ข่าว
อาลัย! 'ชาร์ลี มังเกอร์'เสียชีวิตแล้วในวัย 99 ปี ปิดตำนาน'ผู้หยั่งรู้แห่งพาซาดีนา'

29 พฤศจิกายน 2566 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า Berkshire Hathaway บริษัทด้านการลงทุนแถลงการณ์ว่า 'ชาร์ลี มังเกอร์' เจ้าของฉายา ผู้หยั่งรู้แห่งพาซาดีนา มหาเศรษฐีนักลงทุน เพื่อนสนิทและมือขวาของ 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' เสียชีวิตอย่างสงบที่โรงพยาบาลแคลิฟอร์เนีย ด้วยอายุ 99 ปี โดยไม่มีการระบุสาเหตุการเสียชีวิต

ชาร์ลี มังเกอร์ ดำรงตำแหน่งรองประธานของ Berkshire Hathaway บริษัทด้านการลงทุน ตั้งแต่ปี 1978 และตลอดอาชีพการงานของเขา เขาเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะมือขวาผู้ชาญฉลาดของ'วอร์เรน บัฟเฟตต์'ซึ่งมักจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ จนได้รับฉายาว่า "ผู้หยั่งรู้แห่งพาซาดีนา" โดยที่มาของฉายามาจากที่'ชาร์ลี มังเกอร์' มีความรู้และความสามารถในการคาดการณ์ตลาดและการลงทุนที่ยอดเยี่ยมนั่นเอง ตามการจัดลำดับของ'ฟอร์บส์' ชาร์ลี มังเกอร์ มีทรัพย์สินรวม 9.3 หมื่นล้านบาท

ทางด้านวอร์เรน บัฟเฟตต์ กล่าวถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของชาร์ลี มังเกอร์ ว่า Berkshire Hathaway จะไม่สามารถยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ได้ หากปราศจากแรงบันดาลใจ สติปัญญา และการมีส่วนร่วมของเขา

ด่วน!! 'กรณ์'ไขก๊อกสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้า หลังรับ'สส.แจ้ ปราจีน'เข้าคอก

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 29พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรณ์ จาติกวนิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) ได้โพสต์เฟซบุ๊ค Korn Chatikavanij ระบุว่า หลังจากที่ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหาร พรรค เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2566 วันนี้ผมได้ยื่นลาออกจากสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้า โดยมีผลตั้งแต่ 29 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป พร้อมภาพใบลาออกอย่างเป็นทางการ โดยไม่ได้มีการระบุถึงสาเหตุของการลาออกจากสมาชิกพรรคแต่อย่างใด

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า การลาออกจากสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้าเกิดขึ้นภายหลังที่ เมื่อเวลา15.30น. ทางเว็บไซต์สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีการแก้ไขประวัติของนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี เขต2 ที่โดนขับออกจากพรรคก้าวไกล ในกรณีคุกคามทางเพศ โดยระบุว่าอยู่สังกัด “พรรคชาติพัฒนากล้า”


ภาพดีมีมนต์ขลัง! ‘นราพัฒน์’เดินหน้าเต็มสูบสู้ศึกชิง‘หัวหน้าปชป.’

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 นายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ผู้เสนอตัวลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในการประชุมใหญ่วิสามัญในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.วทันยา บุนนาค ประกาศตัวลงชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ส่วนตัวยังยืนยันลงชิงหัวหน้าพรรคเช่นเดิม และเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่มีคนมาลงชิงหัวหน้าพรรค เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของ และเปิดโอกาสให้กับทุกคนอยู่แล้ว ดังนั้น การที่ น.ส.วทันยา มาลงชิงหัวหน้าจะทำให้ภาพดีขึ้น เพราะเท่ากับว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการการเปลี่ยนแปลง และมีคนรุ่นใหม่ๆ สนใจเข้ามาร่วมบริหารและปรับปรุงพรรค และผสมผสานกับคนรุ่นเดิมๆ ได้ จึงถือเป็นภาพที่ดีและเป็นจุดแข็งของพรรค ที่จะสามารถอธิบายกับพี่น้องประชาชน และสมาชิกพรรคได้ ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาสร้างมนต์ขลังอีกครั้งหนึ่ง

