สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ว่ากระทรวงกิจการทหารผ่านศึกสหรัฐออกแถลงการณ์ ยืนยันการเตรียมลดจำนวนบุคลากรภายในสังกัด จากประมาณ 470,000 คน เหลือประมาณ 398,000 คน เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ ให้ตอบสนองต่อการให้บริการทหารผ่านศึกทุกนาย
ขณะที่นายดัก คอลลินส์ รมว.กระทรวงกิจการทหารผ่านศึกสหรัฐ ยืนยันว่า การลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของกระทรวง จะไม่ส่งผลกระทบต่อสวัสดิการทุกด้านของทหารผ่านศึก
ด้านรายงานที่สื่อท้องถิ่นหลายแห่งของสหรัฐเปิดเผยก่อนหน้านี้ ระบุจำนวนบุคลากรในสังกัดกระทรวงกิจการทหารผ่านศึก ไว้ที่มากกว่า 470,000 คน ตามสถิติ ณ เดือนต.ค. 2567 และแผนการของผู้บริหารกระทรวง คือการลดจำนวนเจ้าหน้าที่ให้เหลือ 399,957 คน ซึ่งจะใกล้เคียงกับเมื่อปี 2562
ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ทุกคนในสังกัดกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกได้รับคำสั่ง ให้ส่งรายงานเกี่ยวกับการทำงานของตัวเอง ให้แก่สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลประธานาธิบดี ภายในวันที่ 14 เม.ย. นี้
อนึ่ง บุคลากรของกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งสภาคองเกรสในสมัยนั้นบัญญัติกฎหมาย ขยายขอบเขตการดูแลด้านสาธารณสุขให้แก่ทหารผ่านศึก
นายกฯ ยกหูจากเยอรมนีคุย ‘นายกฯมาเลเซีย’ เตรียมความพร้อมร่วมมือแก้ปัญหาน้ำท่วมลุ่มแม่น้ำโก-ลก ผลักดันโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่-ด่านบูกิตกายูฮิตัม คาดเสร็จภายในต.ค.นี้
6 มีนาคม 2568 เมื่อเวลา 16.20 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กและ X (ทวิตเตอร์) ขณะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่นครเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 3-8 มี.ค.นี้
โดยมีข้อความระบุว่า วันนี้ดิฉันได้หารือทางโทรศัพท์กับดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ถึงความพร้อมในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณลุ่มแม่น้ำโก-ลก เพื่อประโยชน์ร่วมกัน และบรรเทาปัญหาให้แก่ประชาชนในพื้นที่
นายกฯ ระบุอีกว่า เพราะปัญหาการจัดการน้ำคือวาระสำคัญของรัฐบาลทั้งสองประเทศ โอกาสนี้ดิฉันจึงได้หารือกับท่านอันวาร์เพื่อเร่งรัดการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ ความตกลงว่าด้วยการรับรองผลการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนแบบคงที่ตามแม่น้ำโก-ลก และร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยแผนดำเนินงานการบริหารจัดการลุ่มแม่น้ำโก-ลก แบบบูรณาการ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกำหนดกลไกและแนวทางความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างมีระบบและยั่งยืนต่อไป พร้อมกันนี้ ดิฉันได้หารือถึงการผลักดันโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่-ด่านบูกิตกายูฮิตัม เพื่อให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา โดยถนนของฝ่ายไทยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนต.ค. 2568 นับเป็นการหารือที่เชื่อว่า พี่น้องประชาชนของทั้งสองประเทศจะได้ประโยชน์ร่วมกัน
6 มี.ค. 2568 นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง รายงานข่าว Chinese credit ratings firm downgrades Thailand over crime scandals and economic prospects ระบุว่า ไชนา เฉิงซิน (China Chengxin) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงปักกิ่งของจีน ได้ลดระดับ “ความน่าเชื่อถือ (Credit)” ของประเทศไทยจาก A- เป็น BBB+ หลังจากเกิดเหตุการณ์อาชญากรรมข้ามพรมแดนที่เป็นข่าวโด่งดังหลายครั้ง
การที่ระดับลดลง หมายความว่าความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือของไทยได้รับการจัดประเภทเป็น “ปานกลาง (Normal)” แทนที่จะเป็น "ต่ำ (Low)" ในขณะที่สถานะทางเศรษฐกิจและการเงินของไทยได้รับการจัดอันดับเป็น “ปกติ (Fine)” แทนที่จะเป็น “แข็งแกร่ง (Strong)”
“เหตุอาชญากรรมข้ามพรมแดนได้เผยให้เห็นข้อบกพร่องระยะยาวของรัฐบาลไทยในด้านการกำกับดูแล หากวิกฤติด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อแนวโน้มของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ” บริษัทจัดอันดับเครดิตดังกล่าว ซึ่ง มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody's Ratings) บริษัทจัดอันดับสัญชาติสหรัฐฯ ร่วมถือหุ้นส่วนน้อยอยู่ด้วย ระบุ
