กนก โพสต์เฟซบุ๊ก บอกตุ๊กกี้ ชิงร้อยฯ ทรงอิทธิพลกว่ายิ่งลักษณ์เยอะ จวกหนีเข้าประชุมสภาอ้างไม่ได้รับรายงาน ชี้นักข่าวไม่ถามคำถามยาก ๆ เพราะเธอตอบไม่ได้ และรับแต่งานตัดริบบิ้น
เมื่อช่วงดึกของวานนี้ (23 สิงหาคม) นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวเครือเนชั่น ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Kanok Ratwongsakul Fan Page" ถึงกรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เข้าประชุมสภาฯ และได้เปรียบเทียบถึงการจัดอันดับสตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ว่า ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน ทรงอิทธิพลกว่าเธอเยอะ โดยข้อความมีดังนี้...
"นายกรัฐมนตรี ได้ตอบข้อซักถามกรณีคลิปเสียงของนายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ที่ข่มขู่อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม จ.กาญจนบุรี ว่า ยังไม่ได้รับรายงานในเรื่องดังกล่าว" โอ้ว! นานเหลือเกินที่ไม่ได้ยินคำตอบคลาสสิคคำนี้ "ยังไม่ได้รับรายงาน" บอกแล้วว่า she รอวันศุกร์ เพื่อเป็นนายกฯ เสาร์อาทิตย์
ขำพรรคประชาธิปัตย์ตั้งกระทู้ถามเรื่องปัญหายางพาราตกต่ำ ^^ คิดหรือว่าหล่อนจะเสนอหน้ามาสภาฯ เพื่อมาตอบคำถามนี้ หรือไม่แน่..อาจมาเซอร์ไพรส์..ตอบเรื่องยางพาราว่า "พวกเราทุกภาคส่วน ก็ต้องช่วยกัน กินพาราเซตามอลเยอะ ๆ สิคะ"
นักข่าวสายการเมืองเขาเลิกคิดตั้งคำถามยาก ๆ คม ๆ แล้ว ทุกคนรู้กันว่า..หล่อนจะรับเฉพาะงานตัดริบบิ้น เป็นประธานงานแต่ง และต้อนรับเด็กนักเรียนที่ไปแข่งคณิตศาสตร์กลับมาเท่านั้น ฮิ้ววว! นี่ เหรอ..สตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก อันดับที่ 30 ฟอร์บส์มันเมาหรือเปล่า ผมว่า "ตุ๊กกี้ ชิงร้อย" ทรงอิทธิพลกว่า ปู ยิ่งลักษณ์ เยอะ!
ศิษย์เก่าธรรมกายยัน "ธัมมชโย" กล่าวอ้างรู้ชีวิตหลังการตายของ "สตีฟ จ๊อบส์" อวดอุตริมนุสธรรมชัดเจน ไม่แปลกใจกับพฤติกรรม เชื่อมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วและบรรลุเป้าหมายแล้ว จี้ตรวจสอบ
กลายเป็น "ทอร์ค ออฟ เดอะทาวน์" ขึ้นมาทันควัน เมื่อสถานีโทรทัศน์ DMC ของวัดพระธรรมกาย เผยแพร่สารคดี “Where is Steve Jobs” หรือ "สตีฟ จ๊อบส์" ตายแล้วไปไหนตอนที่ 1 และเว็บไซต์วัดพระธรรมกายเผยแพร่ต่อเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยเป็นการตอบคำถามของนายโทนี่ ซวง (Tony Tseung) วิศวกรอาวุโส ของบริษัทแอปเปิล จากนครคิวเปอร์ทีโน่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี
ทั้งนี้เนื้อหาสรุปว่า สตีฟ จ็อบส์ตายไปเกิดเป็น "เทพบุตรภุมมเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์" มีผิวดำและเขี้ยวเป็นยักษ์ แต่ด้วยผลบุญที่ได้คิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ให้แก่โลก จึงทำให้เขาได้พบมิตรที่ดีบนสวรรค์ และสตีฟ จ็อบส์ จึงตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าถึงธรรมกายต่อไป ทั้งนี้รู้ได้ด้วยการวิปัสสนา การเข้าญาณ ที่ถูกต้อง