สำหรับข้อเสนอที่ให้ลดสัดส่วนองค์ประชุม ส.ส.ที่จะใช้ในการโหวต 70:30 นั้น นายนรพัฒน์ กล่าวว่า เรื่องนั้นผ่านถือว่าผ่านไป ตั้งแต่การประชุมครั้งที่แล้วว่าการกำหนดสัดส่วนองค์ประชุม 70 ต่อ 30 ซึ่งถูกใช้มาทุกครั้ง หากจะมายกเว้นในครั้งนี้ก็จะดูว่าเหมือนการยกเว้นเฉพาะกิจแล้วเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มบางกลุ่ม จึงเห็นว่าควรต้องเป็นไปตามครรลองเดิม และหากเสียงส่วนใหญ่คิดว่าน่าจะยกเลิก เป็น 60 ต่อ 40 หรือเท่าเทียมกันหมด ก็น่าจะเป็นการเลือกตั้งในครั้งหน้าคือครั้งถัดไป เพราะเรายังมีเวลาในการที่จะปรับโครงสร้าง หรือแก้ไขข้อบังคับ หรือเขียนกฎกติกาอะไรเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย ก็ขอเป็นครั้งต่อๆ ไปที่จะทำ เพราะเรื่องนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาในการประชุมครั้งที่แล้วค่อนข้างมากว่าในอดีตที่เคยทำมาให้สัดส่วนในการโหวต ส.ส. 70% แล้วเหตุใดครั้งนี้ ส.ส.ที่ได้มา 25 คน ไม่มีความหมายหรืออย่างไรแล้วจะไปลดทอนสิทธิ์ ส.ส.เหล่านั้นเพื่ออะไร ในเมื่อการเลือกครั้งที่แล้วยังให้สิทธิ์ ส.ส. 70 ต่อ 30 แล้วเหตุใดครั้งนี้ ส.ส.ใหม่ไม่มีสิทธิ์ที่จะขับเคลื่อนพรรคตามที่พวกเขาต้องการหรือ ดังนั้น จึงเห็นว่าหากจะปรับหรือแก้ไขก็สามารถทำได้แต่คงไม่ได้หมายความว่า มีกำหนดการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคออกมาแล้วจะแก้กันเฉพาะกิจเฉพาะหน้า เพื่อประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตนคิดว่าไม่เหมาะสม

นายนราพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ภายหลังการเลือกหัวหน้าพรรคแล้ว ก็จะต้องมีคนที่แพ้แล้วออกไป แต่เห็นว่าหากเราคิดว่าเราเป็นประชาธิปไตยจริงและพรรคเป็นประชาธิปไตยจริง เราก็ควรต้องยอมรับเสียงข้างมาก ซึ่งหากตนชนะการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค น.ส.วทันยา ก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในแผนที่ตนจะดึงมาร่วมงาน ให้ช่วยในเรื่องของการสื่อสารองค์กร ซึ่งถือเป็นงานที่ น.ส.วทันยา ถนัดอยู่แล้ว และหาก น.ส.วทันยา ชนะ ก็ขึ้นอยู่กับ น.ส.วทันยา ว่าจะใช้บริการตนหรือไม่ หรือจะมีทีมอย่างไรก็แล้วแต่ เพราะถือเป็นสิทธิ์และอำนาจของคนที่ได้รับฉันทามติจากสมาชิก

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าหลังการเลือกตั้งแล้วพรรคจะแตก นายนราพัฒน์ กล่าวว่า อะไรจะเกิดก็เกิดขึ้นได้ทุกอย่าง แต่ถามว่าในนามของสมาชิกพรรคและอยู่กับพรรคมานาน ไม่อยากเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ตนจึงเรียกร้องมาตลอดว่า พรรคจะเดินหน้าได้ต้องมีเอกภาพ

"เพราะฉะนั้นเราต้องมาร่วมกันสร้างเอกภาพ แพ้หรือชนะนั่นคือประชาธิปไตย เราก็ต้องมีวินัยและยอมรับมติ บางครั้งพวกเราก็ไม่ได้เห็นด้วยกับบ้างมติ แต่ก็ต้องมีวินัย และเคารพมติ แล้วพรรคจะเดินไปข้างหน้าได้ จากนั้นก็สื่อสารให้กับพี่น้องประชาชนได้เข้าใจ แต่ถ้าต่างคนต่างคิด ก็ไม่มีความเป็นเอกภาพ และสุดท้ายหลายคนก็ห่วงว่าพรรคจะไปไม่ได้และพรรคจะแตก ดังนั้น อยู่ที่พวกเราต้องช่วยกัน" นายนราพัฒน์ กล่าว


อั้นไม่ไหว!! กกพ.ประกาศขึ้นค่าไฟงวดปีใหม่อีก 69 สต./หน่วย มีผลงวดเดือนม.ค.-เม.ย.

