ข่าว
‘ตั้ง อาชีวะ’ ยื่นขอลี้ภัยในเขมร ขั้นตอนอยู่ระหว่างการพิจารณา

เมื่อ 26 ก.ย. เว็บไซต์สำนักข่าวคัมโบเดีย เดลี่ ในประเทศกัมพูชา รายงานได้รับการยืนยันจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชา ว่า นายเอกภพ เหลือรา หรือ "ตั้ง อาชีวะ" ผู้ต้องหา ที่ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นสถาบัน ทำความผิดตามมาตรา 112 ได้ยื่นเรื่องขอลี้ภัยต่อรัฐบาลกัมพูชา หลังจากได้หลบหนีการจับกุมจากทางการไทย เข้ามาหลบซ่อนอยู่ในประเทศกัมพูชา เป็นเวลาหลายเดือนมาแล้ว

จากการสอบถาม นายเขือม สาริน หัวหน้าสำนักงานผู้ลี้ภัย ของกองตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ยืนยันว่า นายเอกภพ หรือ ตั้ง อาชีวะ ได้ยื่นเรื่องขอลี้ภัยอยู่ในกัมพูชาจริง และขณะนี้เรื่องของเขาอยู่ในระหว่างการพิจารณา เพราะทางสำนักงานผู้ลี้ภัยต้องตรวจสอบข้อมูลจากประเทศไทยเสียก่อน

"พวกเราต้องการรู้ข้อเท็จจริงว่า ทำไมเขาจึงมายื่นขอลี้ภัย พวกเราต้องการรู้เรื่องทั้งหมด" นายเขือม หัวหน้าสำนักงานผู้ลี้ภัยกัมพูชา กล่าวกับผู้สื่อข่าว พร้อมกับชี้ว่า เขาไม่สามารถยกเลิกเรื่องขอลี้ภัยของ ตั้ง อาชีวะ ได้ รวมถึงไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการพิจารณาเรื่องขอลี้ภัย อีกทั้งยังยืนยันว่า ตั้ง อาชีวะ มาหลบซ่อนอยู่ในกัมพูชาด้วยตัวเอง

ขณะเดียวกัน คัมโบเดีย ยังรายงานบทความของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการของไทย ที่ขณะนี้พำนักอยู่ในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ตีพิมพ์ลงใน นสพ.เจแปน ไทม์ส ฉบับวันอาทิตย์ที่ 21 ก.ย. แสดงความเห็นเกี่ยวกับ นายเอกภพ หรือ ตั้ง อาชีวะ ว่า เขาเคยติดต่อกับ ตั้ง อาชีวะ ซึ่งอยู่ในกัมพูชา โดยได้รับความคุ้มครองจากสำน้กงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) โดยนายเอกภพ ได้บอกกับเขาว่า ถูกทหารไทยเฝ้าติดตาม ขณะซ่อนตัวอยู่ที่เมืองสีหนุวิลล์ เมื่อเดือนก่อน

นายปวิน ซึ่งตำรวจไทยต้องการตัวเช่นกัน ฐานไม่ยอมไปรายงานตัวต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) ที่ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อ 22 ก.ค. ยังเผยด้วยว่า เพื่อนคนหนึ่งของนายเอกภพถูกบังคับให้เปิดเผยว่า นายเอกภพไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหน อีกทั้งเพื่อนคนนี้ยังรู้มาว่า กองทัพไทยได้รับ ‘ไฟเขียว’ จากทางการกัมพูชา ในการเข้ามาจับกุม ตั้ง อาชีวะ และส่งตัวกลับประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม จากการที่คัมโบเดีย เดลี่ ได้ติดต่อผ่านทางอีเมล์กับนายปวิน ยังได้เปิดเผยว่า เขาได้พูดคุยกับ ตั้ง อาชีวะ เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ตอนนี้ติดต่อกันไม่ได้แล้ว ขณะเดียวกัน นายเขือม สาริน หัวหน้าสำน้กงานผู้ลี้ภัย ปฏิเสธว่าทางการกัมพูชาไม่ได้ ‘เปิดไฟเขียว’ให้กองทัพไทยส่งเจ้าหน้าที่มาตามจับกุม ตั้ง อาชีวะ พร้อมทั้งปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นกรณีที่นายปวินอ้างว่า ตั้ง อาชีวะ ได้รับความคุ้มครองจาก UNHCR ระหว่างการหลบซ่อนในกัมพูชา โดยเพียงแต่กล่าวว่า ในกระบวนการทั้งหมด ยูเอ็นมักเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ แม้แต่เรื่องการสัมภาษณ์เหล่านี้

