โลกตึงเครียด.. หลังทรัมป์สั่งถล่มตีซีเรีย ตอบโต้ใช้อาวุธเคมี ทั้ง อังกฤษ เยอรมนี สนับสนุนเต็มที่ ด้านรัสเซีย ประกาศจ่อเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยทางอากาศในซีเรีย เย้ย โทมาฮอว์กแค่ 23 ลูกถึงเป้าหมาย ขณะที่มีพลเรือนดับ 9
สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ปฏิกิริยาผู้นำโลกแตกออกเป็นสองฝ่าย หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ สั่งกองทัพระดมยิงขีปนาวุธร่อนนำวิถีระยะไกล ‘โทมาฮอว์ก’ จากเรือพิฆาต ยูเอสเอส รอสส์ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถึง 59 ลูก บินมาโจมตีฐานทัพอากาศ ‘เซย์รัต’ ของซีเรีย ในเมืองฮอมส์ เมื่อเช้าตรู่วันที่ 7 เม.ย. ตอบโต้ที่รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าพลเมืองตัวเองดับเกือบ 100 โดยฝ่ายที่สนับสนุนสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาลอังกฤษ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี ตลอดจนประธานสหภาพยุโรป และตุรกี ได้ออกมาสนับสนุนปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯ แล้ว
ขณะที่ พลเอกเจนส์ สโตเลเบิร์ก เลขาธิการใหญ่องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) กล่าวว่า รัฐบาลซีเรียต้องเป็นผู้แบกรับความรับผิดชอบทั้งหมดที่ทำให้สถานการณ์ในซีเรียพัฒนามาจนถึงจุดนี้ เพราะการใช้อาวุธเคมีทุกอย่างเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ โดยเลขาธิการใหญ่ของนาโตยังเผยว่าเขาได้รับแจ้งจาก รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ว่าการยิงโจมตีซีเรียของสหรัฐฯ จะดำเนินต่อไป
ด้านสำนักข่าว SANA ในซีเรีย แจ้งว่า การยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์ก มาถล่มฐานทัพอากาศ เซย์รัต ในเมืองฮอมส์ ของซีเรีย เมื่อเช้าวันศุกร์ ทำให้มีพลเรือนชาวซีเรีย เสียชีวิต 9 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 4 ราย ขณะที่กำลังทหารรัสเซียที่มีประจำการอยู่ที่ฐานทัพอากาศแห่งนี้เช่นกัน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ นอกจากนั้น ยังมีเครื่องบินรบ 9 ลำได้รับความเสียหาย โดยโฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียได้แถลงต่อนักข่าวว่า การป้องกันภัยทางอากาศในซีเรียจะต้องยกระดับมากขึ้น หลังสหรัฐฯ ยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์กมาโจมตี
‘เพื่อเป็นการปกป้องสถานที่ที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ละเอียดอ่อนมากที่สุดในซีเรีย จะมีการเพิ่มมาตรการป้องกันให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ และเป็นการยกระดับศักยภาพของกองทัพซีเรียในการป้องกันภัยทางอากาศ’ อิกอร์ โคนาเช็นคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงต่อนักข่าว นอกจากนั้น กระทรวงกลาโหมรัสเซีย ยังเย้ยหยันกองทัพสหรัฐฯ ว่า การโจมตีทางอากาศครั้งนี้ของสหรัฐฯ ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะจากระบบตรวจจับของรัสเซีย พบว่า มีโทมาฮอว์กแค่เพียง 23 ลูกเท่านั้น ที่บินมาถึงฐานทัพอากาศซีเรีย และยังไม่กระจ่างชัดในขณะนี้ว่า ขีปนาวุธร่อนนำวิถีอีก 36 ลูกนั้น ตกก่อนหรือไม่
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดําเนินยังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้...
เมื่อวันที่ 6 เม.ย. เวลา 15.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดําเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน ไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จออก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงยืนหน้าพระราชอาสน์ หน้าพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร แวดล้อมด้วยเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ มหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านเปิดพระวิสูตร ชาวพนักงาน ประโคมกระทั่งแตร มโหระทึก ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะทูต สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระ ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ตามตําแหน่งเป็นมหาสมาคม
เมื่อสุดเสียงประโคม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เชิญรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว พระราชทานแก่นายกรัฐมนตรี เจ้าพนักงานอาลักษณ์กองอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประทับพระราชลัญจกรแล้วเชิญไปประดิษฐานบนพานทองที่เสาบัวหน้ามหาสมาคม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์กองอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อ่านกระแสพระราชปรารภประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จบแล้ว ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนใหญ่ฝ่ายละ 21 นัด และวัดทั่วราชอาณาจักรย่ำระฆังและกลอง
ครั้นสุดเสียงปืนใหญ่ มหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านปิดพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตร มโหระทึก วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดําเนินกลับ.
