ข่าว
ฮือฮา!!! จีนพบ'สุรากลั่น'อายุกว่า 3,000 ปี เผยต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเปิดออก

15 ม.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะนักโบราณคดีของจีน เปิดเผยว่า ของเหลวในภาชนะสัมฤทธิ์โบราณที่ค้นพบในมณฑลซานตงทางตะวันออกของจีนเป็นสุรากลั่น ซึ่งสะท้อนว่าต้นกำเนิดการผลิตสุรากลั่นของจีนสามารถสืบย้อนกลับไปได้มากกว่า 3,000 ปี

ภาชนะสัมฤทธิ์ดังกล่าวถูกขุดพบที่ซากโบราณต้าซินจวงในเมืองจี่หนานของมณฑลซานตงในปี 2010 และมีความเก่าแก่ที่สืบย้อนกลับได้ถึงยุคปลายราชวงศ์ซาง (1600-1046 ปีก่อนคริสตศักราช) โดยนักโบราณคดีใช้เวลาหลายปีในการเปิดภาชนะนี้ที่ขึ้นสนิม

รายงานระบุว่า มีการจัดส่งตัวอย่างของเหลวไปยังห้องปฏิบัติการวิจัยร่วมระดับนานาชาติด้านโบราณคดีสิ่งแวดล้อมและสังคมของมหาวิทยาลัยซานตงเพื่อตรวจสอบ ซึ่งผลลัพธ์ยืนยันว่าของเหลวดังกล่าวเป็นสุรากลั่น

อู๋เหมิง นักวิจัยร่วมประจำห้องปฏิบัติการฯ ซึ่งเป็นผู้นำการวิจัย กล่าวว่า ไวน์ผลไม้และไวน์ข้าวที่ผ่านการหมักโดยไม่ต้องกลั่นจะมีน้ำตาลและโปรตีน นอกเหนือจากมีเอทานอล แต่ตัวอย่างของเหลวนี้ไม่มีน้ำตาลและโปรตีน บ่งชี้ว่าเป็นไวน์กลั่นหรือสุรากลั่น

อู๋ เสริมว่า ต้นกำเนิดไวน์กลั่นหรือสุรากลั่นของจีนเป็นหัวข้อสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงวัฒนธรรมไวน์ของจีนมาโดยตลอด

อนึ่ง คณะนักโบราณคดีเคยค้นพบอุปกรณ์การกลั่นจากยุคราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ปี 220) รวมถึงสุรากลั่นจากยุคเดียวกันในหลายพื้นที่แล้ว ส่วนการค้นพบใหม่บ่งชี้ว่าประวัติศาสตร์การผลิตสุรากลั่นของจีนสามารถสืบย้อนกลับไปได้มากกว่าที่เคยสันนิษฐานไว้ถึง 1,000 ปี

'โฆษกรัฐบาล'ปูด!มีกลุ่มทุนจ้องล้มร่าง กม.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยยืนยันว่า รัฐบาลมุ่งแก้ไขปัญหาที่อยู่ใต้ดิน โดยตอนนี้เริ่มจะมีกลุ่มทุนที่พยามจะคว่ำร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งไม่ว่าจะจะใช้วิธีการอย่างไร รัฐบาลก็จะนำของใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดินเพื่อควบคุม โดยเชื่อว่าแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการอยู่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้

เมื่อถามว่า กลุ่มทุนใดจะเข้ามาขวางร่างกฎหมายนี้ โฆษกรัฐบาล ระบุว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่มีกลุ่มเสียประโยชน์ ก็จะช่วยกันคว่ำ โดยจะหาเหตุผลทางสังคม ซึ่งใช้วิธีขัดขวางทางโซเชียลและผ่านกลุ่มคนอื่นๆ รวมถึงไอโอ อย่างไรก็ตาม เมื่อนำขึ้นมาบนดินแล้ว รัฐบาลเราเห็น เรารู้ แล้วจะแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้

ทั้งนี้ คาดว่าร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อผ่านความเห็นของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป พร้อมขอเรียกร้องฝ่ายค้าน หากดูนโยบายเก่าๆ ก็สนับสนุนเรื่องนี้ ฉะนั้น ขอเรียกร้องให้ฝ่ายค้านหรือคนที่อยู่ในสภา เมื่อกฎหมายเข้าไปแล้ว ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) ที่พิจารณารายมาตรา หากเห็นอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ก็ขอให้เข้าไปแก้ไขในชั้น กมธ.


