สัญญาเช่าทางธุรกิจมีความสำคัญมากสำหรับการดำเนินธุรกิจ สัญญาทางธุรกิจที่ไม่รอบคอบสามรถทำให้ธุรกิจล้มเหลวได้ เพราะฉะนั้นท่านควรทำความเข้าใจในสัญญานั้นๆ อย่างถ่องแท้ก่อนที่จะลงนามในสัญญา
สัญญาเช่าทางธุรกิจ (Commercial Lease) มีความแตกต่างกับสัญญาผู้อยู่อาศัย (Residential Lease) ดังนี้
กฎหมายจะไม่คุ้มครองผู้เช่ามากเท่ากับการเช่าเพื่ออยู่อาศัย ตัวอย่างเช่น กฎหมายจะไม่มีการควบคุมในเรื่องของการวางเงินค้ำประกัน (Security Deposit) สำหรับผู้เช่าในสัญญาเช่าเพื่อธุรกิจ
ไม่มีรูปแบบมาตราฐานสำหรับสัญญาเช่าทางธุรกิจ ส่วนใหญ่สัญญาเช่าทางธุรกิจจะถูกเขียนขึ้นมาจากผู้ให้เช่า (Landlord) เพราะฉะนั้นผู้เช่าจะต้องตรวจและทำความเข้าใจกับสัญญาให้ดี
สัญญาเช่าทางธุรกิจเป็นสัญญาที่มีข้อผูกมัดทางกฎหมายระยะยาว และส่วนใหญ่ผู้ที่ไม่ทำตามสัญญาจะต้องชดใช้ในรูปแบบของตัวเงิน
สัญญาเช่าทางธุรกิจเป็นสัญญาที่สามารถต่อรองได้ในทุกๆ เงื่อนไขก่อนที่จะเซ็นสัญญา ก่อนที่ท่านจะเซ็นสัญญาเช่าท่านจะต้องมั่นใจว่าสัญญานั้นจะต้องเป็นไปตามความต้องการและไม่เป็นผลถ่วงกับการดำเนินธุรกิจของท่านทั้งในปัจจุบันและอนาคต
สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาในสัญญาเช่าธุรกิจมีดังนี้
1. ค่าเช่า (Rent) ท่านต้องมั่นใจว่าธุรกิจของท่านมีกำลังชำระค่าเช่าได้ พิจารณาถึงค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี การคิดคำนวณคิดอย่างไร ค่าเช่าที่เป็นแบบ Gross Lease (เป็นค่าเช่าที่รวม Insurance, Property Tax, และ Maintenance) หรือแบบ Net Lease (เป็นค่าเช่าที่ไม่รวม Insurance, Property Tax, และ Maintenance)
2. ระยะเวลาการเช่า (Length of the lease) เริ่มและจบเมื่อไหร่ ท่านมีสิทธิ์เลือกที่จะต่อสัญญาได้หรือไม่ สัญญาเช่าที่ยาวนานเกินไป เช่น สัญญาเช่าแบบ 10 ปี อาจทำให้ท่านมีการผูกมัดหากธุรกิจของท่านมีการเติบโตหรือต้องการย้านสถานที่ สัญญาที่มีระยะเวลาสั้นและสัญญาที่ท่านมีสิทธิ์สามารถเลือกต่อได้จะเป็นสัญญาที่ดีที่สุด (Short term lease with renewal option)
3. การปรับปรุงสถานที่ (Improvement or Modification) หากสถานที่ที่ท่านต้องการเช่าจะต้องมีการปรับปรุงเช่น การเดินสายวางท่อ ติดตั้งเครื่องดูดอากาศ ท่านจะต้องแน่ใจว่าผู้อนุญาตให้ท่านทำได้ก่อนที่จะเซ็นสัญญา และในสัญญาจะต้องระบุว่าใครเป็นผู้ชำระค่าดำเนินเรื่อง นอกจากนี้สัญญาควรระบุอย่างชัดเจน ว่าหากหมดสัญญาเช่าแล้วท่านจะต้องปรับสภาพร้านตามเดิมหรือไม่ ตามกฎหมายคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของคนพิการ หากธุรกิจของท่านเปิดให้บริการกับสาธารณะและมีบุคลากรมากกว่า 15 คน ท่านจะต้องมีทางเข้าออกให้กับบุคคลพิการ เพราะฉะนั้นในสัญญาจะต้องระบุว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบหากมีการเปลี่ยนแปลงทางเข้าออกในภายหลัง
4. ค่าวางมัดจำ (Security Deposit) ท่านควรทราบว่ามีเงื่อนไขใดบ้างที่จะได้ค่าวางมัดจำคืน
5. ขนาดพื้นที่วัดอย่างไร ทางเดิน ลิฟท์ ห้องน้ำ ผู้ให้เช่าบางรายอาจรวมความหนาของกำแพงด้วยในการวัดพื้นที่
6. ป้ายธุรกิจ ข้อจำกัดในการออกแบบหรือขนาดของป้าย