นอกจากนั้น คัมโบเดีย ยังรายงานว่า จากการสอบถามโฆษกของ UNHCR ในกรุงเทพฯ ปรากฏว่า ได้ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเป็นการส่วนตัวในเรื่องนี้เช่นกัน

หญิงมะกันได้เงิน 48 ล้าน ถูกตำรวจชกบนทางหลวง

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. นางมาร์ลีน พินน็อก หญิงชาวอเมริกัน อายุ 51 ปี ที่ถูกตำรวจหน่วยลาดตระเวนทางหลวงรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือ CHP ใช้กำลังต่อยหน้าและศีรษะใส่ริมถนน ได้รับเงินชดเชย 1.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 48 ล้านบาท หลังการเจรจาต่อรองระหว่างทนายสองฝ่ายนานกว่า 9 ชั่วโมง

โจ ฟาร์โรว คณะกรรมการของ CHP แถลงว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ตนสัญญาแล้วว่าจะไปตรวจสอบและหาทางออก วันนี้เราได้ทางออกที่สร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่ข้อตกลงที่น่าพึงพอใจของทุกฝ่าย ส่วนนายตำรวจที่ก่อเหตุนั้นได้ลาออกจากหน่วยไปแล้ว

ด้านแครี ฮาร์เปอร์ ทนายความของนางพินน็อกกล่าวว่า ลูกความได้สิ่งที่ต้องการ 2 อย่าง หนึ่งคือมั่นใจว่า ได้รับการชดเชยในชีวิต และสอง เจ้าหน้าที่นายนี้ต้องไม่ใช่เจ้าหน้าที่อีกต่อไป

ก่อนหน้านี้ ตำรวจระบุว่า นางพินน็อกทำให้ตัวเองและผู้ขับขี่เป็นอันตรายที่ออกไปเดินบนไหล่ถนนของทางหลวงฝั่งตะวันตกของนครลอสแองเจลิสช่วงการจราจรคับคั่งเช่นนั้น.ซึ่งคลิปภาพของเหตุการณ์บันทึกได้โดยนายเดวิด ดิแอซ ผู้สัญจรไปในจุดเกิดเหตุในช่วงดังกล่าว เป็นจังหวะที่นายตำรวจมาเจอหญิงรายนี้เดินบนถนน จึงวิ่งไปคว้าตัวแล้วผลักลงกับพื้น จากนั้นจึงชกใส่หลายครั้ง จังหวะต่อมา มีตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าไปช่วยตำรวจนายนี้จับนางพินน็อกใส่กุญแจมือ

จากเอกสารการไต่สวนของศาล. นางพินน็อกไม่มีอาการบาดเจ็บและปฏิเสธการรักษาพยาบาล แต่ถูกส่งไปควบคุมดูแลสภาพทางจิตใจนาน 2 สัปดาห์