'หม่องชิดตู่'เรียกประชุมด่วน!! ออก 5 กฏเหล็กคุม'จีนเทา'สั่งห้าม'ค้ามนุษย์-ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์'

เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 68 รายงานข่าวจากหน่วยเฉพาะกิจราชมนู เผยว่า พ.อ.หม่องชิดตู่ เลขาธิการ กกล.BGF ได้มีการนัดพบ และประชุมกลุ่มผู้นำกองกำลังบีทีเอฟ (กกล.BGF) , ผู้นำกองกำลังดีเคบีเอ (กกล.DKBA) และผู้ประกอบการกลุ่มทุนจีนที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในพื้นที่ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สหภาพเมียนมา (สมม). ที่ห้องประชุม กองบังคับการควบคุม กกล.BGF จ.เมียวดี เพื่อขอความร่วมมือ และกำหนดมาตรการ การปฏิบัติในพื้นที่เรื่อง การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การหลอกลวง และการค้ามนุษย์ ประกอบด้วย

1.ให้นักธุรกิจและหุ้นส่วนธุรกิจทุกคนที่เข้ามา ประกอบธุรกิจในเขต จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สมม. จะต้องมี

2.การประสานงานกันอย่างใกล้ชิด และจะต้องเคารพและปฏิบัติตามมาตรการ ดังต่อไปนี้

3.ขอความร่วมมือติดตามข่าวสาร กลุ่มขบวนการค้ามนุษย์, กลุ่มสแกมเมอร์, กลุ่มทุนจีนสีเทา และกลุ่มกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ

4.ห้ามมีการกระทำการบังคับ ขู่เข็ญ การทำร้ายร่างกาย และการทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม

5.ห้ามใช้แรงงานเด็ก ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

6.ห้ามมีการเรียกรับเงิน จากการค้ามนุษย์

7.ห้ามดำเนินกิจการสแกมเมอร์ และการหลอกลวง หากผู้ประกอบการรายใดกระทำความผิดตามมาตรการดังกล่าว จะถูกดำเนินการให้เลิกกิจการ และให้ออกนอกพื้นที่

สำหรับการประชุมครั้งนี้มีรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมประกอบไปด้วย พ.อ.หม่องชิดตู่ เลขาธิการ กกล.BGF ประธานการประชุม,พ.ท.หม่องวิน ผบ.บก.ควบคุมพื้นที่ 3 กกล.BGF,พ.ท.เมาะโต่ง ผบ.บก.ควบคุมพื้นที่ 4 กกล.BGF, พ.ต.เต่งวิน ผบ.บก.ควบคุมพื้นที่ 2 กกล.BGF, พล.ต.หม่องส่วยวะ รอง ผบ.กกล.DKBA, พล.จ.ซานอ่อง เสนาธิการ กกล.DKBA,พล.จ.ไซจ่อละ (โกไซ) ผบ.พล.น.1 กกล.DKBA และกลุ่มผู้บริหารงาน และผู้ประกอบการชาวจีน จำนวนประมาณ 60 คน


หวั่นโดนล้วงตับ! ‘สหรัฐฯ’สั่งแบนรถยนต์อัจฉริยะสัญชาติ‘จีน-รัสเซีย’