7. สัญญาจะต้องระบุว่าสามารถเป็น Sublease ได้หรือไม่
8. การซ่อมแซมต่างๆ เช่น กำแพง เครื่องปรับอากาศ หรือท่อน้ำ สัญญาจะต้องระบุว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ
9. การขยายพื้นที่ในกรณีที่ธุรกิจของท่านเติบโต ท่านต้องทราบว่าท่านมีสิทธิ์ทำได้หรือไม่
10. เงื่อนไขในการยกเลิกสัญญา ระยะเวลาที่ต้องแจ้งล่วงหน้าหากมีการยกเลิกสัญญาเกิดขึ้น
11. เงื่อนไขอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจของท่าน เช่น หากลูกค้าในธุรกิจของท่านส่วนใหญ่คือคนที่เดินทางเท้า ท่านจะต้องระบุในสัญญาว่าป้ายร้านของท่านจะต้องวางอยู่ในจุดที่ชัดเจนด้วยขนาดและสถานที่ ท่านยังสามารถกำหนดจำนวนผู้เช่าที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกันในเวิ้งหรืออาคารเดียวกัน
12. หากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นจะต้องทำอย่างไร
ศูนย์ส่งเสริมชาวไทยจะจัดการอบรมเริ่มต้นธุรกิจในสหรัฐอเมริกาขึ้นในวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ จนถึงวันที่ 22 มีนาคม ซึ่งในการอบรมที่ผ่านมา ทางศูนย์ฯ มีผู้เข้าร่วมโครงการหลายร้อยคน และมีผู้เข้าอบรมเป็นจำนวนมากที่ปัจจุบันได้ประสบความสำเร็จและเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง การอบรมมีที่นั่งจำนวนจำกัดเพียง 20 ท่านเท่านั้น เริ่มเวลา 10.00 น. – 15.30 น. ณ Palm Village Senior Hosing เลขที่ 9050 Laurel Canyon Blvd., Sun Valley, CA 91352
ความเข้าใจในการต่อรองก่อนตกลงสัญญาเช่าธุรกิจนั้นสำคัญมาก ท่านจะได้เรียนรู้ว่าผู้เช่ามีสิทธิในการต่อรองเรื่องใดบ้างก่อนลงนามตกลงสัญญา ทางศูนย์ส่งเสริมชาวไทยได้รับเกียรติจากวิทยากรพิเศษที่จะมาบรรยายให้ความรู้และข้อคิดเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจขนาดเล็กให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งแต่ละท่านล้วนมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อาทิ เจ้าหน้าที่จากกรมแรงงาน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายในการจัดตั้งธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านเงินกู้ ทนายเฉพาะด้านเรื่องการทำสัญญาเช่าทางธุรกิจ
วิเชียร ทวีวรรณ หนึ่งในผู้เข้าอบรมเมื่อปีที่ผ่านมากล่าวถึงการอบรมเริ่มต้นธุรกิจว่า “ผมได้ความรู้หลายอย่างในการทำธุรกิจขนาดเล็ก ผมเสียดายที่เพื่อนผมซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจที่ล้มเหลวไม่ได้เข้าร่วมอบรมแบบนี้ก่อนที่จะเริ่มธุรกิจ เพราะหากเขาได้ข้อมูลที่ถูกต้องก่อนที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจเขาอาจไม่ต้องปิดกิจการไปก็ได้”
นอกจากนี้ศูนย์ส่งเสริมชาวไทยมีบริการให้คำปรึกษาทางด้านธุรกิจแบบรายบุคคลฟรี สำหรับผู้ที่สนใจเริ่มต้นธุรกิจในสหรัฐอเมริกา สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เอมี่-ศศิพัชร์ เหลืองอร่าม 323-468-2555 Email amy@thaicdc.org
ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย อายุต่ำกว่า 65 ปี 202 รายในสัปดาห์นี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐ กล่าวด้วยว่า ได้รับการยืนยันมี 26 รายเสียชีวิตในลอสแอนเจลิสเคาน์ตี้