วันที่ 24ส.ค.2555 รายการคม-ชัด-ลึก ทางเนชั่นทีวีได้จัดตอน : ผิด.. ชอบ ? โดยมีผู้ที่เข้าร่วมรายการประกอบด้วย นายสุรพล ทวีศักดิ์ อ.ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาหัวหิน , นายมโน เลาหวณิช วิทยาลัยนานาชาติปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานมูลนิธิชีวันตารักษ์ อดีตเคยบวชที่วัดธรรมกาย และดร.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ นักวิชาการอิสระ
ระหว่างรายการนายมโน กล่าวว่า การออกมาพูดถึงชีวิตหลังความตายของสตีฟ จ็อบส์ ของพระเทพญาณมหามุนี เรื่องนี้สำหรับตนแล้วไม่มีความแปลกใจเพราะที่ผ่านมาในอดีตที่มักจะมีคนภายในวัดธรรมกายได้นำประเด็นที่เกิดขึ้นในสังคมไปซักถามพระธรรมชัยโยอยู่เสมอๆ เมื่อพระธรรมชับโยตอบคำถามหรือออกมาพูดเรื่องใดก็ตาม คำตอบหรือคำพูดนั้นๆ ถือว่าเป็นที่สุดคนภายในวัดธรรมกายไม่มีใครกล้าที่จะออกขัด หรือทวงติงว่าสิ่งที่พระธรรมชัยโยพูดนั้นไม่เป็นความจริง
อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นการพูดที่มีการเตรียมการขึ้นมาตั้งแต่ต้น และรู้ว่าผลที่จะออกของการพูดจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะเท่าที่ตนได้เคยสัมผัสและเคยใกล้ชิดกับพระธรรมชัยโยและวัดธรรมกาย ในอดีตที่ผ่านมานั้นการพูดของพระธรรมชัยโยที่มีต่อชีวิตหลังความตายของสตีฟ จ็อบส์ ตนเห็นว่าเป็นการพูดอวดอุตริมนุสธรรม ซึ่งการกล่าวอ้างมีญาณที่จะสามารถเห็นว่าผู้ใดเสียชีวิตไปแล้วไม่มีใครสามารถจะล่วงรู้ได้ คนที่จะล่วงรู้ได้จะต้องมีการสะสมญาณและบารมีจำนวนมาก ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับศาสนาจะต้องเข้าตรวจสอบหรือดูแล
"ที่ผ่านมาคนในวัดธรรมกาย เวลาจะคิดถึงทำสินค้าอะไรขึ้นมาใหม่ ส่วนใหญ่แล้วจะคิดถึงสร้างภาพให้สินค้าและการทำการตลาด รวมทั้งยังคิดว่าเมื่อมีการนำเข้าสู่สังคมแล้วจะเกิดขึ้นอะไร จะเกิดการยอมรับหรือไม่ยอมรับจากสังคมหรือไม่ เรื่องทุกอย่างนี้ในเรื่องนี้ ผมว่าเชื่อว่ามีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้ากันไว้แล้ว และการจัดรายการในหัวข้อวันนี้ ผมก็เชื่อว่าเป็นผลพวงที่เขาคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น จากสิ่งตรงนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมเชื่อว่าวัดธรรมกายได้รับชัยชนะแล้ว เพราะเรื่องของสตีฟ จ็อบส์เป็นสิ่งบุคคลทั่วโลกให้ความสนใจ " นายมโน กล่าว
นายสุรพล กล่าวว่า ปัญหาของวัดธรรมกายที่ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ สำหรับตนแล้วมองได้ 3 มุมมอง คือ 1. มุมมองในแง่ของชาวพุทธนั้น เรามองได้ว่าวัดธรรมกายนั้นได้ทำผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ 2. มุมมองในบริบทในสังคมไทย ที่สังคมไทยมีความยกย่องบุคคลพิเศษนั้น ในสังคมมีบุคคลพิเศษอยู่สองกลุ่มคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ และกลุ่มบุคคลพิเศษที่ถูกยกย่องทางสังคม ซึ่งในกลุ่มของสถาบันกษัตริย์นั้นมีข้อกฎหมายที่ปกป้อง แต่กรณีบุคคลพิเศษทางสังคม เช่นกรณีของพระธรรมชัยโยถือว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในสถานะพิเศษ ที่ไม่มีกฎหมายปกป้อง แต่มีความศรัทธาและความเชื่อมาช่วยปกป้อง