15 ม.ค. 2568 สำนักข่าว Voice of America สหรัฐอเมริกา รายงานข่าว US finalizes rules banning Chinese, Russian smart cars ระบุว่า ทำเนียบขาวเปิดเผยถึงการกำหนดกฎเกณฑ์ขั้นสุดท้ายในการปราบปรามเทคโนโลยียานยนต์ของจีนและรัสเซีย ซึ่งมีผลบังคับห้ามไม่ให้รถยนต์อัจฉริยะส่วนบุคคลของทั้งสองประเทศเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ

ในเอกสารข้อเท็จจริงของทำเนียบขาวซึ่งให้รายละเอียดเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าว ในวันที่ 14 ม.ค. 2568 รัฐบาลสหรัฐฯ ที่นำโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวว่า แม้รถยนต์ที่เชื่อมต่อได้จะมีข้อดี แต่การเข้ามาเกี่ยวข้องของศัตรูจากต่างประเทศ เช่น จีนและรัสเซีย ในห่วงโซ่อุปทานของพวกเขานั้นมีความเสี่ยงอย่างร้ายแรงที่จะทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าถึงระบบที่เชื่อมต่อเหล่านี้และข้อมูลที่รวบรวมมาได้โดยไม่ถูกควบคุม

เอกสารข้อเท็จจริงดังกล่าวระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้ออกกฎเกณฑ์ขั้นสุดท้ายที่จะห้ามการขายและนำเข้าฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของรถยนต์ที่เชื่อมต่อได้ รวมถึงรถยนต์ที่เชื่อมต่อได้สำเร็จจาก PRC และรัสเซีย ซึ่ง PRC ก็คือสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งรถยนต์ที่เชื่อมต่อได้คือรถยนต์อัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคและให้ความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และคนเดินถนนผ่านการใช้งานชิ้นส่วนที่เชื่อมต่อได้มากมาย เช่น Wi-Fi, Bluetooth, เซลลูลาร์ และการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม

จีน่า ไรมอนโด (Gina Raimondo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ อธิบายว่า รถยนต์ในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงเหล็กบนล้อเท่านั้น แต่ยังเป็นคอมพิวเตอร์อีกด้วย นี่เป็นแนวทางที่มุ่งเป้าเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะรักษาเทคโนโลยีที่ผลิตในจีนและรัสเซียไว้ไม่ให้ใช้บนท้องถนนในอเมริกา

กฎใหม่นี้เป็นจุดสุดยอดของการตรวจสอบความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากยานยนต์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเป็นเวลาหนึ่งปี และจะช่วยให้สหรัฐฯ ป้องกันปฏิบัติการจารกรรมและบุกรุกทางไซเบอร์ขอจีน ซึ่งยังคงเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและความปลอดภัยสาธารณะของสหรัฐฯ

การปราบปรามรถยนต์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่วอชิงตันประกาศเมื่อต้นเดือนนี้ว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่การจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากโดรนที่ใช้เทคโนโลยีจากจีนและรัสเซีย สหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับการปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า


'สหรัฐฯ'เดินหน้าดับไฟป่าในเขตแคลิฟอร์เนียใต้ ดับแล้วอย่างน้อย 25 ศพ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดับไฟป่ายังคงเดินหน้าดับไฟป่าที่ไฟป่าที่ยังโหมไหม้อยู่ 4 จุด โดย 3 จุดแรกอยู่ในเทศมณฑลลอสแอนเจลิสหรือแอลเอเคาน์ตี้ ได้แก่ พาลิเซดส์ไฟร์ (Palisades Fire) เผาพื้นไปแล้วราว 59,300 ไร่ แต่ควบคุมเพลิงได้เพียงร้อยละ 18 เท่านั้น อีตันไฟร์ (Eaton Fire) เผาพื้นที่ไปแล้วราว 5,300 ไร่ ควบคุมได้แล้วร้อยละ 35 และเฮิร์สต์ไฟร์ (Hurst Fire) เผาพื้นที่เกือบ 2,000 ไร่ ควบคุมได้แล้วร้อยละ 97 ส่วนไฟป่าจุดที่ 4 คือ ออโต้ไฟร์ (Auto Fire) ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนวันจันทร์ในเทศมณฑลเวนทูรา เผาพื้นที่ไปกว่า 150 ไร่ ควบคุมได้แล้วร้อยละ 47

