วันนี้( 6 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ออกมาโต้ว่าเป็น ด็อกเตอร์กฎหมาย แต่ไม่ใช้กฎหมายปราบปรามการลักลอบเปิดบ่อนการพนันที่ซอยกิ่งเพชรว่า อยากให้นายชูวิทย์ รอเตรียมรับหมายศาลจากตนไว้ได้เลย ซึ่งไม่ขอพูดในรายละเอียด เพราะนายชูวิทย์ได้ร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปแล้ว เมื่อตำรวจไม่ผิด ต้องปกป้อง แต่อย่างไรก็ตาม จะนำทนายความไว้ตามดูการกระทำของนายชูวิทย์ 2 คนด้วย
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า การตรวจเคหะสถานไม่ใช่จะไปบุกค้นได้ง่ายๆการค้นต้องมีหมายค้น และส่วนที่บอกเป็นความผิดซึ่งหน้านั้น ก็ต้องเจอต่อหน้าแต่นี่อยู่ในเคหสถาน อย่างไรก็ตามการที่เคหสถานมีอุปกรณ์การพนันไว้มันไม่ผิด แต่การจะจับต้องจับการเล่นขณะลักลอบเล่นไม่ใช่จับตอนเลิก เพราะตำรวจปกติเวลาไปจับการพนันหากเขาเลิกเล่นก็จับไม่ได้ แต่นายชูวิทย์พยายามเอาหลายเรื่องมาเป็นเรื่องเดียว และตนก็ไม่เคยบอกว่าไม่มีบ่อนที่กิ่งเพชร กลับไปเอาคำพูดเมื่อ 11 เดือนที่แล้วมาอ้าง ซึ่งเรื่องการจับกุมบ่อนแบบนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ คนเป็นรองนายกฯไปจับกุมบ่อนเองมีที่ไหน
"สำหรับผมห่วงตัวเองอยู่แล้ว และก็ยึดมั่นในคุณธรรม ศีลธรรมมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยเป็นเจ้าของซ่อง อาบอบนวด บังคับให้ผู้หญิงค้าประเวณี พวกที่มีอาชีพเช่นนี้หน้ามันคล้ำ ผมหน้าขาวอย่างกับไข่ปอก และจากนี้ต่อไปผมจะไม่พูดตอบโต้นายชูวิทย์อีก เพราะพูดไปก็เป็นประเด็นกับบางสื่อได้อีก ซึ่งผมไม่มีวันบกพร่องเรื่องการจับกุมบ่อนการพนัน เพราะผมเกลียดที่สุดพวกแมงดาหากินบนพื้นฐานความทุกข์ยากบนน้ำกาม" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
จากกระแสข่าวสุดอื้อฉาวกระฉ่อนโลกไซเบอร์ของไทย ภายหลังจากมีผู้นำภาพนิ่งและคลิปมาโพสต์ในเว็บไซต์เอ็มไทย ดอท คอม ชื่อว่า "เสื่อมหนัก คลิปนักเรียน ม.ต้น เปิดเต้าให้นักเรียนชายดูด" เป็นภาพเด็กนักเรียนชายหัวเกรียนชั้น ม.ต้น กำลังจับหน้าอกและใช้ปากดูดหน้าอกนักเรียนหญิงสวมชุดเนตรนารี
ขณะเดียวกัน มีนักท่องเน็ตบางรายชี้ว่า เป็นคลิปเก่า เผยแพร่ครั้งแรกตั้งแต่ช่วงเดือนเม.ย. 55 ด้าน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ยังไม่ทราบที่มาของคลิปดังกล่าวว่าเป็นนักเรียนสังกัด สพฐ. พร้อมเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันรับผิดชอบสร้างวินัย ศีลธรรม ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่เยาวชน จะไปกล่าวโทษโยนความผิดโรงเรียนฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นตัวบ่งบอกว่าสังคมกำลังอ่อนแอ ดังนั้นสังคมต้องช่วยกันดูแล ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บเอ็มไทยรายงานข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายอุดม บุตตะ หัวหน้าศูนย์เสมารักษ์ กระทรวงศึกษาธิการ หรือสารวัตรนักเรียน กล่าวถึงกรณีคลิปนักเรียนม.ต้นดูดหน้าอกเนตรนารี ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ว่า นักเรียนเหล่านั้นเป็นนักเรียนชั้นม.3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ กรุงเทพฯ
นายอุดม ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าการกระทำผิดระเบียบตามกฎกระทรวง ประพฤติไม่เหมาะสมเชิงชู้สาว โดยจะสืบสวนหาข้อเท็จจริง จากนั้นจึงจะพิจารณามาตรการจัดการกับนักเรียนที่ปรากฎภาพในคลิปนักเรียนม.ต้นดูดหน้าอก และเร่งหาตัวผู้เผยแพร่คลิปด้วย อย่างไรก็ตาม มาตรการนั้นจะเน้นไปที่การเยียวยาช่วยเหลือมากกว่าการลงโทษ เพราะเชื่อว่าเด็กไม่มีเจตนาเผยแพร่คลิป ซึ่งขณะนี้ได้เร่งกำชับโรงเรียนให้ดูแลพฤติกรรมของนักเรียน เพื่อรักษาชื่อเสียงของโรงเรียน เพราะนอกจากจะเกิดความเสื่มเสียต่อหลายฝ่ายแล้วยังอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบด้วย
ก่อนหน้านี้นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการกพฐ. ให้สัมภาษณ์ "ข่าวสด" ถึงภาพหลุดนักเรียนหญิงแต่กายคล้ายชุดเนตรนารี ถอดเสื้อให้นักเรียนชายดูดหน้าอกภายในสถานที่คล้ายห้องเรียน ซึ่งมีผู้นำมาโพสในเว็บไซต์เอ็มไทยดอทคอมโดยตั้งชื่อว่า "เสื่อมหนัก คลิปนักเรียน ม.ต้น เปิดเต้าให้นักเรียนชายดูด" ว่า เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นนักเรียนสังกัด สพฐ.หรือไม่ แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันรับผิดชอบสร้างวินัย ศีลธรรม ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่เยาวชน จะไปกล่าวโทษโยนความผิดโรงเรียนฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นตัวบ่งบอกว่าสังคมกำลังอ่อนแอ ดังนั้นสังคมต้องช่วยกันดูแล