′บิ๊กตู่′ปะทะเดือด′เจ๊ยุ′ อย่าดูถูกคนไทยด้วยกัน

การให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ทำเนียบรัฐบาล กรณีการฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 2 รายโดยสื่อต่างประเทศโจมตีการทำงานของรัฐบาลและตำรวจไทยในการคลี่คลายคดี จนเกิดการปะทะคารม ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนางยุวดี ธัญญศิริ ผู้สื่อข่าวอาวุโส ประจำทำเนียบรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์......เจ้าหน้าที่ของเรามีฝีมือหรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ ...ไม่มีมั้ง ตำรวจทั้งประเทศมี 8 แสนกว่าคน ท่านบอกว่าตำรวจไม่ได้เรื่อง ผมถามว่าเขาจะมีกำลังใจทำงานหรือไม่ แล้วคดีอื่นๆ อีกเท่าไร เฉพาะคดีนี้คดีเดียวตำรวจเสียหายทั้งกรมเลยหรือไม่ มันก็ไม่ใช่ ฉะนั้นพูดอะไรกันต้องระมัดระวังหน่อยให้เกียรติคนที่เขาทำงาน คนทำงานดีก็มีคนไม่ดีก็มีตนไม่ได้ปกป้องคนไม่ดี ถ้าเราไปทำให้องค์กรเสียหายต่อไปเขาจะทำงานหรือไม่ เรากำลังจะพัฒนาจะปฏิรูปตำรวจก็บอกว่าไม่สำเร็จอีก ก็มันดูถูกกันตั้งแต่วันแรก คนไทยด้วยกันดูถูกคนไทยด้วยกันแล้วมันจะทำอะไรสำเร็จ ผมขอถามหน่อย

นางยุวดี ธัญสิริ ผู้สื่อข่าวอาวุโส....สื่อมวลชนก็มีความหวังดีต่อประเทศชาติเหมือนกัน

พล.อ.ประยุทธ์....วิธีการของสื่อพูดให้ดีกว่านี้หน่อย รับไม่ได้ ตนรับไม่ได้ตรงที่ท่านมองดูถูกคนไปหมดแบบนี้ไม่ได้ เขาเป็นตำรวจมา 30 ปี ป้า (นางยุวดี) เคยไปสอบสวนใครเหมือนที่ตำรวจทำหรือไม่ เคยไปเรียนที่สกอตแลนด์ยาร์ด หรือ เอฟบีไอ ถ้ามองคนแบบนี้อยู่กันไม่ได้ ทะเลาะกันแบบเดิม

นางยุวดี...นโยบายของนายกรัฐมนตรี ไม่เอาการเมืองเข้าไปแทรกแซงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.อ.ประยุทธ์.... การเมืองตรงไหน

นางยุวดี...ผบ.ตร.คนใหม่

พล.อ.ประยุทธ์....เขาเป็นใคร

นางยุวดี....ก็เดินตามก้นนักการเมืองมาตลอดชีวิต

พล.อ.ประยุทธ์....มันก็เดินตามตูดทุกคน ถ้าผมเห็นป้า (นางยุวดี) ก็เดินตามเขา

นางยุวดี...เป็นแค่นักข่าว ไม่เคยตามใคร

พล.อ.ประยุทธ์...เห็นว่าตามเขา เป็นนักข่าวก็ตามไง

นางยุวดี....นายกรัฐมนตรีจะต้องมีปรับตัว

พล.อ.ประยุทธ์....ก็จะต้องปรับทั้งสองฝ่าย ปรับให้ผมด้วย อย่าให้ผมปรับคนเดียว วันนี้ตนยังไม่ได้โมโหเลย ถ้าโมโหแรงกว่านี้

นางยุวดี....การให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยที่ประเทศอินโดนีเซียจับกุม พล.อ.ประยุทธ์...ตอนนี้พยายามช่วยเหลือให้ได้กลับประเทศทุกคน โดยเป็นการพูดคุยกันระหว่าง 2 ประเทศ เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของประเทศ เมื่อกระทำความผิดของบ้านเขา อยู่ดีๆ จะไปเอาคนทำความผิดในบ้านเขากลับมามันง่ายหรือไม่ เพราะเรื่องนี้มีคดีความ 2-3 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวจบ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวติดตลกว่า วันนี้อยากจะโดนอะไรอีก แค่นี้ก็พูดเล่น ยังจะไปเขียนตลกอยู่นั่น หลังจากนั้นได้ยกมือไหว้นางยุวดี พร้อมกล่าวว่า "พี่ขอโทษ ไม่ได้เสียงดัง" ทำให้นางยุวดีบอกว่า "ขอให้นายกรัฐมนตรีใจเย็นๆ" พล.อ.ประยุทธ์ จึงตอบกลับมาว่า "โอ้ยนี่เย็นสุดแล้ว ผมไม่โกรธ"

