี้ยน โดยไม่รู้จริง อาจจะรวมความไปถึงเรื่องของประชาธิปไตยเราด้วยว่าคืออะไรกันแน่
ถ้าประเทศไหนจัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนประชาชน เข้าไปทำหน้าที่ออกกฎหมายและบริหารประเทศแล้ว เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแล้วใช่หรือไม่ เสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนน้อยคืออะไร เรายึดเสียงส่วนใหญ่เป็นสรณะ โดยไม่สนใจเสียงส่วนน้อยเลย จะเรียกว่า ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้หรือไม่ ที่สำคัญอีกประการคือหน้าที่พลเมืองและการเคารพกฎหมาย ที่สะท้อนถึงระดับความเป็นประชาธิปไตยในสังคมนั้นๆว่ามีมาก-น้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนน้อยต้องเคารพกฏหมาย
วันนี้ก็อยากให้พวกเราทุกคน และสังคมโดยรวมใช้สติทบทวนเรารู้อย่างลึกซึ้งถึงความเป็นไทยหรือไม่ พร้อมที่จะหลอมรวมกับความเป็นสากลโดยที่ไม่หลงประเด็น ประยุกต์ไม่เป็น จนเป็นเหตุให้มีแต่ความขัดแย้ง เพราะต่างก็อ้างว่าตนรู้จริงแล้วไม่ยอมฟังเหตุผลของคนอื่น บางครั้งรับแนวคิด วัฒนธรรมของคนอื่นมายึดถือปฏิบัติ แม้จะทำได้ในหลักการแต่หากขัดกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของเรา ก็คงไม่สามารถประสบความสำเร็จเหมือนเขาได้ จึงเป็นที่มาของคำว่าไทยนิยมของตน ที่มอบให้กับสังคมไทยในวันนี้
ทั้งนี้ไทยนิยมไม่ใช่การสร้างกระแสชาตินิยม เหมือนที่บางคนไม่เข้าใจสังคมของตน ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลก แล้วพยายามบิดเบือนความคิดของตน โดยไม่ศึกษาให้ดี เพราะชาตินิยมนั้นจะใช้ได้ดี สำหรับป้องกันภัยคุกคาม ภัยจากภาย นอกประเทศ จากการทำสงคราม หรือจากการเข้ามาครอบงำทางความคิดด้วยหลักคิด ลัทธิของชาติอื่น ชาตินิยมจึงมีความจำเป็นสำหรับสถานการณ์เหล่านั้น เพื่อสร้างสำนึกความรักชาติ แต่สำหรับสถานการณ์ของประเทศในวันนี้นั้นเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน เราต้องการการปฏิรูปที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นไทยโดยไม่ทิ้งหลักสากล
"ผมขอย้ำนะ เราไม่ต้องไปทิ้งหลักสากล นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของไทยนิยมที่ผมกำลังพูดถึง และไทยนิยมก็ไม่ใช่ประชานิยมเพราะประชานิยม เป็นการให้ในลักษณะที่เหมือนกับยัดเยียดทุกคนได้ไป พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง อะไรก็แล้วแต่ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่เหมาะสมกับประชาชน ด้วยการสร้างแนวคิด บริโภคนิยมที่ผ่านมาประชาชนชอบ พอใจ กลายเป็นว่าประชาธิปไตยกินได้เหมือนกับนโยบายของที่ผ่านมา อาจจะไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงอาจจะทำเพียงเพื่อต้องการความนิยม หรือต้องการคะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
(26 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่กำหนดให้มีผลบังคับใช้ภายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 90 วัน ส่งผลให้อาจมีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2562 ว่าดีแล้ว เพราะคนเขาก็ถามว่าเลือกตั้งเมื่อไหร่ เลือกตั้งแน่นอน ไม่มีปัญหาอะไร
ถามว่า ถือว่าไม่ตรงตามโรดแมปที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เคยประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งในปีนี้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า สนช.เขาเห็นอย่างนี้ แล้วจะมาถามอะไร
เมื่อถามว่าเตรียมคำชี้แจงต่อนานาชาติเอาไว้แล้วหรือยัง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “โอ๊ย ไม่ต้องชี้แจงหรอกนะ คสช.เขาพิจารณาเห็นชัดเจนอยู่แล้ว”