จากที่ช่วงนี้มีประเด็นร้อนเรื่องกฎหมายข้อห้ามในวันสงกรานต์ ที่ออกมาจากรัฐบาล ล่าสุด ทางโลกโซเชียลได้มีการแชร์อ้างเป็นรูปพร้อมข้อความของผู้กำกับชื่อดัง ตู่ นพพล โกมารชุน โพสต์ถึงลุงตู่ จาก ตู่ นพพล ถึง ตู่ ประยุทธ์ ว่า
"ลุงตู่ครับ...
ช่างแม่งมันบ้างก็ได้นะครับเรื่องกฎระเบียบสงกรานต์เนี่ย ถ้าพวกแมร่งจะตายกันบ้างเพราะความเมา ก็ปล่อยแม่งตายโหงตายห่าไปเถอะครับ โตๆ กันแล้ว แก่ๆ ก็มาก ถ้ามันจะไม่มีสติ เช่น เมาปลิ้น เด้งหน้าแอ่นหลังอยู่กลางถนน ขับรถขี่มอเตอร์ไซค์โดยขาดสัมปชัญญะ ก็เรื่องของมัน เชิญพวกมันเมาต่อกันในนรกให้สำราญใจเลยครับ เอาเวลาที่มีค่าไปจัดการกับโกงจำนำข้าว กับสัมปทานน้ำมัน กับรุกพื้นที่ป่าสงวนกับคอร์รัปชันในวงราชการ กับปฏิรูปตำรวจ กับขุดคอคอดกะ กับโรงไฟฟ้าถ่านหินซังกะบ๊วย กับเขื่อนแม่วงก์เฮงซวยกับอีกเยอะๆ คดีของไอ้…หางแดงบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เถอะครับ แค่นี้ลุงก็เหนื่อยแย่แล้ว ผู้นำคนอื่นอยู่กันมาสามชาติสิบชาติยังทำไม่ได้เท่ากระผีกของลุงเลย เป็นห่วงเป็นใยและเห็นใจลุงมากครับ และกราบขอบพระคุณที่ลุงจะยังไม่ไปไหน ขอให้อยู่กับพวกเราไปอีกนานๆ เราจะเป็นกำลังใจให้ลุงตลอดไปครับ...
รัก จากคนชื่อตู่
(ทั้งหมดคือ คหสต. และการรำพึงเบาๆ)"
ซึ่งล่าสุดจากการตรวจสอบข้อความและเฟซบุ๊กบัญชีดังกล่าวได้ถูกลบไปแล้ว.