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ชาวจีนเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดของไทย โดยมีพลเมืองจีนประมาณ 6.7 ล้านคนเดินทางไปเยือนประเทศไทย กระทั่งในเดือน ม.ค. 2568 เมื่อ หวังซิง (Wang Xing หรือ "ซิงซิง") นักแสดงหนุ่มชาวจีน เดินทางมาประเทศไทยแล้วถูกขบวนการค้ามนุษย์ลักพาตัว ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวจีนเสียหาย ข่าวดังกล่าวถูกแชร์อย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ ก่อนจะถึงช่วงหยุดยาวในเทศกาลตรุษจีนที่ผู้คนนิยมเดินทางท่องเที่ยว
ตามข้อมูลของ China Trading Desk บริษัทการตลาดการเดินทางและเทคโนโลยี การจองทัวร์วันหยุดในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงวันที่ 13-20 ม.ค. 2568 ลดลงร้อยละ 15.6 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า เหตุการณ์ดังกล่าวยังสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนชาวจีนบางส่วนที่กำลังพิจารณาขยายธุรกิจมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แพทองธาร ชินวัตร (Paetongtarn Shinawatra) นายกรัฐมนตรีของไทย ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเปลี่ยนแปลงแนวทางดังกล่าว โดยให้คำมั่นว่าจะปราบปรามอาชญากรรม มีการเดินทางไปเยือนจีน และเผยแพร่คลิปวิดีโอที่สร้างด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อกระตุ้นให้ชาวจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทย
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า การปรับลดความน่าเชื่อถือของประเทศไทยของไชนา เฉิงซิน ยังเกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าตั้งแต่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบกับแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่ผู้ส่งออกและภาคการผลิตของไทยต้องเผชิญ ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์ยังมองว่า นโยบายกำแพงภาษีสินค้านำเข้า ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นำมาใช้ อาจยิ่งซ้ำเติมหนักขึ้น ซึ่งปัจจุบันจีนถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไปแล้วในอัตราร้อยละ 20 และทรัมป์น่าจะใช้มาตรการเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ที่ค้าขายกับสหรัฐฯ แล้วได้ดุลการค้า
ในปี 2567 ประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ในอาเซียน มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ 45,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 1.79 เปอร์เซ็นต์ ในปีดังกล่าว โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์
หากมองในปี 2568 เนื่องจากสหรัฐฯ มีแผนที่จะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราสูง หากมีการบังคับใช้นโยบายภาษีนำเข้าที่เกี่ยวข้องและกลายเป็นแนวโน้มระยะยาว อาจทำให้การส่งออกของไทยมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นและจำกัดการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นอกจาก ปัจจัยทางการเมืองอย่างการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังทำให้นโยบายดำเนินการอย่างไม่ต่อเนื่อง
ซ่ง เซิง วุน (Song Seng Wun) ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของบริษัทให้บริการทางการเงิน CGS ซึ่งตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า การจัดอันดับล่าสุดโดยบริษัทสัญชาติจีนอย่างเฉิงซิน สำหรับประเทศไทยนั้นใกล้เคียงกับการจัดอันดับที่บริษัทอื่นๆ มอบหมายให้ แต่การจัดอันดับอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทย “ยังมีเสถียรภาพ (Stable)” และผลลัพธ์สุดท้ายคือ แนวโน้มของประเทศไทยยัง “ใช้ได้ (OK)"
รายงานของสื่อฮ่องกงยังกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 3 มี.ค. 2568 ไชนา เฉิงซิน ได้ลดระดับความน่าเชือ่ถือของเยอรมนีลงหนึ่งขั้นเป็น AA+ โดยอ้างถึงผลกระทบของสงครามในยูเครนและความท้าทายที่อุตสาหกรรมหลักหลายภาคส่วนต้องเผชิญ
6 มี.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Asian countries in the cross-hairs of Trump tariffs ระบุว่า หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับจีน แคนาดาและเม็กซิโกไปแล้ว แต่ยังมีอีกหลายประเทศในทวิปเอเชียที่เตรียมถูกล็อกเป้าเป็นคิวต่อไป โดยเวียดนาม ไต้หวันและไทย จะเป็นกลุ่มประเทศที่มีได้รับผลกระทบอย่างสูงหากต้องเจอกับมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากมีอัตราส่วนการส่งออกต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) สูงเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ
จากการที่ทรัมป์เสนอมาตรการภาษีศุลกากรที่มุ่งเป้าไปที่ภาคส่วนต่างๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยา เหล็กกล้าและอลูมิเนียม บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง Nomura คาดว่า สินค้าส่งออกมากกว่า 1 ใน 4 จากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน อาจได้รับผลกระทบ ขณะที่มาเลเซีย เกาหลีใต้ และไทย เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของอเมริกาเหนือมากกว่า ทำให้ประเทศเหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อจากแคนาดาและเม็กซิโก