ถามย้ำว่า นายกฯ เคยประกาศทั้งในและนอกประเทศว่าจะมีการเลือกตั้งในปีนี้ จะกระทบความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่กระทบ ต่างชาติต้องการให้เลือกตั้งก็ต้องเลือกตั้งแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เห็นมีอะไรเลย เพียงแค่เลื่อนออกไปแค่ 3 เดือนเอง
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า สนช.สร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้เป็นแบบนี้ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เขาอภิปรายเรื่องนี้กันทั้งวันทั้งคืน จะไปสร้างสถานการณ์อะไร คนระดับนี้แล้ว ไปคิดได้อย่างไรว่าเป็นการสร้างสถานการณ์
เมื่อถามว่าจะให้ความมั่นใจได้หรือไม่ว่า ก.พ. 62 จะมีการเลือกตั้งแน่นอน ไม่มีการเลื่อนอีก พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า มันชัดเจนอยู่แล้ว เป็นไปตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ไม่มีทางเลื่อนไปได้
เมื่อถามอีกว่าจะมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เลื่อนไปอีกหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่น่าจะมีอะไร ถ้าพวกเราอยู่กันสงบเรียบร้อยแบบนี้ก็ไม่มีอะไร ส่วนเรื่องการพิจารณาปลดล็อกพรรคการเมืองนั้น เมื่อดำเนินการขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นจะมีการปลดล็อกให้
วันที่ 26 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนใน อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ร้องเรียน นายณฐาภพ บุญทองโท อายุ 51 ปี ผอ.โรงเรียน มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับเด็กนักเรียนหญิงชั้น ม.2 ของโรงเรียน หลังพบหลักฐานการพูดคุยทางแชตไลน์โทรศัพท์มือถือ ข้อความหวานซึ้ง ต่างฝ่ายต่างเรียกกันว่า “ที่รัก”
ล่าสุด ช่วงสายวันเดียวกัน ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา นายสุวิทย์ ศรีฉาย รักษาราชการแทนศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยถึงการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีถูกร้องเรียนมีพฤติกรรมชู้สาวกับเด็กนักเรียนหญิงชั้น ม.2 ของโรงเรียน ว่า เบื้องต้นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาการประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ได้รายงานผลการสอบสวนเบื้องต้นกรณี ผอ.โรงเรียนในอำเภอบัวใหญ่ มีพฤติกรรมฉันชู้สาวกับเด็กนักเรียนหญิงอายุ 14 ปีนั้น เรื่องดังกล่าวมีมูลความจริง
ทั้งนี้ ภายในวันนี้ทางต้นสังกัดจะส่งรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรให้รับทราบอย่างเป็นทางการ หากได้รับรายงานแล้วทางคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา จะสั่งพักราชการ ผอ.โรงเรียนคนดังกล่าวไว้ก่อน พร้อมกับตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อไป โดยใช้ระยะเวลาสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน ซึ่งหากพบว่าผิดจริงมีโทษถึงขั้นปลดออก หรือไล่ออกจากข้าราชการ โดยจะเปิดโอกาสให้ ผอ.ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงหรือแก้ต่างกับศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อ ผอ.คนนี้ได้ เนื่องจากไม่ยอมมาโรงเรียน และปิดโทรศัพท์มือถือจนขาดการติดต่อ