ในแง่ของความเสียหายอีตันไฟร์ถูกจัดให้เป็นไฟป่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเขตแคลิฟอร์เนียใต้ มีผู้เสียชีวิต 17 ศพ บ้านเรือนถูกเผาทำลาย 7,000 หลัง ขณะที่พาลิเซดส์ไฟร์ที่แม้ทำลายพื้นที่มากกว่าแต่ความเสียหายน้อยกว่า ถูกจัดเป็นไฟป่ารุนแรงอันดับสอง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน บ้านเรือนถูกเผาราว 5,000 หลัง ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากไฟป่าแอลเอเพิ่มเป็นอย่างน้อย 25 ศพ

อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลังจากที่ไฟสงบลงแล้ว ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดน่าจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก เพราะจากการออกสำรวจตามซากบ้านเรือนเจ้าหน้าที่พบเศษชิ้นส่วนของมนุษย์อยู่ในซากบ้านไม่เว้นแต่ละวัน ล่าสุดมีการนำสุนัขดมกลิ่นเข้ามาช่วยในการค้นหาด้วย

เวียดนามผงาด! ขึ้นแท่นยักษ์ใหญ่ตลาดทุเรียนโลก ลุยส่งออกจีนเตรียมแซงหน้าไทย

15 มกราคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รายงานของนักลงทุนพบว่า ยอดส่งออกทุเรียนของเวียดนามในปีที่แล้ว ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2022 ถึง 7.8 เท่า คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของมูลค่าการขนส่งผลไม้และผักทั้งหมด ความสำเร็จนี้ส่วนใหญ่เป็นผลจากความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในประเทศจีน เนื่องจากพบว่าคนจีนไม่ได้กินแค่ทุเรียนสดเท่านั้น แต่ยังชอบกินผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากทุเรียนด้วย ทุเรียนอบแห้ง ทุเรียนแช่แข็ง

ซึ่งจะพบว่าในเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว จีนนำเข้าทุเรียนทั้งหมด 1.53 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าราว 238,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% จากปีก่อนหน้า ซึ่งในจำนวนนี้ เวียดนามครองส่วนแบ่งตลาดคิดเป็นสัดส่วนถึง 47% ตามหลังประเทศไทยซึ่งเป็นผู้นำในการส่งออกทุเรียน มาแบบติดๆ โดยประเทศจีนได้ผลิตสินค้าจากทุเรียนขึ้นมามากมาย เช่น สุกี้ทุเรียน หม่าล่าทุเรียน บุฟเฟต์ทุเรียนเวียดนามได้ประโยชน์จากความนิยมตรงนี้ โดยพยายามรักษาการผลิตที่มีคุณภาพสูงตลอดทั้งปีเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแบบพรีเมียม

สำนักข่าวต่างประเทศ ระบุว่า ความสำเร็จของเวียดนามในการส่งออกทุเรียน เกิดจากกลยุทธ์ที่ครอบคลุม ทั้งการปรับปรุงคุณภาพ นวัตกรรมเทคโนโลยี และการขยายตลาดต่างประเทศ เวียดนามใช้ประโยชน์จากพื้นที่ปลูกทุเรียนกว่า 9 แสนไร่ โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงแ ละพื้นที่สูง เพื่อรักษาคุณภาพผลผลิตให้อยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปี ทั้งมีการทำข้อตกลงการค้าเชิงยุทธศาสตร์กับจีน ผ่านการส่งออกในปี 2022 ยิ่งทำให้สถานะของเวียดนามในการส่งออกทุเรียนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เวียดนามจึงมุ่งมั่นรักษามาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร มีการตรวจสอบย้อนถึงต้นกำเนิดของอาหารได้ และการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้อีกด้วย