นายกฯ ขอปชช.เดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์โดยสวัสดิภาพ บอกเข้าใจดีบังคับใช้ก.ม.เกินไป ปชช.เดือดร้อน ยอมอะลุ่มอล่วย แต่ขอปชช. ช่วยมีวินัยเคารพก.ม.ผู้ขับขี่เมาไม่ขับ เผยหลังสงกรานต์นี้เตรียมปรับมาตรการปลอดภัยบนถนนให้สอดรับความเป็นจริง-ปรับห้วงเวลา
เมื่อเวลา 20.15 น. วันที่ 7 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า ขณะที่วันที่ 13 เม.ย.ของทุกปี เป็นวันสงกรานต์และวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ส่วนวันที่ 14 เม.ย. เป็นวันครอบครัว ตนเองอยากให้เป็นโอกาสประชาชนจะได้รวมญาติรวมครอบครัวทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบุพการี รดน้ำดำหัว ขอพร ผู้เฒ่า-ผู้แก่ เพื่อความเป็นสิริมงคล และเพื่อความอบอุ่น ความสุขร่วมกันของครอบครัว ตามประเพณี และวัฒนธรรมอันดีของไทย สำหรับการละเล่นสงกรานต์นั้น ก็ขอให้พิจารณาความเหมาะสม ไม่คะนอง ไม่อนาจาร และประหยัดน้ำด้วย สำหรับมาตรการเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน ที่เป็นประเด็นในสังคมนั้นเป็นเพียงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่เดิม โดยมุ่งหวังที่จะลดอุบัติเหตุ ความสูญเสีย และเรื่องราวสะเทือนใจในห้วงเวลาแห่งความสุข ทุกคนทราบดี ที่ผ่านมาทุกเทศกาลวันหยุดยาว เราจะได้พบเห็นอุบัติเหตุบนท้องถนนจำนวนมาก มีทั้งคนเจ็บคนตาย ไม่ว่าจะรถบัส รถตู้ รถกระบะที่มีคนนั่งท้าย พวกเมาแล้วขับ พวกเจ็บหรือเสียชีวิตเพราะไม่คาดเข็มขัดนิรภัย พวกขับรถเร็วเกินไปคึกคะนอง และอีกมากมาย
"ผมเข้าใจดี ประชาชนจะต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือไปเที่ยวตามที่ต่างๆ รวมถึงการฉลองเทศกาลสงกรานต์ จำนวนมากที่เดินทางโดยรถไฟ รถบัสโดยสาร รถตู้ และจำนวนมากที่เดินทางด้วยรถส่วนตัว รถปิกอัพ นั่งท้ายบ้าง ไม่นั่งบ้างจะให้ไปนั่งรถทัวร์ หรือรถโดยสาร ก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือตั๋วเต็มหาไม่ได้ ก็ไม่ได้กลับบ้าน จริงๆ แล้ว ถ้าทุกคนเคารพกฎหมาย กฎจราจร ซึ่งมีบังคับใช้ตามปกติอยู่แล้ว การบาดเจ็บสูญเสีย ก็จะไม่เกิดขึ้นไม่ว่าจะรถอะไร หากทุกคนระมัดระวัง คิดถึงผู้อื่น จะรู้ได้เองว่าควรจะป้องกันได้อย่างไร อย่าหวังพึ่งกฎหมายอย่างเดียว เจ้าหน้าที่ทำงานหนักอยู่แล้ว ด้วยความเข้าอกเข้าใจประชาชน ผมเข้าใจดี หากบังคับใช้กฎหมายกันอย่างเต็มที่ ก็จะสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนมากเกินไป เจ้าหน้าที่ก็จะอะลุ่มอล่วยให้ในบางส่วน" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ดังที่ทางตำรวจได้ชี้แจงไปแล้ว เพื่อสร้างวินัยการจราจรที่ถูกต้อง ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารที่นั่งเบาะหน้า ทั้งรถส่วนบุคคล และรถแท็กซี่ จะต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ตามกฎหมาย แต่จะอนุโลมผู้ที่นั่งเบาะหลัง หรือที่ยังไม่มีเข็มขัดนิรภัย ส่วนรถโดยสารสาธารณะ - รถแท็กซี่ - รถตู้ - รถบัส ต้องคาดเข็มขัดทุกที่นั่ง และรถกระบะ อนุโลมให้นั่งท้ายกระบะได้ ไม่เกิน 6 คน แต่ห้ามนั่งบนขอบท้ายกระบะ ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ มีอยู่แล้วในอดีต แต่บังคับใช้ไม่ได้มาเป็นเวลานาน ค่อยๆ แก้ไขกัน ทั้งตัวเอง เจ้าหน้าที่และรัฐบาล
นายกฯ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนเองขอเน้นย้ำ คือ “ผู้ขับขี่” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทั้งปวง ต้องไม่ดื่มสุรา ไม่ประมาท ไม่โทร ไม่แชต พักผ่อนให้เพียงพอ ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด และรักษาวินัยจราจร “ผู้โดยสาร” ควรป้องกันตัวเองด้วยการคาดเข็มขัดนิรภัยทุกคน รถทุกคันบนถนน ต้องตรวจสภาพให้พร้อม ก่อนออกเดินทาง ทั้งนี้ ทุกคนบนถนนมีส่วนรับผิดชอบในความปลอดภัยซึ่งกันและกัน หลังสงกรานต์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้หารือกันอีกครั้งเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ว่าจะปรับมาตรการอย่างไร ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง จะมีห้วงเวลาอย่างไรให้ประชาชนได้มีโอกาสปรับตัว ปรับวิถีการเดินทางบนท้องถนน ซึ่งรัฐบาลจะเร่งรณรงค์สร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องต่อไป
"ผมขอให้ทุกคนเดินทางไป-กลับ โดยสวัสดิภาพ ใช้ความระมัดระวังมีสติ คิดถึงคนที่อยู่ที่บ้าน และมีความสุขในเทศกาลสงกรานต์ทุกคน รวมทั้งขอขอบคุณเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหารและอาสาสมัครที่เสียสละความสุขส่วนตน และอุทิศเวลาทำงานเพื่อส่วนรวม รวมทั้งครอบครัวของเจ้าหน้าที่ทุกท่านด้วย เรื่องแท็กซี่ รถขนส่งสาธารณะ ควรเร่งปรับปรุงตัวเอง มีปัญหาเกิดขึ้นมากมายกับผู้รับบริการ ขอให้ทำด้วยใจ ด้วยหน้าที่ ด้วยอาชีพ อันสุจริต อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความรับผิดชอบ และมีน้ำใจต่อกัน" นายกฯ กล่าว.
เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 ที่ห้องประชุมชั้น 4 สถานกงสุลใหญ่ลอสแอนเจลิส กงสุลใหญ่ ธานี แสงรัตน์ พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ วงศ์ข้าหลวง ประธานโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกาเยือนแผ่นดินแม่ฝ่ายสหรัฐอเมริกา นายสาคร ศิริรัฐ และ นายสุรชาติ กาญจนวิจิตร รองประธานโครงการ นางศรีวงศ์ อาญาสิทธิ์ ประธานจัดงานสานสายใยน้ำใจไทยสู่แผ่นดินแม่ แม่ครั้งที่ 6 นายยุทธนา บำรุงเขตร์ เจ้าหน้าที่อาวุโสจากบริษัทสตาร์ทัวร์ และคณะกรรมการโครงการอีกหลายท่าน ได้มาร่วมงานแถลงข่าวการจัดโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกาเยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 11
นายสุรศักดิ์ วงศ์ข้าหลวง ประธานโครงการในสหรัฐอเมริกาได้กล่าวในเบื้องต้นว่า โครงการในปีนี้เป็นการจัดครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 1-16 กรกฎาคม 2560 แต่เป็นการจัดปีที่ 22 แล้ว เพราะจัด 2 ปีครั้งโดยประธานโครงการฝ่ายประเทศไทยคือพล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ จะเป็นประธานงานไทยไนท์ แฟร์เวลปาร์ตี้ ในคืนสุดท้ายของโครงการเหมือนกับสองสามครั้งที่ผ่านมา และในปีนี้ทางเยาวชนไทยในยุโรปจะขอเข้ามาร่วมกับโครงการด้วยอย่างเต็มรูปแบบแต่ทางโครงการให้เข้าร่วมได้แค่ 40 คนเท่านั้น รวมทั้งทางบ้านลูกเหรี่ยงที่ดูแลเด็กที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็จะขอส่งเด็กมาเข้าตลอดโครงการด้วย
“ตอนเราจัดโครงการครั้งที่ 8 และ 9 ตอนนั้นท่านทูตจักร เป็นกงสุลใหญ่แอลเออยู่ ได้แนะนำให้เอาเยาวชนจากยุโรปมาร่วมกับโครงการเยาวชนจากอเมริกา เด็กทั้งสองทวีปจะได้ทำความรู้จักและสร้างเครือข่ายกันปีแรกเขาทดลองส่งมา 20 คน ปรากฏเขาชอบมาก แต่เรามีที่ให้เขาได้เพียง 1 คันรถประมาณ 40 คนเท่านั้นครับ มากกว่านี้เรากลัวจะรับไม่ไหวครับเพราะปีนี้ผู้ปกครองและเยาวชนจัดฮิวสตัน ก็จองมา 1 คันรถแล้ว ร่วมกับทางแอลเอ ก็คงจะประมาณ 200 กว่าคนครับ” ประธานโครงการฯ กล่าวก่อนที่จะเปิดเผยให้ฟังอีกว่า
ในด้านงบประมาณที่ใช้สำหรับโครงการแต่ละครั้งจะใช้ประมาณ 5 ล้านบาท อันเป็นงบที่คณะกรรมการฝ่ายประเทศไทยจะร่วมกันหามาจากสปอนเซอร์ที่เมืองไทยเพื่อให้ คัฟเวอร์ การจัดโครงการในแต่ละครั้ง โดย 80 เปอร์เซ็นต์เป็นสปอนเซอร์ที่ให้ประจําสปอนเซอร์ใหญ่ๆที่สนับสนุนโครงการมาตลอด อาทิ กิฟฟารีน สหพัฒนพิบูล ปตท. และ คิงก์พาวเวอร์ และทางโครงการยังได้สปอนเซอร์เล็กๆ อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งทางสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแองเจลิส การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และการบินไทย ก็จะให้การบริการสนับสนุนมาตลอด ซึ่งทุกสปอนเซอร์ จะมีโลโก้และชื่อติดไปกับป้ายโครงการในการเดินทางไปทุกแห่งในประเทศไทย เพื่อขอบคุณและตอบแทนที่ทำให้โครงการสามารถทำต่อเนื่องมาได้จนถึงปัจจุบันเป็นประโยชน์กับเยาวชนไทยที่เกิดและเติบโตในสหรัฐอเมริกา ได้มีโอกาสกลับไปเยือนแผ่นดินบ้านเกิดของบรรพบุรุษ และสัมผัสศิลปวัฒนธรรมประเพณีไทย ตามภาคต่างๆ ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความรักความผูกพันและความอยากกลับไปเที่ยวประเทศไทยอีก ในอนาคตอันใกล้