29 พ.ย.66 ได้มีการประชุมคณะกรรมการ กกพ.ครั้งที่ 53/2566 โดยมีมติรับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) และมีมติเห็นชอบให้ปรับค่าเอฟทีขายปลีก สำหรับเรียกเก็บในงวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 2567 เท่ากับ 89.55 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 69.07 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บของผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.68 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากงวดปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค.) เฉลี่ย 3.99 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นปรับลดลง หลังรัฐบาลชุดนี้เข้ามาทำงานและให้ลดค่าไฟฟ้าจากมติ กกพ.เดิม ที่ให้จัดเก็บ 4.45 บาทต่อหน่วย เพื่อลดค่าครองชีพประชาชน

“การพิจารณาปรับค่าเอฟทีในงวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 2567 นี้ กกพ. คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้า และขณะเดียวกันต้องไม่กระทบต่อศักยภาพความมั่นคงในการบริการพลังงานของ กฟผ. โดยเป็นการปรับให้สะท้อนต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น และคืนต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่ กฟผ. รับภาระไว้บางส่วน เพื่อให้ กฟผ. มีสภาพคล่องในการดำเนินงานและชำระคืนเงินกู้เท่าที่จำเป็น” แถลงการณ์ กกพ.ระบุ

กกพ. ขอเชิญชวนประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าร่วมกันประหยัดการใช้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าได้ง่ายๆ 5 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิกใช้งาน ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศาฯ เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ปลูก เพื่อเป็นร่มเงาลดอุณหภูมิให้กับตัวบ้าน จะสามารถช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงราคาแพง ซึ่งจะเป็นการลดภาระค่าครองชีพสำหรับตัวท่านเอง และยังจะเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันลดภาระโดยรวมให้กับประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย


รวบแก๊งลักลอบค้าหนังเสือ ส่งขาย‘นักสะสม-สายมู’ ยึดของกลางกว่า 500 รายการ

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ตำรวจ กก.1 บก.ปทส. , กก.2 บก.ปทส. ร่วมกับ U.S. fish & Wildlife service หรือ กรมบริหารทรัพยากรสัตว์น้ำและสัตว์ป่าสหรัฐอเมริกา และชุดปฏิบัติการปราบปรามการกระทำความผิดด้านสัตว์ป่าและพืช (ชุดเหยี่ยวดง) ร่วมกันจับนายกานต์ อายุ 41 ปี ชาวแพร่ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 2058/2566 ลงวันที่ 20 พ.ย.2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ ค้าและมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ” ตรวจยึดของกลาง ซากเสือโคร่งจำนวน 163 รายการ , ซากเสือดาว จำนวน 108 รายการ , ซากเสือดำ 133 รายการ , ซาก เสือลายเมฆ 77 รายการ และซากเสือไฟ จำนวน 19 รายการ

พฤติการณ์สืบเนื่องจากเดือน ม.ค. 2566 ชุดสืบสวนของ กก.1 บก.ปทส. จับผู้ต้องหา 2 ราย ค้าซากเสือไฟ ขายสายมู พร้อมของกลาง ซากเสือไฟ ได้ที่บ้านพักย่านจระเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ ต่อมาได้ขยายผลจากเครือข่ายค้าซากสัตว์ออนไลน์พบว่ามี เฟซบุ๊กบัญชีหนึ่ง มีพฤติการณ์ค้าซากหนังเสือโคร่งออนไลน์ จึงสืบสวนขออนุมัติศาลออกหมายจับนายกานต์

ตำรวจ กก.1 และ กก.2 บก.ปทส. ได้ทำการตรวจค้นบ้านพักของ นายกานต์ฯ จากการสอบถามรับว่า เป็นเจ้าของเฟซบุ๊กที่ค้าเสือโคร่ง โดยสั่งซากเสือมาจากเฟซบุ๊กไม่ทราบว่าต้นทางมาจากไหน โดยค้าซากเสือมาประมาณ 2 ปี จะสั่งซื้อซากเสือมาเป็นตัวแล้วตัดแบ่งขาย ซึ่งซื้อซากเสือโคร่ง 1 ตัวในราคาประมาณ 40,000 - 50,000 บาท ส่วนชิ้นส่วนของเสือโคร่งต่าง ๆ เช่น หัวโคร่งจะขายราคาหัวละ 10,000 - 20,000 บาท ลำตัวขาย 12,000 บาท และส่วนต่าง ๆ ส่วนกลุ่มลูกค้าจะเป็นนักสะสม หรือไว้เป็นเครื่องรางของขลัง ตำรวจจึงนำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปทส. ดำเนินการตามกฎหมาย.