การประกาศกับสื่อมวลชนเมื่อวันศุกร์ ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2014 ดร.เจมส์ วัตต์ หัวหน้าศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ กรมสาธารณสุขแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า ยังมีรายงานเสียชีวิตของเด็กทารกในริเวอร์ไซด์เคาน์ตี้จากโรคไอกรนอีกด้วย การเสียชีวิตของเด็กด้วยสาเหตุโรคไอกรนเกินขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่โรคไอกรนแพร่ระบาดสูงสุดในรัฐ ปีนั้นมีมากถึง 9,100 ราย ที่ได้รับรายงานในแคลิฟอร์เนีย กับอีก 10 รายที่เสียชีวิต
อัตราโรคไอกรนเพิ่มขึ้นและลดลงในรอบ 3-5 ปี รายงานประจำเดือนของผู้ป่วยโรคไอกรนมีระดับลดลงตั้งแต่ปี 2010 แต่เริ่มที่จะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงกลางปี 2013 วัตต์กล่าว จำนวนเบื้องต้นในระดับรัฐ สำหรับปี 2013 คือ 2,372 ราย ในปี 2012 มีรายงานการเจ็บป่วยด้วยโรคไอกรน 1,022 ราย
วัตต์กล่าวว่า มันเร็วเกินไปที่จะรู้ว่ากรณีโรคไอกรนจะมีแนวโน้มอย่างไรในปี 2014 แต่บอกว่าการเสียชีวิตของเด็กทารกในเขตริเวอร์ไซด์เคาน์ตี้ "ประเด็นหลักอยู่ที่ความสำคัญของการฉีดวัคซีน"
วัตต์กระตุ้นให้หญิงตั้งครรภ์และเด็กทารกได้รับวัคซีน "เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้" มารดาที่ได้รับวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์ การคุ้มครองจะส่งถึงทารกของพวกเขาที่ยังเด็กเกินกว่าจะฉีดวัคซีนได้ ช่วงวัยแรกของเด็กที่สามารถได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรนได้เร็วที่สุด คือ 6 สัปดาห์ และควรฉีด 3 ครั้งภายในช่วงเวลา 6 เดือน วัตต์กล่าว
ตามการสนับสนุน ในช่วงปีที่ 2 ของเด็ก ก่อนเข้าอนุบาลและเมื่อเข้าอายุ 11-12 ปี คนที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ในระหว่างช่วงเข้าวัยรุ่นควรจะได้รับ วัตต์เสริม
ในขณะที่โรคไอกรนเพิ่มขึ้น ตัวเลขใหม่ของไข้หวัดใหญ่อาจจะสะท้อนให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของการลดลงในสิ่งที่ได้รับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ห่างไกลจากฤดูไข้หวัดใหญ่ระบาด จากจุดนี้ในปี 2013 มีชาวแคลิฟอร์เนีย 18 รายที่อายุต่ำกว่า 65 ปี เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ ตลอดฤดูกาลปี 2012-2013 ภาครัฐได้รับการยืนยันว่ามีตัวเลขผู้เสียชีวิตที่อยู่ในกลุ่มอายุ 106 ราย
ช่วงสิ้นสุดสัปดาห์ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ไข้หวัดใหญ่ยังอยู่ที่ระดับ แพร่ระบาด ทั่วรัฐ กับการเข้ารับการรักษาเกินระดับที่คาดไว้
แต่วัตต์กล่าวว่า ตัวเลขที่สูงขึ้นของการเสียชีวิต-กรมสุขภาพสาธารณสุขจะตรวจสอบอีกครั้งในจำนวนผู้เสียชีวิต 41 รายที่สงสัยในวันที่มาพบแพทย์ มีตัวบ่งชี้ปกคลุมในสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มอาการป่วยแบบธรรมดาประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนที่พวกเขาจะยอมจำนนต่อความเจ็บป่วย การเข้าพบแพทย์สำหรับไข้หวัดที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะเริ่มลดลงตั้งแต่เดือนมกราคม ซึ่งอาจแสดงให้เห็นว่าโรคก็จะลดลงเช่นกัน