ผู้ก่อการร้าย ขับรถบรรทุกพุ่งชนฝูงชนกลางแหล่งช็อปปิ้งดัง กรุงสตอกโฮล์ม สวีเดน เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 ราย บาดเจ็บจำนวนมาก ด้านนายกรัฐมนตรีสวีเดน ระบุชัด ก่อการร้าย ด้านตร.สามารถจับผู้ต้องสงสัยได้แล้ว 1 ราย
บุญธง ก่อมงคลกูล ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำประเทศเบลเยียมรายงาน เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 7 เม.ย. (เวลาท้องถิ่น) เกิดเหตุผู้ก่อการร้ายขับรถบรรทุกพุ่งชนฝูงชนที่บริเวณศูนย์การค้าใกล้กับย่ายถนนคนเดินกลากรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน หน่วนงานด้านความมั่นคงของสวีเดน (Säpo) ได้ยืนยันเหตุการณ์ ขณะที่สถานีวิทยุของราชการ ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแล้ว จำนวน 3 คน
โฆษกของหน่วยงานด้านความมั่นคงสวีเดน ระบุว่า “มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก” ทางการกำลังทำการสืบหาบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเหตุก่อการร้ายในครั้งนี้
โศกนาฏกรรมเกิดขึ้น เมื่อเวลาก่อน 13 นาฬิกาเล็กน้อย (18 น.เวลาประเทศไทย) ใกล้กับศูนย์การค้าใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดกับถนนที่ตัดกับถนนคนเดินที่เป็นย่านที่มีคนพลุกพล่านมากที่สุดของกรุงสตอกโฮล์ม มีกลุ่มควันดำพวยพุ่งออกมาจากจุดที่เกิดเหตุ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการปิดกั้นเป็นเขตห้ามเข้า กองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีเฮลิคอปเตอร์บินวนเวียนอยู่เหนือกรุงสตอกโฮล์ม
ทั้งนี้มีรายงานว่า การจราจรโดยรถไฟใต้ดินได้หยุดให้บริการ เหตุก่อการร้ายเกิดใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน T-Centralen ที่รถไฟใต้ดินหลายสายวิ่งผ่าน
ล่าสุด มีรายงานว่า ตร.สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน แต่ยังไม่สามารถระบุว่าได้ว่า จำนวนผู้ก่อเหตุมีมากกว่า 1 คนหรือไม่
โดยเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น บริเวณถนนดร็อตต์นิงกาตันกลางกรุงสตอกโฮล์ม ล่าสุด นายกรัฐมนตรีสเตฟาน ลอฟเว่น ของสวีเดนระบุว่า ทุกอย่างบ่งชี้ว่าเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นนี้เป็นการก่อการร้าย ทั้งนี้ ตำรวจสวีเดนจับกุมผู้ต้องสงสัย 1 คน แต่ไม่เผยรายละเอียดเพิ่มเติม
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012