ข้อมูลระบุว่า ในมาเลเซีย ร้อยละ 0.59 ของ GDP เชื่อมโยงกับการค้าที่เพิ่มมูลค่าการส่งออกของแคนาดาและเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในเศรษฐกิจของเอเชีย ด้านไต้หวันและเวียดนามมีความเสี่ยงต่อการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ มากกว่า ซึ่งหมายความว่าประเทศเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ขณะที่ภาษีศุลกากรของทรัมป์มุ่งเป้าไปที่ 3 ประเทศเพื่อแก้ปัญหาความไม่สมดุลทางการค้า ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ สูงที่สุดก็ถูกมองว่ามีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมเช่นกัน ในเอเชีย จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น และไต้หวัน มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ สูงที่สุด ตามรายงานล่าสุดของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
เศรษฐกิจเอเชียบางแห่งยังเผชิญความเสี่ยงจากภาษีศุลกากรซึ่งกันและกัน เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดแผนการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศที่เรียกเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ สูงกว่าที่สหรัฐฯ จัดเก็บ ขณะที่รายงานของ Oxford Economics ระบุว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ ในปัจจุบันตัดสินใจเรื่องภาษีศุลกากรซึ่งกันและกันโดยพิจารณาจากความแตกต่างของภาษีศุลกากรที่มีผลบังคับเพียงอย่างเดียว ก็มีแนวโน้มว่าภายในเอเชีย อินเดีย ไทย และเกาหลีใต้ จะมีความเสี่ยงมากที่สุด และอาจเผชิญกับภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีกประมาณ 5 ppt
6 มี.ค. 2568 เวลา 21.11 น. ตามเวลาประเทศไทย นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เกาหลีใต้ ว่า วันนี้ (6 มี.ค. 2568) ได้ปรากฏรายงานข่าวว่า เครื่องบินรบของกองทัพอากาศเกาหลีใต้ 2 ลำ ได้ปล่อยระเบิดรุ่น MK-82 ซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์ที่ใช้สำหรับการทำลายอาคารและสะพานเป็นหลัก รวมทั้งหมด 8 ลูก ผิดพลาดในพื้นที่ชุมชนที่เมืองโพชอน จ.คย็องกี ในระหว่างการฝึกซ้อมรบร่วม Freedom Shield ระหว่างเกาหลีใต้-สหรัฐฯ
เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับบ้านเรือนและอาคารอื่น ๆ ในพื้นที่ และส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้นจำนวน 15 คน ซึ่งมีคนไทยได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยรวมทั้งหมด 4 คน หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บบริเวณมือและขา และอยู่ระหว่างการรักษาตัวที่ รพ. โพชอนอึยรโยวอน ก่อนรอเข้ารับการผ่าตัดในวันที่ 7 มี.ค.2568 โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเกาหลีใต้จะเป็นผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ส่วนคนไทยอีก 3 คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและเดินทางกลับที่พักแล้ว
สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ติดต่อพูดคุยกับผู้ได้รับบาดเจ็บเพื่อเยี่ยมเยียนและสอบถามอาการแล้ว และจะติดตามอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป
ด้านกองทัพอากาศเกาหลีใต้ ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษประชาชนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะมีมาตรการเพื่อเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นครั้งแรกที่มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมรบทางอากาศระหว่างเกาหลีใต้-สหรัฐฯ นับตั้งแต่การสงบศึกของสงครามเกาหลี
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ท้องถนนหลายสายในกรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียในวันนี้ยังคงมีน้ำท่วมสูง หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์
สถานการณ์น้ำท่วมส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาต ระดับน้ำบางพื้นที่โดยเฉพาะในย่านชุมชนชานกรุงจาการ์ตาสูงถึง 3 เมตร เนื่องจากแม่น้ำล้นตลิ่งหลังฝนตกหนักจนไหลทะลักเข้าท่วมหลายจุด บ้านเรือนกว่า 1,200 หลังคาเรือนจมอยู่ใต้น้ำ ยวดยานถูกน้ำท่วมเสียหายจำนวนมาก ทหารและเจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยอพยพชาวบ้านหลายพันคนออกจากบ้านเรือน
ทั้งนี้ สำนักอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติอินโดนีเซียแจ้งว่า ฝนจะตกหนักในกรุงจาการ์ตาและเขตปริมณฑลไปจนถึง 11 มีนาคมนี้
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012