ดังนั้นตนเห็นว่ากรณีของพระธรรมชัยโยสมควรที่จะต้องถูกตรวจสอบได้ เพราะการที่ออกมากล่าวอ้างมีญาณพิเศษที่สามารถล่วงรู้ชาติหน้าชาติหลังนั้น เป็นการกล่าวอวดอ้างเกินหลักคำสอนของพุทธศาสนา ซึ่งตรงนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นที่จะต้องออกมาตรวจสอบ ส่วนการมองในมุมที่ 3. เกี่ยวกับหลักประชาธิปไตยนั้น ทางวัดธรรมกายอาจจะกล่าวอ้างว่า ตนเองมีสิทธิเสรีภาพในการพูดแสดงความคิดเห็น อีกทั้งการพูดของพระธรรมชัยโยก็ได้ออกมาบอกว่าการที่พูดนี้ไม่ได้บังคับใครให้เชื่อ และไม่ได้ไปละเมิดบุคคลใด ซึ่งตรงนี้อาจจะเกิดคำถามว่าหากในสังคมเวลานี้ มีคนออกมาระบุว่าสิ่งที่เจ้าอาวาสวัดธรรมกายออกมาพูดนั้น เป็นการละเมิด และมีการใช้พุทธศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างสถานะพิเศษให้กับตนเองให้เกิดขึ้นในสังคม
"เรื่องต่างๆเหล่านี้ ผมเห็นว่าจะต้องมีการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะจะแสดงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาจะสามารถที่จะปกครอง ดูแลกันได้หรือไม่ ซึ่งผมเห็นว่าในกรณีที่เกิดคล้ายๆกันกับวัดธรรมกาย เช่น กรณีของหลวงตามหาบัวได้ออกมาประกาศว่าบรรลุอรหันต์ของตัวเอง หรือกรณีฤาษีลิงดำ ที่ผ่านมาก้เคยได้ถูกตั้งคำถามเสมอ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ หากพระรูปดังกล่าวมีอิทธิพลและบารมี มีประชาชนศรัทธาเลื่อมใส ไม่มีครั้งใดที่จะสามารถดำเนินการได้" นายสุรพล กล่าว
ดร.เก่งกิจ กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วมองว่าการพูดของเจ้าอาวาสวัดธรรมกายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นสิทธิ์เสรีในการพูด และแสดงความคิดเห็น เพราะส่วนตัวเชื่อว่าการพูดและและความคิดเห็นใดๆก็ตาม หากการพูดและแสดงความคิดเห็นนั้นไม่ไปละเมิดสิทธิบุคคลอื่นในสังคม ที่ผ่านในสังคมเราได้เคยมีกรณีในลักษณะคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นกรณีของหลวงตามหาบัวหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้ออกมาพูดอวดอ้างว่าตัวเองทำเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่มีใครออกมาดำเนินการกับกรรีปัญหาที่เคยเกิดขึ้่น ซึ่งหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลจะมีการดำเนินการกับกรณีวัดธรรมกาย ก็จะต้องดำเนินการกับวัดต่างๆ ทั่วประเทศที่มีการประกาศอวดอ้างว่าทำอย่างนั้นได้ ทำอย่างนี้ได้ด้วย