นางยุวดีจึงกล่าวว่า ให้เกียรตินายกรัฐมนตรีตลอด พล.อ.ประยุทธ์ตอบพร้อมกับยิ้มว่า "ขอบคุณมากเลย รู้ว่าให้เกียรติผม ไม่ได้มีอะไร เพียงแต่ว่าบางครั้งต้องทบทวนว่าเขียนแบบนี้จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ถ้าไม่ได้ประโยชน์อย่าไปทำเลย และยิ่งไปขยายความต่างประเทศ เหมือนกับเราไปเข้าทางเขาหมด เพราะเขาต้องการดิสเครดิตเราอยู่แล้ว"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ยกมือไหว้ขอโทษนางยุวดีแล้ว ยังมีการพูดหยอกล้อว่า "จะตั้งนางยุวดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์" ทำให้ผู้สื่อข่าวต่างพากันขำและลดบรรยากาศตึงเครียดลงทันที


รอง ผอ.ธัญญารักษ์ ฟ้อง เสก โลโซ หมิ่น

วันที่ 26 ก.ย. ที่ศาลอาญา มีรายงานว่า นายวรภพ ทัพศาสตร์ ทนายความของ นายแพทย์อังกูร ภัทรากร รองผู้อำนวยการสถาบันธัญญารักษ์ ได้เดินทางมายังศาล เพื่อยื่นฟ้อง นายเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือ เสก โลโซ นักร้องชื่อดัง ในความผิดฐานหมิ่นประมาท และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากกรณีที่ เสก โลโซ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว โดยในเนื้อหาคล้ายดูหมิ่นนายแพทย์อังกูร

นายวรภพ ทนายความของ นายแพทย์อังกูร เปิดเผยว่า เสก โลโซ ได้โพสต์ว่า นายแพทย์อังกูร บุกรุกไปที่บ้านพัก ทั้งที่ความเป็นจริง กานต์ วิภากร ศุขพิมาย ภรรยาของนายเสก เป็นผู้มารับนายแพทย์อังกูรไปที่บ้านของตนเอง และตอนนั้นเสกก็อยู่ที่บ้านด้วย แต่เมื่อไปถึงก็ไม่ได้มีการพูดคุยใดๆ สักพัก นายแพทย์อังกูร จึงได้เดินทางกลับ และยังบอกอีกว่าเสก ยังได้โพสต์เฟซบุ๊ก ด่านายแพทย์อังกูร โดยที่หนุ่มเสกนั้นได้ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายและพาดพิงถึงครอบครัว บุพการี ดังนั้น นายแพทย์อังกูร เป็นผู้ดูแลรักษาเสก โลโซ ในช่วงบำบัดยาเสพติด และยังเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะของแพทย์ จึงต้องออกมาปกป้องตนเอง

ส่วนเรื่องที่จะมีการเจรจาหรือไม่ นายวรภพบอก หาก เสก โลโซ ออกมาขอโทษ ก็คงจะต้องปรึกษานายแพทย์อังกูรอีกครั้งก่อน ว่าคุณหมอจะพูดคุยไหม ซึ่งศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้อง ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ช่วงบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งวันนั้นคุณหมอก็จะเดินทางมาด้วยแน่นอน ส่วนทางด้านนั้น ตามกฎหมายแล้วเขาจะมาก็ได้ไม่มาก็ได้


บัณฑิตทำปริญญาตก′ปลื้มปีติ′ พระเทพฯรับสั่ง′มารับใหม่นะลูก′

เมื่อวันที่ 25 กันยายน กรณีเฟซบุ๊กของ Parinya Nuanpan เผยแพร่คลิป สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯต่อบัณฑิตในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยทักษิณ จ.สงขลา มีการเขียนบรรยายเนื้อหาโดย Yoyea Tsu ว่า เป็นงานพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา สมเด็จพระเทพฯทรงยื่นใบปริญญาบัตรแก่บัณฑิต 3 คนสุดท้าย แต่ใบปริญญาที่จะทรงมอบตกลงพื้น บัณฑิตได้ก้มลงเก็บแล้วถวายความเคารพออกไป แต่พระองค์ทรงเรียกและกวักพระหัตถ์ให้บัณฑิตกลับมารับใหม่อีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวมีโอกาสสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์จันทรัตน์หรืออูฐ อายุ 35 ปี บัณฑิตคนดังกล่าว จบการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาการปกครองท้องถิ่น ขณะนี้เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) ท่าหิน อ.สทิงพระ จ.สงขลา โดยได้รับทุนจาก อบต.ท่าหินในการศึกษาต่อระดับปริญญาตรี