"เรากำลังหวังว่านี่หมายถึงสิ่งที่อยู่ในหีบห่อ" เขากล่าวและเสริมว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่และยาต้านไวรัสมีอยู่ในแหล่งที่ดี
CDPH เตือนให้ระวังโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไอกรนที่กำลังระบาด
ซาราเมนโต้ - ดร.รอน แชพแมน ผู้อำนวยการกรมสารธารณสุขแห่งแคลิฟอร์เนีย (CDPH) และเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพของรัฐ ได้ออกมารายงานจำนวนผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากโรคไข้หวัดใหญ่ว่าเพิ่มขึ้นอีก 55 ราย รวมยอดทั้งหมดในตอนนี้ คือ 202 ราย ซึ่งเป็นเด็ก 4 ราย และจากการตรวจสอบล่าสุดพบว่ามีเพิ่มอีก 41 ราย แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันใดๆ ทั้งนี้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ที่รายงานในช่วงปี 2012-2013 มีทั้งหมด 106 ราย
สำหรับ ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้สูงวัย ผู้ตั้งครรภ์ เด็กทารก หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ผู้ใดที่มีอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ควรที่จะติดต่อแพทย์โดยทันทีเพื่อที่จะได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนอาการของโรคไข้หวัดใหญ่จะมีลักษณะ ดังนี้ มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูกไหล หรือคัดจมูก รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและรู้สึกเมื่อยล้า การรับวัคซีน ยังคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทาง CDPH ยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของโรคอย่างใกล้ชิด สามารถแวะเข้าไปรับวัคซีนได้ตามสถานที่ใกล้บ้านคุณ บางแห่งคุณอาจไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย หรืออาจเสียในราคาที่ถูก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ CDPH
นอกจากโรคไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดอยู่ในตอนนี้แล้ว ยังมีอีกโรคที่น่ากลัวไม่แพ้กัน ได้แก่ โรคไอกรน ซึ่งทาง CDPH ได้ออกมาประกาศแล้วว่าโรคไอกรนได้คร่าชีวิตทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน แล้วที่เมืองริเวอร์ไซด์
โรคไอกรน (Pertusis) หรือ Whooping Cough เปรียบเสมือนวัฎจักรที่จะมีความรุนแรงในทุกๆ 3-5 ปี ซึ่งผลการรายงานชี้ให้เห็นว่า 83% ของผู้ป่วยจากโรคไอกรนจะเป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และ 12% นั้นเป็นเด็กทารกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน
แนวทางป้องกันโรคไอกรนนั้นก็คือ การฉีควัคซีน ซึ่งสามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กทารกมีอายุในครรภ์ตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป โดยการฉีดผ่านทางแม่นั่นเอง สำหรับเด็กทารกวัยอ่อนๆ ที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือนนั้น ทาง CDPH ได้แนะนำให้เริ่มต้นรับวัคซีนตั้งแต่มีอายุได้ 2 เดือน หากแต่ว่าการป้องกันจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะมีอายุ 6 เดือน และสำหรับผู้ใหญ่นั้นควรที่จะไปรับ Booster Shots ไว้เช่นกัน สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งสิ่งคือ คุณควรที่จะหมั่นเช็คว่ามีวัคซีนตัวใหม่ๆ ออกมาหรือไม่เผื่อที่จะได้ไปรับให้ทัน