ดีเอสไอรับหมูเถื่อนกว่า 2,300 ตู้ เป็นคดีพิเศษ

29 พ.ย.66 พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม เผยถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคดีหมูเถื่อนว่า วันนี้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นประธานประชุมพนักงานสอบสวนที่ทำคดีหมูเถื่อน ซึ่งขณะนี้ดำเนินการสอบสวนจับกุมกลุ่มชิปปิ้ง กลุ่มนายทุน และขยายผลกลุ่มห้องเย็นที่รับและกระจายสินค้าออกไป โดยที่ประชุมมีมติให้กรณีหมูเถื่อนกว่า 2,300 ตู้ เป็นคดีพิเศษเพิ่มจาก 161 ตู้ ที่มีการสอบสวนสรุปสำนวน ส่วนที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องส่ง ป.ป.ช.แล้ว โดยที่ประชุมมีมติได้เลย เพราะเป็นความผิดเกี่ยวกับศุลกากร ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.แนบท้าย

"มติที่ประชุมยังให้เดินหน้าตามแผนเดิม และให้คงใช้คณะพนักงานสอบสวนชุดเดิมทั้งหมด โดยจะแยกสำนวนคดีพิเศษ 2,300 ตู้ ออกเป็น 10 สำนวน โดย 9 สำนวน 9 บริษัทที่ขยายผลมาจากคดีหมูเถื่อน 161 ตู้ ส่วนอีก 1 สำนวนเป็นสำนวนใหญ่ ในส่วนของตู้ที่แสดงเท็จจากหมูเป็นประมงและโพลิเมอร์ ซึ่งจะรวมถึงตู้ที่มีรหัส และแผนประทุษกรรมแบบเดียวกัน โดยจะใช้ข้อมูลจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องหมูเถื่อนเมื่อปี 65 และจากข้อมูลรายงานของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ"พ.ต.ต.ณฐพล กล่าว

ช่วยได้แล้ว! คนงานอินเดีย 41 คน ติดในอุโมงค์ถล่มนาน 17 วัน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยอินเดียช่วยเหลือคนงาน 41 คน ที่ติดอยู่ในอุโมงค์ถนนทางตอนเหนือของประเทศ ที่พังถล่มลงมาเมื่อ 17 วันก่อน ได้ครบทั้งหมดแล้ว

เมื่อวันที่ 28 พ.ย. เจ้าหน้าที่กู้ภัยอินเดียสามารถช่วยเหลือคนงานก่อสร้าง 41 คน ที่ติดอยู่ในอุโมงค์ที่พังถล่มในรัฐอุตตราขัณฑ์ แถบเทือกเขาหิมาลัย ภาคเหนือของอินเดีย ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ออกมาได้ทั้งหมดแล้ว ไม่กี่ชั่วโมงหลังสามารถขุดเจาะทะลุเศษหิน ดินและคอนกรีต จนถึงตัวคนงาน

หลังได้รับการช่วยเหลือจากอุโมงค์ คนงานหลายคนที่สวมแจ็กเก็ตกันหนาวสีเข้มและหมวกนิรภัยสีเหลือง ล้วนได้รับการต้อนรับในสไตล์อินเดีย ด้วยพวงมาลัยดอกดาวเรือง โดยมุขมนตรีแห่งรัฐอุตตราขัณฑ์ และรัฐมนตรีช่วยกระทรวงทางหลวงของรัฐบาลกลาง

การอพยพกลุ่มคนงานเริ่มต้นขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยเจาะท่อเข้าไปในอุโมงค์สำเร็จ แล้วใช้เปลติดล้อเลื่อนดึงคนงานก่อสร้างทั้ง 41 คน ผ่านท่อเหล็กความกว้าง 90 เซนติเมตร กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นภายใน 1 ชั่วโมง จากนั้น รถพยาบาลฉุกเฉินนำตัวคนงานจากสถานที่เกิดเหตุมายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียงในเมืองชินยาลีซอร์ มุขมนตรีรัฐอุตตราขัณฑ์ แถลงว่า คนงานทั้งหมดจะยังคงพักอยู่ในโรงพยาบาล เพื่อตรวจร่างกายและให้อยู่ในความดูแลของแพทย์