"เรื่องนี้ทำให้ผมมองเห็นว่าในสังคมไทยนั้นไม่ได้มีแค่สองบรรทัดฐาน แต่มีเป็นร้อยๆบรรทัดฐาน เพราะหากวัดคุณเป็นวัดใหญ่สามารถจะดำเนินการทำอะไรก็ได้ แต่หากวัดคุณเป็นวัดเล็ก หรือเป็นวัดหรือพระที่พวกคุณไม่ชอบจะออกมากล่าวว่าเป็นความเชื่องมงาย ส่วนตัวแล้วเรื่องนี้ผมถือว่าเป็นปัญหาของสังคมไทย ที่เราจะจัดการความเชื่อกับความงมงายได้อย่างไร " ดร.เก่งกิจ กล่าว
วันที่ 23 ส.ค. นิตยสารฟอร์บส์ เผยแพร่รายงานการจัดอันดับสตรีทรงอิทธิพลของโลก 100 อันดับประจำปี 2555 โดยให้นายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี รั้งอันดับ 1 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน อันดับ 2 คือ นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ อันดับ 3 คือ ประธานาธิบดีดิลมา รูสเซฟฟ์ ของบราซิล โดยอันดับของนางฮิลลารีและนางรูสเซฟฟ์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้ว
นิตยสารฟอร์บส์ ให้เหตุผลที่ให้นางแมร์เคิลครองอันดับ 1 ว่า เป็นเพราะเธอมีบทบาทสูงสุดในความพยายามแก้วิกฤติการเงินในสหภาพยุโรป (อียู) และแก้วิกฤติหนี้สาธารณะในเขตยูโรโซน จนได้ฉายา “หญิงเหล็ก” ส่วนนางคลินตัน มีผลงานโดดเด่นอย่างมากในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ถึงแม้เธอจะพ้นจากตำแหน่งในสิ้นปีนี้ ขณะที่นางรูสเซฟฟ์ แสดงความเป็นผู้นำบราซิล ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 8 ของโลกได้อย่างโดดเด่น และมีคะแนนนิยมภายในประเทศสูงมาก
อันดับ 4 คือนางเมลินดา เกตส์ ประธานร่วมของมูลนิธิการกุศล “บิลล์ แอนด์ เมลินดา เกตส์” ภริยาของนายบิลส์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ อันดับ 5 คือนางจิลล์ อับรามสัน บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส อันดับ 6 คือนางโซเนีย คานธี ประธานพรรคคองเกรสแห่งชาติของอินเดีย
อันดับ 7 คือนางมิเชล โอบามา “สตรีหมายเลข1” ภริยาของประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ อันดับ 8 คือนางคริสทีน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) อันดับ 9 คือนางเจเน็ต นาโปลิตาโน รมว.กระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิแห่งสหรัฐฯ อันดับ 10 คือนางเชอรีล แซนด์เบิร์ก ผู้บริหารเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดฮิต “เฟซบุ๊ก” ส่วนนางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ฝ่ายค้านหลักของพม่า อยู่อันดับที่ 19
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย อยู่อันดับที่ 30 นายกรัฐมนตรี จูเลีย กิลลาร์ด ของออสเตรเลีย อยู่อันดับที่ 27 เลดี้ กาก้า นักร้องแนวป็อป อยู่อันดับที่ 14 ส่วนสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ประมุขสหราชอาณาจักรอังกฤษ ติดอันดับ 26 การจัดอันดับสตรีผู้ทรงอิทธิพลประจำปีของฟอร์บส์ ครอบคลุมสตรีในทุกวงการ ทั้งแวดวงการการเมือง บันเทิง สื่อมวลชน เทคโนโลยี องค์กรการกุศลที่ไม่แสวงผลกำไร และอื่นๆ โดยวัดจากความร่ำรวย อิทธิพล และการตกเป็นเป้าสนใจของสื่อมวลชน
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012