อาการของโรคไอกรนนั้นจะแตกต่างออกไปตามช่วงอายุของคน สำหรับกรณีเด็กทั่วไปมักจะเริ่มต้นด้วยการไอ และน้ำมูกไหล เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ อาการไอจะหนักขึ้นจนจบลงด้วยเสียงไอกรน เด็กเล็กอาจไม่มีอาการไอกรนทั่วไป และอาจมีเสียงไอที่ไม่ชัดเจน ฉะนั้นผู้ปกครองอาจสังเกตที่ใบหน้าของเด็กที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือม่วง ส่วนกรณีผู้ใหญ่นั้นโรคไอกรนก็อาจมีอาการทั่วไป คือ เจ็บป่วย มีอาการไอเป็นเวลา 2-3 อาทิตย์นั่นเอง
เพื่อหลีกเลี่ยงการกระจายของโรคไอกรน CDPH ได้มีข้อแนะนำดังนี้
สตรีมีครรภ์ควรไปรับวัคซีนระหว่างช่วง 3 เดือนของการตั้งครรภ์ แม้เคยได้รับมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม
เด็กทารกควรได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุด เข็มแรกขอแนะนำในช่วงอายุ 2 เดือนและต้องได้รับวัคซีนประมาณ 5 เข็มจากโรงเรียนอนุบาล (4-6 ปี)
นักเรียนเกรด 7 ในแคลิฟอร์เนีย จะต้องไปรับวัคซีนอีกครั้ง
ผู้ใหญ่ก็ต้องรับวัคซีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องสัมผัสและติดต่อกับเด็กทารกโดยตรงอยู่ตลอดเวลา หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องติดต่อกับเด็กเล็กและสตรีมีครรภ์
จะเห็นได้ว่า ทั้งโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไอกรน ต่างก็เป็นโรคที่อยู่ไม่ห่างจากตัวเรานัก วัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันเราให้ห่างจากโรคร้ายทั้ง 2 ชนิดได้ ฉะนั้นทางที่ดีเราควรหมั่นเช็คว่ามีวัคซีนตัวไหนออกมาบ้าง เพื่อที่จะได้ไปรับให้ทันท่วงที โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของ CDPH
จากการวิจัยได้มีการค้นพบว่าน้ำอัดลมมีส่วนเชื่อมโยงนำไปสู่โรคอ้วน บัญญัติกฎหมายของรัฐร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้เสนอกฎหมายในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาให้แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐแรกที่จะติดฉลากคำเตือนเรื่องโรคอ้วนบนขวดเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงเช่นเดียวกันกับฉลากคำเตือนที่ติดอยู่บนกล่องบุหรี่
สมาชิกสภาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ได้ยื่นเสนอให้ติดคำเตือนบนขวดและกระป๋องเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมและเครื่องดื่มอื่นๆที่ใส่น้ำตาลที่มีปริมาณน้ำตาล 75 ขึ้นไป หรือปริมาณแคลอรี่มากกว่า 12 ออนซ์ โดยบนฉลากจะมีคำเตือนของรัฐแคลิฟอร์เนียว่า “การดื่มเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเป็นสาเหตุให้เกิด โรคอ้วน โรคเบาหวาน และ โรคฟันผุ”