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า ในส่วนของ สพฐ.อาจเป็นไปได้ว่ายังไม่ได้เน้นศีลธรรมกับนักเรียนมากเท่าที่ควร ฉะนั้นจากนี้คงต้องทบทวนเรื่องการสอนวิชาศีลธรรมในสถานศึกษาอย่างเข้มข้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สพฐ.ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เพราะขณะนี้ สพฐ.ได้จัดทำโครงการโรงเรียนดีประจำตำบล หรือโรงเรียนดีศรีตำบล 6,500 โรงอยู่ โดยจะดำเนินการเชื่อมโยงสถาบันศาสนาเข้ากับโรงเรียน เน้นพัฒนาบุคลากรฝ่ายผู้บริหาร ตัวแทนครู ร่วมกับตัวแทนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่เข้ามาช่วยสนับสนุน เพื่อเชิญผู้นำศาสนาเข้ามาช่วยฝึกอบรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมให้กับตัวแทน ก่อนขยายผลไปยังครูผู้สอนเพื่อขับเคลื่อนคุณธรรมและจริยธรรมไปสู่ผู้เรียนอย่างเข้มข้นต่อไป โครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขยายผลไปยังโรงเรียนในเมืองด้วย
“ยงยุทธ” ยก ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล การันตีความจงรักภักดี ลอยตัว กก.บห.เพื่อไทยไม่เคยมีมติให้แก้ ม.112ปัดตอบล้ม 309 คืนเงิน "ทักษิณ"
วันนี้ เวลา 17.25 น. ในการไต่สวนคดีแก้รัฐธรรมนูญนั้น เป็นการเบิกความและซักถามในส่วนของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ พยานผู้ถูกร้องที่ 5 ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยระบุว่า ความรู้สึกของตัวเองที่ถูกร้องในเรื่องนี้ ในฐานะหัวหน้าพรรครู้สึกเจ็บปวดเพราะเป็นไปไม่ได้เลยไม่ว่าในฐานะใดที่จะไปล้มล้างระบบการปกครอง ตนรับราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยเป็นพสกนิการชาวไทยรับใช้แผ่นดินและพระวงศ์มาทุกตำแหน่ง
"ยืนยันว่าข้อบังคับพรรคและนโยบายพรรคเขียนตรงกันคือต้องรักษา เทิดทูนและพิทักษ์สถาบัน ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ กล้ายืนยันว่าไม่มีความคิดล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐบาลเองก็มีนโยบายเรื่องนี้ชัดเจน เช่นเดียวกับกรณีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้เคยยืนยันหลายครั้งว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีวันแก้ แตะต้อง ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเองก็เคยมีมติยืนยันชัดเจนเช่นกัน พรรคเพื่อไทยได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นเสียงข้างมาก ถ้าคิดร้ายต่อสถาบัน ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากประขาชนแน่นอน อย่างไรก็ตามการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยไม่เคยมีมติแก้ไข แต่เป็นการประชุมของส.ส.ของพรรค" นายยงยุทธ กล่าว
จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ผู้ร้องซักถามพยานได้ ซึ่งตอนหนึ่งนายวิรัตน์ กัลศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้องที่ 3 ได้ซักถามว่าได้มีการพูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งนายยงยุทธ ตอบว่า มีการพูดคุยกันบ้างในเรื่องทั่วไป แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยเข้ามาก้าวล่วง ชี้นำ ครอบงำกรรมการบริหารพรรคหรือสมาชิกพรรค นอกจากนี้นายวิรัตน์ยังซักถามต่อว่าความพยายามในการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 309 หากไม่ถูกแก้ไข กฎหมายปรองดองที่ยกเลิกความผิด คืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทรวมถึงการยกเลิกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จะเกิดไม่ได้ใช่หรือไม่
นายยงยุทธ ชี้แจงว่า เป็นการคิดเองและคิดไปไกล ไม่สามารถทำนายเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดได้ จึงไม่มีความเห็น แต่เปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนถ้าเปลี่ยนแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศ แต่เพื่อคนๆเดียวทำไม่ได้ นอกจากนี้นายยงยุทธ ยังได้ปฏิเสธว่าไม่มียุทธศาสตร์ 2 ขาคู่ขนานระหว่างพรรคเพื่อไทยและกลุ่ม นปช.ในการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นความคิดเห็นที่ตรงกัน แต่ต่างคนต่างก็ทำงานกันไป
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012