อย่างไรก็ตาม ตามบทกฎหมายแล้ว กรณีเกิดพฤติกรรมที่ ผอ.โรงเรียนมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับเด็กนักเรียนหญิง ม.2 อายุ 14 ปี ถือเป็นความผิดทางวินัยร้ายแรง ผอ.ในฐานะผู้ดูแลลูกศิษย์จะไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกศิษย์ไม่ได้เด็ดขาด อีกทั้งลูกศิษย์ก็อายุยังไม่ถึง 15 ปี ถือว่าเป็นเด็กที่ยังด้อยวุฒิภาวะ ถึงแม้เด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เรื่องนี้มีบทลงโทษร้ายแรงถึงขั้นไล่ออกสถานเดียว รวมทั้งมีความผิดทางอาญาด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะที่หลายฝ่ายกำลังตามหาตัว ผอ.ฉาวรายนี้ ซึ่งหนีไปเก็บตัวเงียบอยู่ที่ใดไม่มีใครทราบ และไม่สามารถติดต่อได้ ล่าสุด เมื่อวานนี้ (25 ม.ค. 61) ได้มีคนพบเห็น ผู้ใช้ชื่อว่า “Natapop B.” ซึ่งเป็นชื่อไลน์ของ นายณฐาภพ บุญทองโท ผอ.ฉาวรายนี้ใช้ประจำ ส่งข้อความเข้าไปในแชตไลน์ของกลุ่มบิ๊กไบค์กลุ่มหนึ่ง โดยมีข้อความว่า “เหตุการณ์ใกล้ปกติ...เย็นนี้ที่ไหนดีครับ” พร้อมกับสติกเกอร์วิถี Biker และมีภาพถ่ายของนายณฐาภพ นั่ง และยืน ทอดสายตาชมวิว อยู่บริเวณป้ายบอกชื่อสถานที่ว่า “ผาตรอมใจ” ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ต.หินตั้ง อ.เมืองนครนายก
ทั้งนี้ นายณฐาภพ เป็นคนที่ชื่นชอบในการขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ ไปในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เป็นประจำ โดยมีรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์คู่ใจ 1 คัน ยี่ห้อฮอนด้า CB500X สีขาว-ดำ ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ในราคาประมาณ 220,000 บาท ยังไม่ติดป้ายทะเบียน จึงคาดว่าช่วงนี้จะอยู่ระหว่างหลบหนีไปพักเลียแผลใจ อยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใดแห่งหนึ่งในบริเวณใกล้เคียง.
วันที่ 26 ม.ค.61 พ.ต.อ.คมสัน สอาดล้วน ผกก.สภ.แม่สาย จ.เชียงราย ได้รับรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 25 ม.ค. เจ้าหน้าที่เมียนมาได้จับกุม นายธวัชชัย อ้อมชมภู หรือเก้า อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 16/10 หมู่ 1 ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี ผู้ต้องหาหนีหมายจับคดียาเสพติด ระหว่างประกันตัวชั้นศาล พื้นที่ปากคลองรังสิต จ.ปทุมธานี และ จ.ศรีสะเกษ และเป็นผู้พา น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว, น.ส.กวิตา ราชดา หรือเอิร์น, น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต หรือแจ้ ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย หรือน้องแอ๋ม ก่อนนำศพไปฝังบริเวณ บ.โนนสง่า ม.9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น หลบหนีออกจากร้านโอโซนคาราโอเกะ จ.ท่าขี้เหล็ก ฝั่งเมียนมา เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 60 ไปกบดานในเขตอิทธิพลมูเซอดำ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า สามารถจับกุมตัว นายธวัชชัย อ้อมชมภู หรือเก้า ได้ขณะขับรถยนต์ไปชนกันที่ จ.เชียงตุง ประเทศเมียนมา ห่างชายแดนไทย อ.แม่สาย จ.เชียงราย ประมาณ 160 กม. และเตรียมส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย ซึ่งตำรวจ สภ.แม่สาย กำลังรอการประสานจากเจ้าหน้าที่เมียนมา
พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ ผกก.ตม.เชียงราย กล่าวว่า นายธวัชชัย อ้อมชมภู หรือ “เก้า” ผู้ต้องหาหนีคดียาเสพติดในชั้นศาลอุทธรณ์ จ.ศรีสะเกษ เป็น 1 ใน 18 ราย เครือข่ายของ พ.ท.ยี่เซ หรือนายชัยวัฒน์ พรสกุลไพศาล ที่ ป.ป.ส.ไทยส่งรายชื่อไปขอความร่วมมือ ป.ป.ส.เมียนมา ช่วยจับกุมตัวส่งกลับมาดำเนินคดีฝั่งไทย ส่วนการหลบหนีเข้า จ.ท่าขี้เหล็ก ฝั่งเมียนมา ของนายธวัชชัย ได้ใช้เส้นทางธรรมชาติ ไม่ได้ผ่านด่านพรมแดนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้กำลังรอการประสานจากทางเจ้าหน้าที่เมียนมา และนายธวัชชัยอาจจะถูกทางการเมียนมาดำเนินคดีข้อหาหลบหนีเข้าเมืองจนกว่าคดีสิ้นสุด จึงจะส่งตัวกลับไทย.