“ในเมื่อตามผลการวิจัยมีข้อสรุปตามนี้แล้ว รัฐแคลิฟอร์เนียจึงควรมีความรับผิดชอบต่อการคุ้มครองผู้บริโภค เช่นเดียวกับคำเตือนบนซองบุหรี่และแอลกอฮอล์ ที่จะให้ข้อมูลที่สำคัญแก่ผู้บริโภคเพื่อให้พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะเลือกบริโภคสิ่งที่มีผลต่อสุขภาพหรือไม่” บิล มอนนิ่ง สมาชิกวุฒิสภากล่าวในที่ประชุมหากเป็น ร้านอาหารจานด่วนที่บริการกดน้ำเอง ฉลากคำเตือนจะถูกติดไว้ที่ตู้กดน้ำ หากเป็นโรงหนังหรือเป็นร้านค้าอื่นๆที่มีพนักงานบริการกดน้ำให้ลูกค้าฉลากจะถูกติดไว้ที่เคาน์เตอร์ หรือในร้านอาหาร คำเตือนนี้อาจจะต้องมีเขียนไว้ในเมนูอาหารด้วยเช่นเดียวกัน
กฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนโดยคณะแพทย์แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ก็ได้รับการต่อต้านจากกลุ่ม CalBev กลุ่มเครื่องดื่มแห่งแคลิฟอร์เนียเนื่องจากเห็นว่าข้อเสนอไม่เป็นธรรม “โรคอ้วนมีสาเหตุการเกิดที่ซับซ้อนมากและไม่สามารถเจาะจงไปที่ผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมอย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นต้นเหตุหลักได้” เจสสิก้าโบเรค ตัวแทนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสมาชิกรวมถึง โคคาโคล่า,เป๊ปซี่ และ ด๊อกเตอร์เป๊ปเปอร์กล่าว เธอยังกล่าวต่ออีกว่า ผู้ผลิตโซดารายใหญ่ก็ได้ให้ความร่วมมือโดยการระบุจำนวนแคลอรี่ที่ด้านหน้าของขวดมานานหลายปีแล้ว เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคได้มีการตัดสินในสิ่งที่จะซื้อ "เรายอมรับว่าโรคอ้วน เป็นปัญหาที่ร้ายแรงและเรื้องรัง แต่ก็ไม่ควรจะกล่าวว่าการบริโภคเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนเพราะในความเป็นจริง เพียงแค่ร้อยละสี่ของแคลอรี่ในอาหารอเมริกันเท่านั้น ที่ได้รับมาโดยตรงจากการดื่มเครื่องดื่มโซดา "แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกล่าวว่า การใส่น้ำเชื่อมในโซดาก็เพียงพอที่จะเอื้อต่อการก่อเกิดโรคเบาหวานแล้ว โดยเฉลี่ยชาวอเมริกันดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มให้ความหวานอื่นๆ กว่า 45 แกลลอนต่อปีการดื่มโซดาเพียงวันละขวดก็สามารถเพิ่มโอกาสเป็นโรคอ้วนถึง 27% ในผู้ใหญ่และ55% ในเด็ก“ในฐานะแพทย์ที่รักษาคนไข้ เรารู้สึกสิ้นหวังต่อการทำลายวงจรการเกินโรคเบาหวาน และโรคอ้วนที่เราเห็นทุกวันที่ออฟฟิศของเรา” วอฟกล่าวต่ออีกว่า “ผู้บริโภคควรมีสิทธิ์ที่จะรู้ถึงต้นตอของการเกิดโรคเหล่านี้ ที่มีเครื่องดื่มโซดาและเครื่องดื่มผสมน้ำตาลเป็นสาเหตุหนึ่ง”
“เกือบครึ่งหนึ่งของ เด็กชาวผิวดำ (แอฟริกัน-อเมริกัน) และเด็กชาวลาติน ที่เกิดหลังปี 2000 จะมีโอกาสพัฒนาโรคเบาหวานชนิดที่ 2” ดาร์เซล ลี แพทย์ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการเครือข่ายคนผิวดำแห่งรัฐแคลิฟอเนียกล่าวต่ออีกว่า“นี่เป็นปัญหาร้ายแรงระดับสาธารณสุขเลยทีเดียว”
ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งแคลิฟอเนียเองได้มีการสนับสนุนต่อมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้ทราบถึงข้อมูลของผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว โดยหลายปีที่ผ่านมาทางรัฐก็ได้ทำการบุกเบิกและตั้งเป้าที่จะให้ประชาชนมีการบริโภคที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นโดยเรียกร้องให้ร้านอาหารจานด่วนติดข้อมูลของแคลอรี่ในรายการอาหารบนเมนู และควบคุมการใช้น้ำมันแปรรูป หรือน้ำมันอิ่มตัว