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในวันนั้นเมื่อตนกำลังจะยื่นมือรับพระราชทาน ใบปริญญาเกิดตกลงพื้น แม้จะตกใจ แต่ก็ก้มลงเก็บและถวายความเคารพ ถอยหลังเดินไปตามที่ได้ซักซ้อมมา ระหว่างนั้นเห็นว่าสมเด็จพระเทพฯทรงโบกพระหัตถ์พร้อมรับสั่งว่า "มารับใหม่นะลูก" เมื่อได้ยิน รู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล แต่ไม่กล้าเดินกลับไป เพราะกำลังอยู่ในแถวรับพระราชทานปริญญาบัตร แม้จะเป็น 3 คนสุดท้าย จนมหาดเล็กมาเรียกกลับไปใหม่ และได้เห็นพระองค์แย้มพระสรวล ก่อนจะพระราชทานปริญญาให้ใหม่อีกครั้ง ตนน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจในพระมหากรุณาธิคุณ เพราะหากพระองค์ไม่ทรงเรียกก็พลาดที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์พระองค์ท่าน จากที่ได้พยายามร่ำเรียนมาตลอด 4 ปี เพื่อให้ครอบครัวได้ภาคภูมิใจและนำความรู้กลับไปพัฒนาท้องถิ่นต่อไป

"หลังเหตุการณ์ดังกล่าวมีเพื่อนส่งคลิปมาให้ดูผมเองก็ยังตื่นเต้นเมื่อหลับตาก็ยังเห็นพระพักตร์ที่แย้มพระสรวลของพระองค์ท่าน เป็นพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นมงคลต่อชีวิตของผมอย่างมาก" นายอภิสิทธิ์กล่าว

“ตู่”เตือนให้ข่าวแต่งตั้ง ต้องผ่านมติครม.ก่อน

เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ถึงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีความเป็นเอกภาพ บูรณาการ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รัฐบาลก็ใช้แนวทางคือ การดำเนินการใด ๆ ของทุกกระทรวง หากต้องเป็นเรื่องของการแต่งตั้งบุคลากรระดับสูง การใช้จ่ายเงินงบประมาณ นโยบายหลักของรัฐบาลนั้น จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.เพื่อขออนุมัติจึงจะดำเนินการได้ โดยนายกรัฐมนตรี (นรม.) จะเป็นผู้อนุมัติให้นำเข้าที่ประชุมครม. เอกสารทางราชการของทุกกระทรวงที่มีถึงนายกฯ จะต้องผ่านความเห็นชอบของ รองนายกฯด้วย แต่ละฝ่ายควรจะระมัดระวังการให้ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์

"ถ้าให้ไปก่อนเร็วเกินไปยังไม่ได้ผ่าน ครม.เดี๋ยวเกิดความเข้าใจผิด ประชาชนก็สับสน เพราะฉะนั้นผมได้ย้ำเตือนท่านรัฐมนตรี ท่านปลัดกระทรวงไปแล้ว เรื่องใดก็ตามที่ผ่าน ครม. แล้วจึงจะมีการประชาสัมพันธ์ได้ เรื่องอื่น ๆ ก็ประชาสัมพันธ์ให้รับทราบว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ได้ แต่รายละเอียดอย่าเพิ่งลงไปมากนัก วันนี้ก็ให้มีการตรวจสอบในเรื่องของนโยบายจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก่อน เพื่อป้องกันความสับสนของประชาชนวันนี้ก็ให้กระทรวงดำเนินการตามนี้"พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง การแก้ปัญหาราคาข้าวว่า ในอีกไม่กี่เดือน ก็จะถึงหน้าเก็บเกี่ยวข้าว รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ที่ผ่านมาก็แก้ไปแล้วขั้นตอนหนึ่ง พอลงทุนใหม่กรอบใหม่ ก็ต้องเตรียมการใหม่อีก เพราะเป็นปัญหาที่ทับซ้อนมาเป็นเวลานานแล้ว วันนี้ก็เลยให้มีการลงพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องชาวนาในจังหวัดต่าง ๆ พี่น้องชาวนาส่วนใหญ่ มีความกังวลในเรื่องของปัญหาราคาข้าว รัฐบาลเอง มีความจริงใจ ที่จะแก้ปัญหาก็พยายามผลักดันให้ราคาข้าวเปลือกสูง ขึ้น กระทรวงพาณิชย์ ก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ราคาข้าวเปลือกเจ้า 5% น่าจะต้องมีราคาให้ใกล้เคียง ตันละ 8,500 บาท และจะจัดการระบายข้าวในสต็อก เน้น การส่งออกไปต่างประเทศ และขอให้พี่น้องชาวนามั่นใจว่า รัฐบาลจะมีการวางแผนการระบายข้าว ไม่ให้กระทบต่อราคาข้าวที่ควรจะเป็น