เพจเฟซบุ๊ก แหม่มโพธิ์ดำ โพสต์เรื่องราวร้องเรียนจากสาวคนหนึ่งซึ่งชนะการแข่งขันรายการร้องเพลงของช่องดัง ที่ต้องได้รับรางวัลเงินสด 1 ล้านบาท คอนโดมิเนียมพักอาศัยริมทะเลหัวหิน และรถกระบะรวมมูลค่ากว่า 4,500,000 บาท
แต่จนถึงตอนนี้ รวมระยะเวลา 2 ปี กลับยังได้ของรางวัลไม่ครบ ใช้เวลาตามเรื่องอยู่พอสมควร ทางคอนโดฯ ก็ไม่มีการตอบรับ ทางบริษัทรายการก็ไม่มีใครรับผิดชอบตามเรื่องให้ ติดต่อไปแจ้งกลับมาว่าบริษัทนี้ออกไปแล้ว ไม่ทราบว่าจะตามเรื่องได้อย่างไร เราก็ติดต่อตามไปยังคอนโดฯ ด้วยตัวเอง สรุปว่ารับเรื่องไว้จะตามให้
“ช่วงแรกมีคนมาคุยมาติดต่อให้ไม่โพสต์เรื่องนี้ ท้ายที่สุดเงียบหายไปติดต่อกลับหาใครไม่ได้สักคน ก็รอจนเหี่ยวยานมา 2 ปีกว่าแล้วนะคะ จะอ้างอะไรอีก ขอความรับผิดชอบจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งช่วยตามให้หน่อยนะคะ จะทิ้งกันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง นี่คือสิทธิ์ที่ควรต้องได้ เรารอมานานมากแล้ว ตอนนี้เหมือนคนตัวเล็กๆ ที่ไม่สามารถตามอะไรได้เลย ยิ่งทางคอนโดฯ ไร้ความรับผิดชอบ ทิ้งเรื่องทุกอย่างมาก ผลัดเลื่อนและปัดความรับผิดชอบ จนตอนนี้ทางเราเองก็เดือดร้อนและมีภาระมากมาย วอนทุกคนที่รู้จักหรือใครก็ตามที่เป็นส่วนหนึ่งของรายการนี้ ช่วยออกมาหาหนทางให้หน่อยนะคะ”
ทั้งนี้ ทางเพจได้มีการติดต่อประสานไปยัง นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความชื่อดังว่าให้ช่วยกรณีนี้แล้ว โดยมี นายเตชะ ทับทอง ยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วย อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย และแสดงความเห็นใจกับ “เมย์ ขมคอ” รวมทั้งอ้างว่าโครงการคอนโดฯ นี้เบี้ยวจ่ายบริษัทรับเหมาด้วย.
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012