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากลงพื้นที่เพื่อพบกับพี่น้องชาวนาไทยโดยตรงแล้ว รัฐบาลจะนัดหารือเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันกับตัวแทนผู้นำเกษตรชาวนา จาก 5 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมชาวนาไทย สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย สมาคมส่งเสริมชาวนาไทย สมาคมเครือข่ายชาวนาไทย และเครือข่ายศูนย์ข้าวชุมชน โดยจะเป็นการระดมสมอง กำหนดแนวทางในการรักษาเสถียรภาพของราคาข้าว ซึ่งจะมีการนัดหารือติดตามผลการดำเนินงานทุก 15 วัน จะมีการเรียกประชุมกับผู้ส่งออกและโรงสีเพื่อกำหนดแนวทางในการดูแลข้าวทั้ง ระบบ

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึง การแก้ปัญหาราคายางพาราว่า ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ หรือ กนย. ไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ และก็มีผู้แทนจากส่วนราชการต่าง ๆ และภาคเอกชนเข้าร่วมหารือ หาแนวทางการแก้ไขปัญหายางพารา โดยเฉพาะแนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบ ซึ่งก็มีข้อเสนอมามากมาย จากสมาคม จากภาคเอกชนด้วย ต้องฟังหลาย ๆ ทางซึ่งทั้งหมดนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รวบรวมเสนอมาถึงการบริหารจัดการคลังยางของรัฐบาล ซึ่งจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกลไกการตลาดในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอต่อที่ประชุมใน 4 แนวทางด้วยกันก็คือ เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น โดยนำยางมาใช้ในการสร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย ผลิตภัณฑ์แปรรูป ที่นอนอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า สถาบันวิจัยยางเพื่อไปเพิ่มมูลค่าการผลิต เรายังไม่สมบูรณ์

"ฉะนั้น เราต้องช่วยกันลดทั้งอุปสงค์ อุปทาน รักษาระดับปริมาณยางทั้งในประเทศและการค้าขายกับต่างประเทศให้ได้ กำหนดราคาให้ได้ ต้องไปสู่การโซนนิ่งในอนาคต ที่มีการพูดว่า จะมีการจ้างให้เลิกปลูกยาง ผมไม่เคยพูดอย่างนั้นเลย เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิด ก็เพียงแต่ว่า ใครอยากจะเปลี่ยนไปเป็นอาชีพอื่นๆ รัฐบาลก็จะหาทางสนับสนุนให้ว่า อยากทำอะไรไปหาช่องทางที่เหมาะสม ราคาไม่ตก และก็เหมาะสมกับพื้นที่ ก็เป็นทำนองนั้นมากกว่า ใครจะนำเงินไปจ้างใครให้เลิกทำอาชีพ เป็นไปไม่ได้ อย่างมากมาเยียวยาให้หรือสนับสนุนให้ไปทำใหม่ ทำอย่างอื่นแทน อะไรทำนองนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับท่าน บังคับท่านได้ที่ไหน เวลาบังคับก็มีเรื่องทุกที ฉะนั้นถ้าท่านสมัครใจทำนี้ก็จะเกิดขึ้น ๆ และอนาคตก็จะยั่งยืน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว